ที่มา uddred
ข่าวสด 7 พฤศจิกายน 2555 >>>
เมื่อ 7 พ.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรพงษ์
โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แถลงข่าวชี้แจงภายหลังการหารืออย่างเป็นทางการกับ นางฟาโต เบ็นโซดา
อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี
ซึ่งเดินทางมาเข้าร่วมประชุมสมาคมอัยการระหว่างประเทศ เมื่อ 1 พ.ย.
ที่ผ่านมา โดยได้หารือกันเรื่องความร่วมมือทั่วไประหว่างไทยกับไอซีซี
และกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.
เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับไอซีซี
ให้พิจารณาเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองของไทย ที่กรุงเฮก
ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่า นางเบ็นโซดา
ได้ให้ข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับการประกาศยอมรับเขตอำนาจไอซีซี ตามข้อ 12
วรรค 3 ของธรรมนูญกรุงโรมฯ
สำหรับประเทศที่ยังไม่ได้เป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมฯ โดยระบุว่า ไอซีซี
มีเขตอำนาจพิจารณาการกระทำที่เป็นความผิดอาชญากรรมร้ายแรง 4 ประเภท ได้แก่
อาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
อาชญากรรมอันเป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมอันเป็นการรุกราน
ซึ่งสำหรับกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองของไทย นางเบ็นโซดา เห็นว่า
อาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ แต่ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นก่อน เช่น
เป็นการกระทำอย่างกว้างขวาง หรือเป็นระบบ
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า นางเบ็นโซดา ระบุว่า การประกาศยอมรับเขตอำนาจของไอซีซี
สามารถกำหนดกรอบไว้ในคำประกาศได้
และจะต้องยึดหลักความเป็นกลางไม่เลือกปฏิบัติ
โดยไอซีซีจะมุ่งดำเนินการกับผู้สั่งการโดยตรง และผู้รับผิดชอบที่แท้จริง
ซึ่งการประกาศยอมรับเขตอำนาจไอซีซี
จะเป็นขั้นตอนแรกในการเปิดโอกาสให้ไอซีซีเข้ามาทำการ "ตรวจสอบเบื้องต้น"
(Preliminary Examination) ว่าไอซีซีจะมีอำนาจพิจารณากรณีนั้นๆหรือไม่
และไอซีซีจะมีบทบาทเสริมกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศเท่านั้น
แต่ทางไอซีซีอาจเข้ามาดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อ กระบวนการยุติธรรม
"ไม่สามารถ" หรือ "ไม่สมัครใจ" หรือ "ไม่ได้ดำเนินการอย่างแท้จริง"
นอกจากนี้ นางเบ็นโซดา ยังเห็นว่า การจัดทำประกาศยอมรับเขตอำนาจไอซีซี
ตามข้อ 12 วรรค 3 ของธรรมนูญกรุงโรมฯ มีขอบเขตจำกัด จึงไม่ใช่ "สนธิสัญญา"
แต่เป็นการแสดงเจตนาของรัฐ เป็นการประกาศฝ่ายเดียว และสามารถถอนคำประกาศได้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีประเทศใดเคยถอนคำประกาศ
รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการประกาศยอมรับเขตอำนาจไอซีซีของไทย ว่า
ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย ครม. เมื่อปี
2543 เคยตั้งคณะกรรมการเกี่ยวกับไอซีซีขึ้นมา
จะต้องกลับไปตรวจสอบว่ายังอยู่หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าว ประกอบด้วย
กรมสนธิสัญญาและกฏหมาย ของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด
สำนักงานศาลยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยยืนยันว่าจะพิจารณารายละเอียดข้อกฏหมายอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ถูก
บางกลุ่มนำไปบิดเบือนและสร้างความสับสนให้กับสังคม
โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้ตัวว่าอาจผิด หรืออาจจะผิด อย่าตีตัวไปก่อนไข้
"จากการที่หลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านโดยไม่คิดที่จะศึกษา
ไม่คำนึงถึงเหตุผลต่อการที่ไอซีซีจะเข้ามาเสริมกระบวนการยุติธรรม
เพื่อให้ความยุติธรรมต่อมวลมนุษยชาติที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ
การเข้ามาของไอซีซีหากจะช่วยเกิดความยุติธรรมขึ้นในสังคมไทย
จะไม่เป็นสิ่งที่ดีหรือสำหรับคนไทย ส่วนกลุ่มบุคคลที่มองว่า
การเข้ามาของไอซีซีถือเป็นการดูถูกกระบวนการยุติธรรมของไทย ผมคิดว่าไม่ใช่
เพราะหากกระบวนการยุติธรรมได้ให้ความเป็นธรรมอย่างแท้จริง
ไอซีซีก็ไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ วันนี้ ขอให้ผู้ที่รู้จริง ไม่รู้จริง
หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ โปรดยุติการวิพากศ์วิจารณ์ไว้ก่อน
และกลุ่มที่ชอบออกมาขู่ผมกับรัฐบาลให้กลัว
อ้างว่าจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ผมขอบอกตรงๆว่า
ผมไม่กลัวพวกคุณ" นายสุรพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ประเทศไทย เป็นรัฐหนึ่งที่ลงมติสนับสนุนธรรมนูญกรุงโรมฯ
และได้ร่วมลงนามธรรมนูญกรุงโรมเมื่อ 2 ต.ค. 2543
แต่ยังมิได้ให้สัตยาบันจนถึงขณะนี้
เนื่องจากต้องพิจารณาตามขั้นตอนที่กฎหมายในประเทศกำหนดไว้ก่อน
โดยคณะรัฐมนตรีไทยได้มีมติเมื่อ 19 ม.ค. 2542 แต่งตั้ง
"คณะกรรมการพิจารณาธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ"
ขึ้นตามที่กระทรวงต่างประเทศเสนอ
มีหน้าที่พิจารณาผลดีและผลเสียของการเข้าเป็นรัฐภาคีแห่งธรรมนูญ
ต่อมาวันที่ 1 ม.ย. 2542
คณะกรรมการพิจารณาธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศมีคำสั่งแต่งตั้ง
"คณะอนุกรรมการแปลธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ" ขึ้น
ประกอบด้วยกรรมการสิบคน เป็นผู้แทนจากส่วนราชการต่างๆ คือ
สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมพระธรรมนูญ
กระทรวงกลาโหม และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น