ผมได้คิดอย่างหนักว่าจะเขียนเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มพิทักษ์สยามที่
ค่อนข้างหายนะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างไรดี
มีหลายสิ่งมากเหลือเกินที่จะบอกกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเองก็อยากจะพูด
แต่ก็อาจจะเสี่ยงต่อการคาดเดาไปเองทั้งหมดได้
มีหลายส่วนที่จำเป็นต้องมีการยืนยันที่เป็นกลาง และแง่มุมกับนัยสำคัญอื่นๆ
ซึ่งอนาคตเท่านั้นที่อนาคตสามารถบอกได้ ฉะนั้น
ผมคิดว่าจะเป็นการดีที่สุดหากจะยึดแค่สิ่งทีผมประสบพบเห็นเองในวันนั้นมาก
เท่าที่จะมากได้
ด้วยเบาะแสที่ได้มา ผมตื่นแต่เช้า ดื่มกาแฟอย่างรวดเร็ว
และเปิดดูช่องบลูสกายเพื่อดูถ่ายทอดสด
ซึ่งตอนนั้นกำลังถ่ายให้เห็นขบวนรถของผู้ชุมนุมจากจุดรวมพลที่สนามม้า
นางเลิ้งไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้า จากนั้น ผมก็ถึงที่นั่นราว 7.40 นาฬิกา
(ไม่มีปัญหาในการเข้าพื้นที่เลย เพราะคืนก่อนหน้านั้นผมได้ไปที่นั่นแล้ว
และถามเรื่องจุดทางเข้า) จอดมอเตอร์ไซค์ของผมที่กองบัญชาตำรวจนครบาล
แล้วก็เดินไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า
ที่ที่ผมได้ลงทะเบียนที่เวทีว่าเป็นนักข่าว ผมได้ปลอกแขนสีเหลืองมา
แต่ตัดสินใจว่าจะไม่ใส่เพราะไม่อยากใส่ป้ายที่ได้จากกลุ่มผู้ชุมนุมอย่าง
เปิดเผยนัก
(ในช่วงการประท้วงของคนเสื้อแดงผมก็ไม่ได้ใส่ปลอกแขนที่ออกโดยนปช.
ใส่แต่ปลอกแขนของสมาคมนักข่าว)
การสวมป้ายที่ออกโดยกลุ่มประท้วงอาจทำให้คุณมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ในภายหลัง
การ์ดคนหนึ่งบอกผมว่า
มันใช้เวลาถึงสิบวันทีเดียวที่จะประกอบกลไกซับซ้อนของเต็นท์ขนาดใหญ่
แสดงให้เห็นค่อนข้างชัดว่า กลุ่มพิทักษ์สยามได้วางแผนว่าจะอยู่กันนาน
ต่อมา ผมเดินไปยังจุดอ่อนไหวของพื้นที่ นั่นคือ
แนวกั้นผู้ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลบริเวณถนนมิสกวัน จุดอ่อนไหวที่สอง
คือแนวกั้นที่อยู่ตรงข้ามกันตรงสะพานมัฆวาน
ที่ที่ขบวนกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนจะเข้าไปเข้าร่วมกับที่ชุมนุมใหญ่
ผมตัดสินใจจะอยู่แถวมิสกวันเพราะด้วยตำแหน่งที่ใกล้กับบริเวณชุมนุมหลัก
ในขณะที่มัฆวานจะเป็นทางอ้อมขนาดใหญ่เนื่องจากรัฐบาลไม่อนุญาตให้นักข่าว
เดินผ่านทำเนียบรัฐบาล
เป้าหมายของผู้ชุมนุมคือขยายพื้นที่การชุมนุมจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปทางถนน
ราชดำเนินผ่านทางทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งเป็นที่ที่ตำรวจต้องคุมรักษาพื้นที่ให้ปลอดจากผู้ชุมนุมอย่างเข้มงวด
เนื่องจากกลัวว่าจะมีการยึดทำเนียบรัฐบาลอีก คืนก่อนหน้านี้
ตำรวจได้ตั้งด่านเป็นแท่นคอนกรีตและลวดหนามสองสามม้วน แน่นอนว่า
ผู้ชุมนุมอ้างว่าพื้นที่การชุมนุมนั้นน้อยไป
ซึ่งก็อาจจะเป็นอย่างนั้นหากว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 70,000 คนมาเข้าร่วม
ในขณะที่ตำรวจประมาณตัวเลขไว้ที่ราว 50,000 คน
แต่ตำรวจระดับสูงได้บอกผมโดยส่วนตัวว่าพวกเขาคิดว่าอย่างมากน่าจะมีสัก
30,000 คนที่จะเข้าร่วม
ไม่มีใครได้คาดการณ์เลยว่าจะมีผู้ชุมนุมมาร่วมน้อยขนาดนี้
โดยเฉพาะการ์ดที่ฮาร์ดคอร์ที่ออกมาน้อยมาก
อย่างหน่วยงานข่าวกรองก็ได้คาดไว้ว่า น่าจะมีการ์ดกว่า 1,000
คนพร้อมจะเข้าร่วมจากในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ราว 8 โมงเช้า ผู้ชุมนุมก็เริ่มรวมตัวกันที่แนวกั้นเผชิญหน้ากับตำรวจ
ราว 8.20 พวกเขาเริ่มทำลายลวดหนาม
เมื่อถึงเวลานั้น มันก็เริ่มชัดเจนแล้วว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
ความวุ่นวายเริ่มขึ้นเมื่อราว 8.30 น.
เมื่อผู้ชุมนุมได้โยนถังขยะสีน้ำเงินใส่ตำรวจ
กระหน่ำปาก้อนหินและขวดน้ำใส่พวกเขา และพยายามใช้แท่งไม้ตีตำรวจ
การ์ดบางส่วนที่อยู่ตรงนั้นได้เกลี้ยกล่อมผู้ชุมนุมให้สงบลง ราว 8.45 น.
ลวดหนามตรงกลางถูกเอาออกหมด แท่งคอนกรีตถูกผลักล้ม
ผู้ชุมนุมเริ่มเผชิญหน้ากับตำรวจโดยตรง และการปะทะกันก็เริ่มขึ้น
มีการปาก้อนหินและขวดน้ำเพิ่มขึ้น และตำรวจก็ใช้กระบองต้านผู้ชุมนุมที่พยายามจะแย่งเกราะป้องกันหรือดันมาแรงเกินไป
จากนั้นไม่กี่นาที ผู้ชุมนุมก็เกือบจะทลายแนวของตำรวจได้
และแก๊สน้ำตาลูกแรกก็ถูกโยนออกไปโดยตำรวจ
ซึ่งแทบจะแยกผู้ชุมนุมออกจากตำรวจทันที
แก๊สน้ำตาบางลูกก็ถูกโยนกลับโดยผู้ชุมนุม
ผมเองก็โดนเข้าเกือบเต็มๆ เหมือนกัน เกือบจะอาเจียนออกมา
และก็วิ่งกลับไปกับกลุ่มผู้ชุมนุม พอสายตาผมมองเห็นอะไรชัดขึ้น
ผมเห็นผู้ชุมนุมสูงอายุที่ใส่เสื้อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี
2551 อยู่ข้างหลังแนวกั้นที่ทำขึ้นเอง ราว 50 เมตร ถัดจากแถวตำรวจ
เขาได้ยิงกระสุนหนังสติ๊กเป็นระลอกใส่ตำรวจ
ผมได้เก็บภาพนั้นมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดที่เขาเห็นผมถ่ายรูป เขายิ้มออกมา และเก็บซ่อนกระสุนหนังสติ๊กไป
ผมเห็นควันแก๊สน้ำตาขนาดใหญ่มาจากทางสะพานมัฆวาน และรู้ว่า
ได้เกิดการปะทะขึ้นบริเวณนั้นเช่นเดียวกัน
(ผมได้ทราบในภายหลังว่ามีเหตุการณ์เกี่ยวกับรถบรรทุก
และมีผู้ชุมนุมถูกจับเยอะตรงนั้นด้วย
แต่ผมก็ไม่สามารถแยกร่างไปอยู่สองที่ได้)
หลังจากที่ฝูงควันแก๊สน้ำตาซาลงแล้ว
และมันก็ชัดเจนว่าตำรวจมิได้พยายามจะสลายการชุมนุมหรือไล่จี้ผู้ชุมนุมต่อ
แต่เพียงแค่รักษาแนวระยะเอาไว้ ผู้ขุมนุมก็เริ่มเผชิญหน้ากับตำรวจอีกครั้ง
ทำให้มีการปาแก๊สน้ำตาเข้าใส่อีก และเคลียร์พื้นที่ตรงนั้นได้
ผมเก็บภาพรูปแก๊สน้ำตาดีๆ เพิ่มได้อีก
ผู้ชุมนุมรายหนึ่งถือกระบอกแก๊สน้ำตาที่ว่างเปล่า มีวันที่บอกหมดอายุเดือน พ.ค. 2555
ผู้ชุมนุมเริ่มขยับเพื่อเผชิญหน้ากับแถวตำรวจอีกครั้ง
แต่ยังรักษาระยะห่างอยู่สองสามเมตร ลถานการณ์ก็ยังคงสงบอยู่
ผู้ชุมนุมบางส่วนที่ดูก้าวร้าวเกินไปถูกการ์ดนำตัวออกไป
การแผดเสียงแข่งกันของลำโพงเวทีเคลื่อนที่ของผู้ชุมนุมกับลำโพงของตำรวจ
เริ่มขึ้นตอนนี้ และดังยาวไปทั้งวัน – ผู้ชุมนุมกล่าวหาตำรวจว่าโหดร้าย
เป็นขี้ข้าทักษิณ และว่าพวกตนเองนั้นกำลังต่อสู้เพื่อสถาบันกษัตริย์
ในขณะที่ตำรวจกล่าวว่า พวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งและปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง
เมื่อประมาณ 10 โมง สมณะโพธิรักษ์
ผู้นำทางจิตวิญญาณของกลุ่มสันติอโศกเดินทางมาถึงที่แนวกั้น
และพลเอกที่เกษียณอายุแล้ว ชื่อของเขาผมลืมไปแล้ว มาขอเจรจากับตำรวจ
นายพลคนนั้นท่าทางยั่วยุพอสมควร
และเมื่อตำรวจคนที่คุยกับสมณะโพธิรักษ์อยู่บอกเขาให้รอนายตำรวจระดับสูง
เขาก็ปีนขึ้นมาบนแนวกั้นและมองหาตำรวจระดับสูงด้วยตัวเอง และพอเจอ
ก็ตำรวจก็บอกให้เขารอเพราะตำรวจกำลังเดินทางมาจาก บชน.
ในระหว่างที่รอตำรวจเดินทางมาถึง
เขาก็โชว์ตลับของแก๊สน้ำตาที่ใช้หมดแล้วซึ่งเขาพบหลังรถกระบะของตำรวจ
ให้กับนักข่าวดู และก็ถ่ายรูปหน้ากลุ่มตำรวจที่ใส่หน้ากากกันแก๊สน้ำตา
ไม่นาน ตำรวจระดับสูงกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ
นายพลทักทายตำรวจคนหนึ่งในนั้นด้วยการเข้าไปกอด พวกเขาคุยกันนิดหน่อย
นายพลได้ขอให้ตำรวจเอาแนวกั้นออก
และตำรวจก็บอกว่าถ้ามีผู้ชุมนุมมาเพิ่มพอและต้องใช้พื้นที่ตรงนั้น
เขาก็จะเปิดให้เพื่อได้ใช้พื้นที่ จากนั้น
นายพลคนเดิมก็เดินไปยังมัฆวานกับตำรวจ
แต่นักข่าวอย่างเราถูกห้ามเข้าไปเพราะตำรวจบอกว่าเป็นพื้นที่เฉพาะตำรวจเท่า
นั้น
การเผชิญหน้าที่ยาวนานและค่อนข้างน่าเบื่อระหว่างผู้ชุมนุมและตำรวจก็ตาม
มา ผมเดินต่อไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า ที่ที่ผมได้เจอ เวยน์
นักข่าวจากอัลจาซีร่า และเดินกลับไปยังแนวกั้น พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน
ส่วนใหญ่พวกเขาค่อนข้างประหลาดใจที่มีการปะทะกันแต่เช้าและก็เดินทางมาช้า
ผมได้สนทนากับผู้ชุมนุมคนหนึ่งที่พูดภาษาเยอรมันได้เพราะเขาเคยไปเรียนที่
เยอรมัน บทสนทนานั้นเยี่ยมเลย ผมพูดคุยกับตำรวจที่ผมรู้จัก
ซึ่งบอกผมว่ามีตำรวจคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการถูกแทงด้วยแท่ง
เหล็กระหว่างการปะทะกันในตอนเช้า จากนั้น นิรมล โฆษ และประวิตร
โรจนพฤกษ์จากนสพ. เดอะ เนชั่น ก็เดินทางมาถึง
ผู้ชุมนุมให้เด๊ดไลน์กับตำรวจถึงบ่ายสอง ที่ต้องเปิดแนวกั้นดังกล่าว
เราต่างเตรียมพร้อมสำหรับรอบต่อไป และพยายามจะหาตำแหน่งที่ดีที่สุด
และหารือกันว่าทางออกจุดไหนจะดีที่สุดหากว่ามีการโยนแก๊สน้ำตาออกมาอีกครั้ง
ฝนตกลงมาเล็กน้อย และผมก็เตรียมเก็บกล้องแล้ว
คิดว่าคงจะไม่คุ้มที่จะต้องเสียกล้องอีกตัวไปอีก
แต่การดันกันก็เริ่มขึ้นทันที ไม่กี่นาทีก่อนเด๊ดไลน์จะสิ้นสุดลง
และผมก็ตัดสินใจถ่ายรูปต่อไป
ตอนแรก ผมยืนอยู่กับผู้ชุมนุม แต่ก็เขยิบออกมาผ่านแนวตำรวจ
ที่ซึ่งเขามีทางเปิดเล็กๆ สำหรับเหล่านักข่าว ไม่นาน
แก๊สน้ำตาก็ถูกขว้างออกมาอีกครั้ง ผมถอยมาอยู่หลังแนวตำรวจ
และถ่ายรูปจากตรงนั้น
ครั้งนี้ ควันแก๊สน้ำตาจำนวนมากลอยขึ้นฟุ้งมาพื้นที่ตรงกลางที่ว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพออกมาเยี่ยมทีเดียว
ระเบิดแก๊สน้ำตาถูกโยนกลับไปกลับมาระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุม
มีจรวดระเบิดพุ่งมาทางเราเยอะมาก
และผมก็ได้ยินเสียงระเบิดออกมาจากควันแก๊สน้ำตา
ทันใดนั้น ผมก็เห็นตำรวจหิ้วผู้ชุมนุมออกมาจากฝูงควัน
ผมวิ่งไปที่จุดนั้น ถ่ายรูปสองสามรูป และก็ถูกแก๊สน้ำตาเข้าอย่างจัง
ทำให้ผมแทบจะตาบอดไปเลยระยะหนึ่ง
ผมเดินโซเซออกจากหมอกควัน และมีตำรวจสองสามคนช่วยล้างตาผม
(มันรู้สึกดีมากเมื่อความรู้สึกแสบนั้นหยุดลง) หลังจากนั้นเพียง 6 นาที
การปะทะดังกล่าวก็หยุดลง และก็มีจรวดสองสามลูกพุ่งมาทางเรา
ซึ่งผมก็สามารถหลบได้ทัน
อยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งก็ล้มลงไปห่างจากผมไม่กี่เมตร
ตอนแรกผมคิดว่าเขาถูกหินปา ผมถ่ายรูปไว้นิดหน่อย
และก็ถึงทราบว่าเขาเป็นโรคลมชัก
ผมวางกล้องของผมลง
และเข้าไปช่วยดูแลเขาตอนที่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รู้ว่าต้องทำอะไร
ผมขอน้ำแข็งเอามาลูบร่างกายเขาเพื่อลดอุณหภูมิลง
ซึ่งผมเรียนรู้มาว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาอาการชักยามไม่มียา
ชนิดอื่นให้ใช้ ตำรวจคนนั้นก็อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วและถูกนำตัวออกไป
จากนั้นไม่นาน ลำโพงของทั้งสองฝ่ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง
(“ตำรวจมันโหดร้ายและนอกกฎหมาย”, “ไม่ใช่,
ตำรวจทำตามหน้าที่ของตัวเองตามกฎหมาย”, และอื่นๆ อีก)
พวกนักข่าวเราก็คาดการณ์ว่ารอบที่สามจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ราวเวลา 5 โมงเย็น ตำรวจระดับสูงมากเดินทางมาถึงที่ชุมนุม ผมและนักข่าวอื่นๆ ถือโอกาสเดินไปยังมัฆวานในขณะที่เขาเดินตรวจบริเวณต่างๆ
ผมปีนขึ้นไปอยู่บนรถดับเพลิงและถ่ายรูปการเผชิญหน้าระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุมภายใต้ท้องฟ้าที่เข้มหม่น
เจ้าหน้าที่ตำรวจแถวนั้นกล่าวว่า ในตอนบ่ายยังไม่มีการปะทะกันที่มัฆวาน
ผมตัดสินใจเดินกลับไปที่มิสกวัน คาดว่าจะมีรอบที่ 3 ที่นั่น
เพราะก็มีผู้ชุมนุมมากกว่าด้วย อีกไม่นานฝนก็ตกหนักมากขึ้น
ผมหลบอยู่ในเต็นท์และพูดคุยกับตำรวจที่มาจากฉะเชิงเทรา เขาดูเหนื่อยมาก
เพราะมาประจำอยู่ที่ทำเนียบได้สามวันแล้ว เขายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย
และก็หวังว่าจะได้กลับบ้านเร็วๆ นี้ ช่วงที่ฝนตกอยู่นั่นเอง
ก็มีการประกาศว่าเสธ.อ้ายได้ประกาศยกเลิกการชุมนุม และเมื่อฝนหยุดตกราว 6
โมงเย็น ผมเดินไปยังบริเวณเวที หวังว่าจะได้รูปของเหล่าแกนนำ
เมื่อผมมาถึง ผมถ่ายรูปสมณะโพธิรักษ์ที่อยู่บนเวที และภาพเสธ.อ้ายตอนที่เขากำลังจับไม้จับมือกับผู้ชุมนุม
เมื่อผู้ชุมนุมถามเขาว่าเขาจะเรียกชุมนุมครั้งต่อไปเมื่อไร เขากล่าวว่า
ตนเองพอแล้วและจะลงจากตำแหน่ง ผู้ชุมนุมบางส่วนถึงกับน้ำตารื้น
ผมเดินไปที่หลังเวที ที่ผมเจอแดเนียล แทน เคต จากบลูมเบิร์ก
เขาได้สัมภาษณ์เสธ. อ้ายอย่างรวดเร็ว และผมก็ได้ถ่ายรูปประสงค์ สุ่นศิริ
บรรยากาศหลังเวทีค่อนข้างหดหู่มาก ผู้ชุมนุมก็คุยกันว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้อย่างไร คนเริ่มรื้อเวที ผมรู้สึกเหนื่อยมาก และกลับบ้าน
โดยรวมแล้ว
ผมรู้สึกดีใจและโล่งอกที่ระดับความรุนแรงในวันนั้นไม่แย่จนเกินไป
มันมีแอคชั่นบ้างที่จะพอให้อะดรีนาลีนสูบฉีด
แต่ก็ไม่มีความรุนแรงที่ร้ายแรงเกินไป
และก็ไม่มีอาการบาดเจ็บที่แย่มากเท่าที่ผมเห็น
ผมคิดว่าตำรวจค่อนข้างตอบโต้อย่างยับยั้งระมัดระวัง และมีระเบียบ
และผมคิดว่าพวกเขาน่าจะถูกฝึกเพิ่มขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา
ส่วนความรุนแรงจากผู้ชุมนุมก็มิได้แย่เท่าที่ผมได้เห็นในการชุมนุมครั้งที่
ผ่านๆ มา ในขณะที่หลายคนกล่าวหาว่าตำรวจทำเกินไปกับการใช้แก๊สน้ำตา
ผมมีมุมมองที่ต่างออกไป
ผมเชื่อว่าแก๊สน้ำตาได้ป้องกันความรุนแรงที่จะร้ายแรงกว่านี้
มันแยกฝ่ายผู้ประท้วงออกห่าง และป้องกันการใช้กระบองจากตำรวจ
ซึ่งอาจนำไปสู่อาการบาดเจ็บต่อผู้ชุมนุมได้ โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บภายใน
เช่นการช้ำใน
แบบที่ผมได้พบเห็นบ่อยในเยอรมนีตอนที่ผมยังเด็กและได้เข้าร่วมการชุมนุมที่
นั่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น