คุณหญิงหน่อย ยังไม่ตอบรับ โดดลงซ่อมส.ส.ดอนเมือง
เผยเข้าใจสถานการณ์ แต่ขอเวลาทำงานบุญใหญ่บูรณะลุมพินีสถานให้ลุล่วงก่อน
เผยห่วงม็อบการเมือง สร้างเงื่อนไขฉุดประเทศ
วันนี้ (17 พ.ย.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสเคลื่อนไหวของกลุ่มส.ส.กรุงเทพฯ และกลุ่มส.ก. ส.ข. ที่จะสนับสนุนให้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.กรุงเพทฯ เขตดอนเมือง แทนนายการุณ โหสกุล ที่โดนใบแดงไปก่อนหน้านี้ โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เผยว่า ตนเพิ่งทราบข่าวเมื่อวานนี้ (16 พ.ย.) เข้าใจว่าเป็นความพยายามผลักดันและสนับสนุนของกลุ่มส.ส.กรุงเทพฯ และเครือข่ายส.ก. และส.ข. ที่เห็นว่าอยากให้เรากลับมาลงสนามการเมืองอีกครั้ง ซึ่งตนเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เนื่องจากยังมีภารกิจสำคัญคือการบูรณปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน ซึ่งจะเป็นประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังยอมรับว่า การที่มีกลุ่มคนออกมาสนับสนุนเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาลำบากใจ เนื่องจากอาจถูกมองว่า เมื่อถึงเวลาที่นักรบต้องการแม่ทัพ แต่เรากลับยังไม่ไปทำหน้าที่ส่วนนั้น ซึ่งทั้งที่จริง เรามีความผูกพัน ช่วยเหลือ สนับสนุน และให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาต่างก็อยากมีคนมาเป็นแม่ทัพนำในสนามในยามจะต้องออกรบ แต่ตนเรียนว่า คงไม่ถึงเวลาในตอนนี้ เพราะงานบุญที่ทำอยู่ไม่รู้ว่าอีกกี่ชาติ จึงจะมีโอกาสเช่นนี้ ซึ่งคงต้องปรึกษาหารือกับกลุ่มที่ออกมาสนับสนุนก่อน ว่าเราไม่ทิ้งกัน จะได้ทำความเข้าใจร่วมกันว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม รวมทั้งคงต้องทำหนังสือชี้แจงทางพรรคเพื่อไทยด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องการออกมาชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ในวันที่ 24 พ.ย.นั้น คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า เรามีประสบการณ์มาแล้ว 7 ปีกับการติดหล่มทางการเมือง จึงไม่เห็นด้วยกับวิธีการนอกระบบที่จะทำให้การเมืองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลับเปลี่ยนแปลงไประบอบอื่น จึงอยากให้กลุ่มแกนนำชุมนุมมีการใช้เหตุผลและหลักการของประชาธิปไตยมา พิจารณา
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ทุกคนมีสิทธิไม่พอใจได้ แต่การแสดงออกก็ควรอยู่ในระบบ เพราะรัฐบาลชุดก่อนก็ได้ยุบสภามีการเลือกตั้งใหม่ และผลการเลือกตั้งก็สะท้อนเสียงของส่วนรวม จากประชาชนทั้งประเทศอยู่แล้ว ว่าอยากเห้นประเทศเดินไปในทิศทางใด อีกทั้งหากไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ก็มีกระบวนการที่ถูกต้องทางการเมืองดำเนินการได้ ไม่ว่าจะเข้าชื่อถอดถอน การอภิปรายซักฟอก ซึ่งก็สามารถทำได้ วันนี้เรามี 2 ฝ่าย ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่พอใจอีกฝ่าย แล้วใช้วิธีนอกระบบจัดการกัน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็จะมีอีกฝ่ายไม่ยอมรับ และกลายเป็นปัญหาอย่างไม่จบสิ้น จึงอยากวิงวอนให้ทุกฝ่ายได้อยู่ในกติกาบ้านเมือง เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้
วันนี้ (17 พ.ย.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสเคลื่อนไหวของกลุ่มส.ส.กรุงเทพฯ และกลุ่มส.ก. ส.ข. ที่จะสนับสนุนให้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.กรุงเพทฯ เขตดอนเมือง แทนนายการุณ โหสกุล ที่โดนใบแดงไปก่อนหน้านี้ โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เผยว่า ตนเพิ่งทราบข่าวเมื่อวานนี้ (16 พ.ย.) เข้าใจว่าเป็นความพยายามผลักดันและสนับสนุนของกลุ่มส.ส.กรุงเทพฯ และเครือข่ายส.ก. และส.ข. ที่เห็นว่าอยากให้เรากลับมาลงสนามการเมืองอีกครั้ง ซึ่งตนเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เนื่องจากยังมีภารกิจสำคัญคือการบูรณปฏิสังขรณ์ลุมพินีสถาน ซึ่งจะเป็นประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังยอมรับว่า การที่มีกลุ่มคนออกมาสนับสนุนเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาลำบากใจ เนื่องจากอาจถูกมองว่า เมื่อถึงเวลาที่นักรบต้องการแม่ทัพ แต่เรากลับยังไม่ไปทำหน้าที่ส่วนนั้น ซึ่งทั้งที่จริง เรามีความผูกพัน ช่วยเหลือ สนับสนุน และให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาต่างก็อยากมีคนมาเป็นแม่ทัพนำในสนามในยามจะต้องออกรบ แต่ตนเรียนว่า คงไม่ถึงเวลาในตอนนี้ เพราะงานบุญที่ทำอยู่ไม่รู้ว่าอีกกี่ชาติ จึงจะมีโอกาสเช่นนี้ ซึ่งคงต้องปรึกษาหารือกับกลุ่มที่ออกมาสนับสนุนก่อน ว่าเราไม่ทิ้งกัน จะได้ทำความเข้าใจร่วมกันว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม รวมทั้งคงต้องทำหนังสือชี้แจงทางพรรคเพื่อไทยด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องการออกมาชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ในวันที่ 24 พ.ย.นั้น คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า เรามีประสบการณ์มาแล้ว 7 ปีกับการติดหล่มทางการเมือง จึงไม่เห็นด้วยกับวิธีการนอกระบบที่จะทำให้การเมืองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลับเปลี่ยนแปลงไประบอบอื่น จึงอยากให้กลุ่มแกนนำชุมนุมมีการใช้เหตุผลและหลักการของประชาธิปไตยมา พิจารณา
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ทุกคนมีสิทธิไม่พอใจได้ แต่การแสดงออกก็ควรอยู่ในระบบ เพราะรัฐบาลชุดก่อนก็ได้ยุบสภามีการเลือกตั้งใหม่ และผลการเลือกตั้งก็สะท้อนเสียงของส่วนรวม จากประชาชนทั้งประเทศอยู่แล้ว ว่าอยากเห้นประเทศเดินไปในทิศทางใด อีกทั้งหากไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล รัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ก็มีกระบวนการที่ถูกต้องทางการเมืองดำเนินการได้ ไม่ว่าจะเข้าชื่อถอดถอน การอภิปรายซักฟอก ซึ่งก็สามารถทำได้ วันนี้เรามี 2 ฝ่าย ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่พอใจอีกฝ่าย แล้วใช้วิธีนอกระบบจัดการกัน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็จะมีอีกฝ่ายไม่ยอมรับ และกลายเป็นปัญหาอย่างไม่จบสิ้น จึงอยากวิงวอนให้ทุกฝ่ายได้อยู่ในกติกาบ้านเมือง เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้
by
pakornr
17 พฤศจิกายน 2555 เวลา 12:59 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น