กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (Rwandan Patriotic Front) หรือ RPF
รุกคืบบุกยึดได้พื้นที่ทางตอนเหนือของรวันดาจนอยู่ในความควบคุมของตน
หลังจากนั้นในวันที่ 9 เมษายน 1994 กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ได้รื้อฟื้นความเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลรวันดาขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยกองทหารของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
จำนวนมากเคลื่อนทัพมาจากทางตอนเหนือเพื่อบดขยี้ทำสงครามกับกองกำลังรัฐบาล
และเมื่อวันที่ 11 เมษายน
ได้เดินทางถึงกรุงคิกาลีซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทหารรัฐบาล
หลังจากนั้นในวันต่อมารัฐบาลรักษาการณ์ได้หลบหนีไปอยู่กับกลุ่มกิทา
รามา(Gitarama) (ซึ่งเป็นชื่อกองกำลังของกลุ่มชาวฮูตูหัวรุนแรง
ที่ก่อตั้งเมื่อปลายยุค 1960 เพื่อสนับสนุนรัฐบาล)
ขณะที่สถานีวิทยุของรัฐได้ยั่วยุให้ชาวฮูตูป้องกันประเทศต่อการรุกรานของกอง
ทหารของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดาชาวตุ๊ดซี่ (RPF) หลังจากนั้นผู้นำ RPF
กล่าวว่าพวกเขาจะหยุดการต่อสู้ทันทีเมื่อขับไล่ชาวฮูตูหัวรุนแรงออกนอก
ประเทศไปได้ และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมเรียบร้อยแล้ว
และที่สำคัญจะต้องจับกุมบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของชาวตุ๊ดซี่
และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงได้แล้วด้วย
นั่นเป็นการสื่อความหมายที่มีนัยชัดเจนว่าการแตกหักระหว่างชาติพันธุ์เท่า
นั้นที่นำไปสู่การยุติสงคราม
การรื้อฟื้นความเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลรวันดาขึ้นอย่างเป็นทางการ
ทำให้ความรุนแรงแพร่กระจายและดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งประเทศ
เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่ากองกำลังของรัฐบาลและกลุ่มกิทารามา
(Gitarama)
ได้เข่นฆ่าชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงเมื่อปลายเดือนเมษายน
ไปแล้วประมาณ 2 แสนคน
ทั้งๆที่ประชาคมโลกตระหนักถึงการเข่นฆ่าในครั้งนี้แต่ก็ไม่มีใครกระทำ
การใดๆเพื่อหยุดยั้ง
แม้บางครั้งการสังหารโดยทหารและกองกำลังได้ลงมือต่อหน้าทหารของสหประชาชาติ
ด้วยซ้ำ
กล่าวกันว่าสหประชาชาติเองก็กังวลถึงความปลอดภัยของกองกำลังของตนเช่นกัน
เพราะลดกองกำลัง UNAMIR ลงถึง 90%
แม้ต่อมาในเดือนพฤษภาคมสหประชาชาติจะเห็นชอบให้กองกำลังสหประชาชาติ
เข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง เพื่อที่จะหยุดการต่อสู้และเข่นฆ่าในรวันดา
แต่น่าเสียดายเพราะเวลาที่สหประชาชาติจะแทรกแซงได้ผ่านพ้นไปและสายเกินไป
แล้ว จนไม่อาจหยุดยั้งการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ลงไปได้
ในขณะที่กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
รุกคืบบุกยึดได้พื้นที่ทางตอนเหนือของรวันดาอยู่ในความควบคุมแล้วนั้น
ชาวฮูตูก็เริ่มทยอยหนีไปอยู่แซร์ เบอรันดี และเทนเซเนีย
เพราะถูกกระตุ้นจากกลุ่มฮูตูหัวรุนแรงที่ได้เข่นฆ่าชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูหัว
ไม่รุนแรงอย่างต่อเนื่องว่าหากไม่หลบหนีจะถูกสังหารโดย PRF
นอกจากนั้นเจ้าพนักงานท้องถิ่นรวมทั้งสมาชิกของกลุ่ม อินเทอราฮัมเว
(Interahamwe)
แจ้งให้ชาวฮูตูหนีออกไปจากประเทศเพราะมิฉะนั้นจะถูกสังหารหากยังคงอยู่ใน
ประเทศต่อไป ชาวฮูตูจำนวนมากกลัวว่ากองทัพของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา
(RPF) จะสังหาร
จึงรีบเร่งที่จะหนีออกไปจากประเทศอย่างชุลมุนวุ่นวายด้วยความหวาดกลัว
จนกระทั่งเดือนพฤษภาคมมีแนวโน้มว่ากองทัพของกลุ่มแนวหน้าผู้รัก
ชาติรวันดา (RPF) จะชนะอย่างแน่นอน ทำให้ชาวรวันดา
จำนวนมากต้องลี้ภัยไปนอกประเทศอีกครั้งหนึ่ง
แต่ครั้งนี้เป็นการอพยพหนีภัยของชาวฮูตูซึ่งเป็นชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่กว่า
ซึ่งเกรงว่าถูกฆ่าโดยทหารของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
การต่อสู้ในกรุงคิกาลียังคงตึงเครียด
แต่ในพื้นที่อื่นทหารกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
และสมาชิกกองกำลังรัฐบาลไม่ได้ส่งทหารไปประจันหน้าต่อสู้กันมากนัก
ในช่วงเวลานี้กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
เริ่มรับสมาชิกเพิ่มขึ้น
หลายๆคนมาจากญาติของบุคคลที่ถูกกองกำลังรัฐบาลเข่นฆ่าจากการโจมตีครั้งสุด
ท้ายที่กรุงคิกาลี
พลเมืองชาวตุ๊ดซี่ที่รวมตัวกันครั้งใหม่นี้กระหายที่จะล้างแค้นต่อชาวฮูตู
และพร้อมที่จะกระทำการอันชั่วร้ายแบบอื่นๆต่อพลเมืองชาวฮูตู โดยไม่ลดละ
และที่สำคัญกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ได้ใช้พลเรือนชาวตุ๊ดซี่ที่ฝึกมาอย่างดีเข่นฆ่าพลเรือนชาวฮูตู
ซึ่งถือเป็นการกระทำต่อกันของพลเรือนต่อพลเรือน
กล่าวกันว่านี่เป็นวิธีการที่กลุ่มกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา RPF
ได้มีการวางแผนมาอย่างดีในการสังหารชาวฮูตู ด้วยความโหดร้าย
ทั้งใช้อาวุธปืน มีด และของมีคมอื่นๆ
รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่สามารถนำมาดัดแปลงใช้เป็นอาวุธในการ
เข่นฆ่า
การกระทำในลักษณะนี้มีแนวโน้มว่าผู้นำกลุ่มกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา
(RPF)
ไม่ต้องการให้สมาพันธุ์นานาชาติเห็นว่าฝ่ายผู้นำกองกำลังเป็นฝ่ายสังหาร
พลเรือน แต่เป็นการกระทำของพลเรือนด้วยกันเอง
ปลายเดือนมิถุนายน ฝรั่งเศสได้ส่งกองกำลัง 2 พัน 5
ร้อยคนเพื่อที่จะช่วยหยุดยั้งความรุนแรงและความวุ่นวายซึ่งเกิดในบริเวณเขต
แดนของแซร์กับรวันดา
พร้อมทั้งมีมาตรการป้องกันไม่ให้ชาวรวันดาหลายล้านอพยพออกนอกประเทศ
โดยฝรั่งเศสได้ตั้งหน่วยกลางทางตะวันตกเฉียงใต้ของรวันดา
รัฐบาลรักษาการณ์ต้อนรับการเข้าแทรกแซงนี้เป็นอย่างดีและหวังว่าฝรั่งเศสผู้
ซึ่งให้การสนับสนุน จูเวอนัล ฮาเบียริมานา (Juvenal Habyarimana)
จะช่วยเหลือรัฐบาลในการฝึกฝนทหารที่สนับสนุนรัฐบาล (FAR)
เพื่อจะช่วยต่อสู้กับกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ขณะเดียวกันกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ก็ไม่ไว้ใจการแทรกแซงของฝรั่งเศสเพราะเชื่อว่ากองกำลังทหารของฝรั่งเศสจะ
สนับสนุนกองกำลังของรัฐบาล (FAR)
แต่ท้ายที่สุดแล้วฝรั่งเศสก็ยังคงวางตัวเป็นกลาง
เมื่อ 4 กรกฎาคม 1994 กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ได้ยึดกรุงคิกาลีสำเร็จ และหลังจากนั้นได้รวมพลังซึ่งมีกองกำลังเกือบ 3
ล้านคนทั้ง พลเรือน ทหาร สมาชิกกองกำลัง
และเจ้าพนักงานท้องถิ่นเข้าโจมตีในบูแทร์และรูเฮนเจอรีซึ่งเป็นฐานกำลัง
สำคัญของรัฐบาลรักษาการณ์กระทั่งวันที่ 14 กรกฎาคม RPF ได้ชัยชนะ
กระทั่งวันที่ 17 กรกฎาคม
สามารถควบคุมประเทศไว้ได้ทั้งหมดขยายไปถึงชายแดนของแซร์
ยกเว้นแต่หน่วยกลางของฝรั่งเศสเท่านั้น
ข้อตกลงหยุดยิงมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1994
หลังจากนั้นกองทหารกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ซึ่งได้รับชัยชนะก็ประกาศสิ้นสุดสงคราม ชาวตุ๊ดซี่กลับมาอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ตามมานั่นคือการทำหน้าที่ของสถานีวิทยุของรัฐที่ตกอยู่ภายใต้การ
ควบคุมของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ได้กระจายเสียงอย่างต่อเนื่องเพื่อขับไล่ชาวฮูตูให้อพยพออกนอกประเทศอย่าง
ต่อเนื่อง
สภาพปัญหาหลังสงครามกลางเมือง
หลังจากที่ได้รับชัยชนะจากสงครามกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
พยายามตั้งรัฐบาลในทันที พาสเตอร์ บิซิมังกู (Pasteur
Kagame)ชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงและเป็นหนึ่งในสมาชิกชั้นสูงของกลุ่มแนวหน้าผู้
รักชาติรวันดา (RPF) ที่ร่วมกับชาวตุ๊ดซี่
ได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี พลตรี พอล คากาเม่ ( Major General
Paul Kagame) ชาวตุ๊ดซี่
ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม คนต่อมาคือฟอสติน
ทวากิรามังกู ( Faustin Twagiramungu) ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลใหม่นี้ถูกขนานนามว่า “รัฐบาลของการรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว”
เพราะมีสมาชิกเป็นผู้นำทางการเมืองของสองชาติพันธุ์
นอกจากนั้นยังมีนักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้านของรวันดา
ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) อีกจำนวน 5 คน
ได้ตำแหน่งในรัฐบาลจากสมาชิกรัฐบาลทั้งหมดจำนวน 20 ตำแหน่ง
หลังจากนั้นรัฐบาลได้ทำตามแนวทางซึ่งเคยกำหนดไว้ในข้อตกลงสงบศึกอรูชาเมื่อ
ปี 1993
นั่นคือรวันดาจะต้องจัดตั้งรัฐบาลที่แบ่งสรรอำนาจจากทั้งสองชาติพันธุ์
ซึ่งรวมถึงพรรคการเมืองฝ่ายค้านและแกนนำกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ส่วนฝ่ายกองกำลังทหารนั้นจะประกอบไปด้วยทหารจากกองกำลังรัฐบาล(FAR)
และจากกองกำลังสมาชิกกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
และที่สำคัญรัฐบาลต้องอนุญาตให้ชาวตุ๊ดซี่ที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ
อพยพกลับเข้ามาในประเทศโดยเร็วรวมทั้งต้องช่วยเหลือให้ประชาชนที่ต้อง
พลัดพรากจากถิ่นที่อยู่ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่อีกครั้ง
พลตรี พอล คากาเม่ ( Major General Paul Kagame)
รองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม กล่าวในสุนทรพจน์
ขณะที่เข้าดำรงตำแหน่งว่า “วันนี้เป็นวันแห่งความสุขและความทุกข์ ….
…กองกำลังได้ยกเลิกการปกครองที่กดขี่และเผด็จการเหลือไว้เพียงแต่ประโยชน์
สุขของชีวิตประชาชนทั้งหลาย” ซึ่งเป็นคำประกาศที่มีความสวยหรูยิ่งนัก
แต่โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏหลังจากนั้นยังชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงยังไม่ได้
ยุติลง
ถึงแม้ว่าการสังหารหมู่ชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงได้ยุติลง
ชัยชนะของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตของรวันดาลงได้ในทันที
ประชาชนจำนวนมหาศาลที่ลี้ภัยออกนอกประเทศได้ก่อให้เกิดวิกฤติผู้ลี้ภัย
ไม่มีภูมิภาคใดทั้งในและนอกประเทศที่สามารถจะรองรับปัญหาผู้ลี้ภัยนี้ได้
สหประชาชาติและองค์กรช่วยเหลืออื่นได้ตั้งแคมป์ผู้ลี้ภัยในแซร์
เบอรันดีและแทนเซเนีย
แต่แคมป์ก็มีเครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยเหลือไม่พอเพียง
และไม่สามารถรองรับประชากรจำนวนมากอย่างล้นหลามได้
ปัญหาผู้ลี้ภัยจำนวนมากก็ยังคงดำรงเป็นปัญหาอยู่ต่อไป
แคมป์เป็นที่ที่ประชาชนหลายพันหลายหมื่นที่คนพลัดพรากจากบ้านเกิดใช้เป็นที่
ซุกหัวนอน
ในบางพื้นที่ประชากรหลายหมื่นคนยังคงหลบซ่อนในหุบเขาเพราะกลัวการกลับมาของ
กองกำลังจนนำไปสู่การเข่นฆ่าสังหารอีกครั้ง
ส่วนคนที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้ความรุนแรงในครั้งนี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพหิว
โหยหวาดวิตกและตกใจกลัว
ส่วนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นไม่ต้องพูดถึงแม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับทั้งประเทศจนไม่อาจใช้การได้อีก
เมื่อเดือนสิงหาคม 1994 ปัญหาจากสถานการณ์ผู้ลี้ภัยใหม่ก็ชัดเจนขึ้น
ไม่ใช่เฉพาะผู้ลี้ภัยเท่านั้นที่เป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์จากสงคราม
แม้แต่สมาชิก กลุ่ม อินเทอราฮัมเว ( Interahamwe)
และทหารกลุ่มกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล (FAR)
ก็ไปลงเอยอยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกันซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาได้รับการ
รักษาพยาบาล ได้รับอาหาร จากความช่วยเหลือของหน่วยงานเอกชน
(องค์กรเอกชนหรือ NGO) โดยปกติแล้ว NGO
จะให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนทุกคนที่ต้องการและไม่เลือกปฏิบัติต่อประชาชน
เนื่องจากการกระทำและความเชื่อทางด้านเผ่าพันธุ์และการเมือง
ดังนั้นบุคลากรของกองกำลังกลุ่ม อินเทอราฮัมเว ( Interahamwe)
และทหารกลุ่มกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล (FAR) จึงได้รับการช่วยเหลือ
การดูแลรักษาตามปกติ แม้จะเป็นกองกำลังและเกี่ยวข้องทางการเมืองก็ตาม
จากการปฏิบัติเช่นนี้ช่วยทำให้ชาวฮูตูหัวรุนแรง กองกำลังกลุ่ม
อินเทอราฮัมเว ( Interahamwe) และทหารกลุ่มกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล
(FAR)ฟื้นจากอาการบาดเจ็บและรวมตัวกันอีกครั้งในแคมป์ผู้ลี้ภัย
เจ้าหน้าที่ขององค์กรเอกชนในแคมป์ผู้ลี้ภัยไม่ได้มีอาวุธ
จึงไม่อาจปกป้องจากการควบคุมของพวกฮูตูหัวรุนแรงที่ติดอาวุธ
ดังนั้นพวกฮูตูหัวรุนแรงจึงมีอำนาจจัดการแคมป์จนสามารถควบคุมสิ่งของ
เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหมดจากองค์กรเอกชน
ในบางกรณีผู้นำหมู่บ้านซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยเหลือในการสั่งฆ่าชาวตุ๊ดซี่ได้
เข้าควบคุมในการแจกจ่ายอาหารภายในแคมป์เสียเอง
นอกเหนือจากนั้นยังจัดฝึกกองกำลังภายในแคมป์ ผู้ลี้ภัยอีกด้วย
กล่าวกันว่าหลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง พื้นที่บริเวณชานเมือง
และในทางตะวันออกของแซร์ ได้รับสมาชิกกองกำลังกลุ่ม อินเทอราฮัมเว (
Interahamwe) ไว้ประมาณ 1 หมื่นคนและสมาชิกกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล
(FAR)อีกประมาณ 3 หมื่นคนไว้ในการดูแล
ดังนั้นถึงแม้ว่าแคมป์จะมีองค์กรเอกชนเป็นผู้บริหาร
แต่สุดท้ายแล้วก็อยู่ภายใต้อำนาจของสมาชิกกองกำลังหรือกองทหารชาวฮูตูหัว
รุนแรงอยู่ดี
ซึ่งแสดงพฤติกรรมคุกคามและขู่เข็ญผู้ลี้ภัยชาวฮูตูที่ต้องการอพยพกลับเข้า
ประเทศ
โดยบอกผู้ลี้ภัยว่าชาวตุ๊ดซี่จะสังหารผู้ลี้ภัยชาวฮูตูหากยังพยายามที่กลับ
บ้าน
ซึ่งบ่อยครั้งที่สมาชิกกองกำลังเหล่านี้ได้สร้างข่าวโคมลอยเกี่ยวกับคนที่
อพยพกลับบ้านจะถูกทรมานและถูกฆ่าหลังจากกลับไปถึงแล้ว
ด้วยเหตุที่ผู้ลี้ภัยได้รับข้อมูลข่าวสารทางเดียวอย่างจำกัดเกี่ยวกับ
สถานการณ์จึงไม่รู้ว่าเรื่องไหนควรจะเชื่อหรือไม่
ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลัวว่าหากอพยพกลับไปแล้วกองกำลังกลุ่มแนวหน้าผู้
รักชาติรวันดา (RPF) จะมาสังหารและล้างแค้นเข่นฆ่าในภายหลัง
จึงหวาดกลัวที่จะอพยพกลับบ้าน
ถึงแม้ว่าข่าวโคมลอยจะแพร่ไปทั่วแคมป์ผู้อพยพโดยการสร้างเรื่องของชาว
ฮูตูหัวรุนแรงจะไม่เป็นความจริงทั้งหมด แต่จากสถานการณ์ในรวันดา
ถ้าหากผู้ลี้ภัยจะกลับเข้าประเทศแล้วก็ยังคงล่อแหลมอยู่ดี
เพราะการล้างแค้นของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ที่มีต่อชาวฮูตูได้เกิดขึ้นจริงทั่วประเทศ
และนอกจากนั้นยังคงมีปัญหาผู้อพยพอีกกลุ่มคือชาวตุ๊ดซี่ที่หนีและถูกเนรเทศ
ออกไปที่เบอรันดี แซร์ อูกันดา และแทนเซเนีย ในรัฐบาลก่อนหน้านี้
ได้เดินทางกลับเข้ามาในรวันดาหลังจากชัยชนะของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา
(RPF) เมื่อเดือนสิงหาคม ชาวบานยารวันดา กว่า 2 แสนคนได้กลับเข้าประเทศ
พลเมืองหลายๆคนได้อ้างสิทธิเหนือทรัพย์สินซึ่งถูกทิ้งร้างในช่วงสงคราม
ระหว่างกองกำลังของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) กับรัฐบาล
มีการกล่าวกันว่าผู้นำกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อการเข้ายึดอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ของชาวฮู
ตู ซึ่งปัญหานี้ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่ชาวฮูตูไม่อาจกลับประเทศได้
ปลายปี 1994 กองกำลังชาวฮูตูได้ข้ามเขตแดนเข้ามาในรวันดาจาก แซร์
และแทนเซเนีย
คราวนี้ได้ก่อให้เกิดการปะทะกันกับกองกำลังที่พึ่งตั้งขึ้นใหม่ของรัฐบาล
คือ กองกำลังเพื่อชาติรวันดา ( Rwandan Patriotic Army – RPA )
เป็นกองกำลังที่รวมกองกำลังของ RPF ของชาวตุ๊ดซี่ และกองกำลัง FAR
ซึ่งเคยเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของรัฐบาลชาวฮูตูมาก่อน
เข้าด้วยกันและได้รับการฝึกฝนใหม่
การแทรกซึมเข้าไปในประเทศครั้งนี้ของกองกำลังชาวฮูตูได้ก่อให้เกิดการ
ใช้ความรุนแรงครั้งใหม่จากกองกำลังเพื่อชาติรวันดา ( RPA)
ต่อพลเรือนชาวฮูตูโดย RPA
เชื่อว่าชาวฮูตูบางคนได้ให้การช่วยเหลือกองกำลังชาวฮูตูด้วย จึงมีการสังหาร
ลักพาตัว รวมทั้งทำลายทรัพย์สินชาวฮูตูอีกจำนวนมาก
ในครั้งนี้ผู้สังเกตการณ์ของสหประชาชาติกล่าวว่าการลักพาตัว
การสังหารและการทำลายทรัพย์สินได้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศรวันดา
แต่การกระทำดังกล่าวนี้รัฐบาลปฏิเสธว่ามิใช่การกระทำของกองกำลังเพื่อ
ชาติรวันดา ( RPA) และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายแก้แค้นของรัฐบาล
ทั้งๆ ที่มีการแถลงปฏิเสธจากรัฐบาล
แต่จริงๆแล้วกองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA)
ก็ยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงต่อชาวฮูตูจำนวนมาก ในเดือนเมษายน
1995 จากข้อมูลของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติผู้ลี้ภัย (UNHCR)
รายงานว่ากองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA) ได้สังหารประชาชนไป 2 พันถึง 4
พันคนเมื่อรัฐบาลพยายามที่จะปิดแคมป์ผู้ลี้ภัย คิเบโฮ
เพราะรัฐบาลเชื่อว่าแคมป์นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮูตูหัวรุนแรง
ในช่วงหลายวันของความวุ่นวาย กองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA)
ได้ยิงปืนข่มขู่เพื่อบังคับให้ผู้ลี้ภัย 2 แสน 5 หมื่นคนต้องออกจากพื้นที่
เมื่อมีผู้ลี้ภัยบางส่วนที่หวาดกลัวเริ่มวิ่งหนี กองกำลังเพื่อชาติรวันดา
(RPA)
ก็กราดกระสุนเข้าใส่ฝูงชนทันทีซึ่งการกระทำนี้กองกำลังเพื่อชาติรวันดา
(RPA) อ้างว่าเป็นการป้องกันตัว
ทั้งๆที่ขัดกับความเป็นจริงเพราะหลังจากนั้นหน่วยงานช่วยเหลือนานาชาติ
Medecins Sans Frontieres (Doctor without borders)
รายงานว่าชาวฮูตูจำนวนมากถูกสังหารด้วยการยิงจากข้างหลังในขณะที่วิ่งหนีกอง
กำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA)
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นหายนะทางความสัมพันธ์ระหว่างชาวฮูตูกับชาวตุ๊ดซี่
รุนแรงยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งเป็นหายนะต่อกระบวนการเพื่อความสงบทั้งหลายที่ทุกๆฝ่ายได้ให้การ
สนับสนุนและมีทีท่าว่าจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี
ภายใต้รัฐบาลใหม่ปัญหาทางการเมืองยังคงดำรงอยู่
เพราะเหตุเนื่องมาจากกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ได้จัดแบ่งตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีไม่เหมาะสม
ทั้งๆที่ตำแหน่งรัฐมนตรีควรจะถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มแนวหน้า
ผู้รักชาติรวันดา (RPF) กับกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
แต่เนื่องจากกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ได้จัดสรรตำแหน่งให้แก่สมาชิกของพรรคปฏิวัติชาติเพื่อการพัฒนา (MRND)
ของชาวฮูตูด้วยซึ่งสมาชิกของพรรคนี้ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วจึงไม่มีใคร
เข้ารับตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้นกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
จึงเข้ายึดครองตำแหน่งดังกล่าวเป็นของกลุ่มตนทั้งหมด
ทำให้สามารถควบคุมอำนาจภายในรัฐบาลได้เบ็ดเสร็จ
พรรคฝ่ายค้านจึงไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว จนนำไปสู่ความขัดแย้งกันอีก
จนกระทั่งประชาคมโลกได้เรียกร้องให้กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)
ต้องจัดแบ่งฐานที่นั่งในรัฐบาลให้เท่าเทียมกันเป็นไปตามข้อตกลงสงบศึกอรูชา
เมื่อปี 1993
อ้างอิง
Bodnarchuk, Kari. World in conflict.
Rawanda : country torn apart .Manufactured in the United States of
America.By Lerner Publications Company
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น