ภาคเอกชนสนับสนุนรัฐบาลผลักดันไทยเจรจา
ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก กับ สหรัฐ
เชื่อจะเปิดตลาดการค้าการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังวิตกกังวล
การชุมนุมต่อต้านทางการเมือง หากเกิดความรุนแรงและยืดเยื้อ
อาจทำให้ความมั่นใจของต่างชาติลดน้อยลง
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานหอการค้าไทย กล่าวถึงการมาเยือนไทยของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐว่า จะส่งผลดีต่อการค้าการลงทุนของไทย และแสดงให้เห็นว่าต่างชาติยังให้ความสนใจประเทศไทยอยู่ โดยขณะนี้ ไทยถือเป็นประเทศที่ต่างชาติมีความเชื่อมั่น เห็นได้จากในช่วงนี้ มีผู้นำของประเทศมหาอำนาจเดินทางมาเยือน ทั้งสหรัฐและจีน หากสถานการณ์เมืองในประเทศไม่วุ่นวาย จะทำให้ต่างชาติเกิดความไว้วางใจในการเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น แต่หากสถานการณ์การเมืองวุ่นวายและยืดเยื้อ จะทำให้ภาพลักษณ์และบรรยากาศการลงทุนของไทยลดลง
ส่วนที่หลายฝ่ายเป็นห่วงท่าทีการเจรจาหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้น แปซิฟิก หรือ ทีพีพี นั้น เชื่อว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะเป็นรูปธรรม และขอให้ทุกฝ่ายมองว่าการรวมกลุ่มกันของ ทีพีพี ไทยจะได้ประโยชน์ แต่หากการเจรจารวมกลุ่ม ทีพีพี เกิดขึ้นช้าหรือไม่เกิดขึ้น ไทยสามารถใช้กรอบความร่วมมืออาเซียนบวก 3 และอาเซียนบวก 6ได้ เพราะถือเป็นตลาดใหญ่กว่าครึ่งโลก แต่หากไทยไม่ร่วมเจรจากลุ่ม ทีพีพี อาจทำให้ไทยเสียโอกาสทางธุรกิจได้
ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การเจรจาทีพีพีจะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะในอนาคตสหรัฐจะรวมตัวกันเป็นสนธิสัญญาในการรวมตัวของสหรัฐอเมริกาและ ประเทศในละตินอเมริกา รวม 21 ประเทศ ซึ่งจะทำให้ไทยได้ประโยชน์จากตลาดการค้าที่ใหญ่ขึ้น
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนยังวิตกกังวลและไม่อยากเห็นการชุมนุมต่อต้านทางการเมือง ซึ่งการชุมนุมโดยสันติภายใต้พื้นฐานกฏหมายก็สามารถชุมนุมได้ แต่หากเกิดความรุนแรงและยืดเยื้อ อาจทำให้ความมั่นใจของต่างชาติลดน้อยลง ซึ่งจะเห็นว่าขณะนี้ หากมองในเรื่องของการท่องเที่ยว
ซึ่งประมาณการณ์ไว้ว่าในอีก 2 ปี ข้างหน้า ไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 2 ล้าน 2 เเสนล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้เกือบเท่ากับงบประมาณของไทยในแต่ละปี ดังนั้น จึงไม่อยากเห็นความวุ่นวายทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความรุนแรงเหมือนในอดีต ที่ผ่านมา
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานหอการค้าไทย กล่าวถึงการมาเยือนไทยของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐว่า จะส่งผลดีต่อการค้าการลงทุนของไทย และแสดงให้เห็นว่าต่างชาติยังให้ความสนใจประเทศไทยอยู่ โดยขณะนี้ ไทยถือเป็นประเทศที่ต่างชาติมีความเชื่อมั่น เห็นได้จากในช่วงนี้ มีผู้นำของประเทศมหาอำนาจเดินทางมาเยือน ทั้งสหรัฐและจีน หากสถานการณ์เมืองในประเทศไม่วุ่นวาย จะทำให้ต่างชาติเกิดความไว้วางใจในการเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น แต่หากสถานการณ์การเมืองวุ่นวายและยืดเยื้อ จะทำให้ภาพลักษณ์และบรรยากาศการลงทุนของไทยลดลง
ส่วนที่หลายฝ่ายเป็นห่วงท่าทีการเจรจาหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้น แปซิฟิก หรือ ทีพีพี นั้น เชื่อว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะกว่าจะเป็นรูปธรรม และขอให้ทุกฝ่ายมองว่าการรวมกลุ่มกันของ ทีพีพี ไทยจะได้ประโยชน์ แต่หากการเจรจารวมกลุ่ม ทีพีพี เกิดขึ้นช้าหรือไม่เกิดขึ้น ไทยสามารถใช้กรอบความร่วมมืออาเซียนบวก 3 และอาเซียนบวก 6ได้ เพราะถือเป็นตลาดใหญ่กว่าครึ่งโลก แต่หากไทยไม่ร่วมเจรจากลุ่ม ทีพีพี อาจทำให้ไทยเสียโอกาสทางธุรกิจได้
ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การเจรจาทีพีพีจะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะในอนาคตสหรัฐจะรวมตัวกันเป็นสนธิสัญญาในการรวมตัวของสหรัฐอเมริกาและ ประเทศในละตินอเมริกา รวม 21 ประเทศ ซึ่งจะทำให้ไทยได้ประโยชน์จากตลาดการค้าที่ใหญ่ขึ้น
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนยังวิตกกังวลและไม่อยากเห็นการชุมนุมต่อต้านทางการเมือง ซึ่งการชุมนุมโดยสันติภายใต้พื้นฐานกฏหมายก็สามารถชุมนุมได้ แต่หากเกิดความรุนแรงและยืดเยื้อ อาจทำให้ความมั่นใจของต่างชาติลดน้อยลง ซึ่งจะเห็นว่าขณะนี้ หากมองในเรื่องของการท่องเที่ยว
ซึ่งประมาณการณ์ไว้ว่าในอีก 2 ปี ข้างหน้า ไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 2 ล้าน 2 เเสนล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้เกือบเท่ากับงบประมาณของไทยในแต่ละปี ดังนั้น จึงไม่อยากเห็นความวุ่นวายทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความรุนแรงเหมือนในอดีต ที่ผ่านมา
by
Banchar
17 พฤศจิกายน 2555 เวลา 10:45 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น