แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รวันดา : บนความเพิกเฉยของสหประชาชาติ (7)

ที่มา ประชาไท



กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (Rwandan Patriotic Front) หรือ RPF รุกคืบบุกยึดได้พื้นที่ทางตอนเหนือของรวันดาจนอยู่ในความควบคุมของตน หลังจากนั้นในวันที่ 9 เมษายน 1994  กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ได้รื้อฟื้นความเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลรวันดาขึ้นอย่างเป็นทางการ  โดยกองทหารของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) จำนวนมากเคลื่อนทัพมาจากทางตอนเหนือเพื่อบดขยี้ทำสงครามกับกองกำลังรัฐบาล และเมื่อวันที่ 11 เมษายน ได้เดินทางถึงกรุงคิกาลีซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทหารรัฐบาล หลังจากนั้นในวันต่อมารัฐบาลรักษาการณ์ได้หลบหนีไปอยู่กับกลุ่มกิทา รามา(Gitarama) (ซึ่งเป็นชื่อกองกำลังของกลุ่มชาวฮูตูหัวรุนแรง ที่ก่อตั้งเมื่อปลายยุค 1960 เพื่อสนับสนุนรัฐบาล)   ขณะที่สถานีวิทยุของรัฐได้ยั่วยุให้ชาวฮูตูป้องกันประเทศต่อการรุกรานของกอง ทหารของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดาชาวตุ๊ดซี่ (RPF) หลังจากนั้นผู้นำ RPF กล่าวว่าพวกเขาจะหยุดการต่อสู้ทันทีเมื่อขับไล่ชาวฮูตูหัวรุนแรงออกนอก ประเทศไปได้ และได้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมเรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญจะต้องจับกุมบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของชาวตุ๊ดซี่ และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงได้แล้วด้วย นั่นเป็นการสื่อความหมายที่มีนัยชัดเจนว่าการแตกหักระหว่างชาติพันธุ์เท่า นั้นที่นำไปสู่การยุติสงคราม
 
การรื้อฟื้นความเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลรวันดาขึ้นอย่างเป็นทางการ  ทำให้ความรุนแรงแพร่กระจายและดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งประเทศ เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่ากองกำลังของรัฐบาลและกลุ่มกิทารามา (Gitarama) ได้เข่นฆ่าชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงเมื่อปลายเดือนเมษายน ไปแล้วประมาณ 2 แสนคน 
 
ทั้งๆที่ประชาคมโลกตระหนักถึงการเข่นฆ่าในครั้งนี้แต่ก็ไม่มีใครกระทำ การใดๆเพื่อหยุดยั้ง แม้บางครั้งการสังหารโดยทหารและกองกำลังได้ลงมือต่อหน้าทหารของสหประชาชาติ ด้วยซ้ำ กล่าวกันว่าสหประชาชาติเองก็กังวลถึงความปลอดภัยของกองกำลังของตนเช่นกัน เพราะลดกองกำลัง UNAMIR ลงถึง 90%   แม้ต่อมาในเดือนพฤษภาคมสหประชาชาติจะเห็นชอบให้กองกำลังสหประชาชาติ เข้ามาแทรกแซงอีกครั้ง เพื่อที่จะหยุดการต่อสู้และเข่นฆ่าในรวันดา แต่น่าเสียดายเพราะเวลาที่สหประชาชาติจะแทรกแซงได้ผ่านพ้นไปและสายเกินไป แล้ว จนไม่อาจหยุดยั้งการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ลงไปได้
 
ในขณะที่กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) รุกคืบบุกยึดได้พื้นที่ทางตอนเหนือของรวันดาอยู่ในความควบคุมแล้วนั้น ชาวฮูตูก็เริ่มทยอยหนีไปอยู่แซร์ เบอรันดี และเทนเซเนีย เพราะถูกกระตุ้นจากกลุ่มฮูตูหัวรุนแรงที่ได้เข่นฆ่าชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูหัว ไม่รุนแรงอย่างต่อเนื่องว่าหากไม่หลบหนีจะถูกสังหารโดย PRF นอกจากนั้นเจ้าพนักงานท้องถิ่นรวมทั้งสมาชิกของกลุ่ม อินเทอราฮัมเว (Interahamwe) แจ้งให้ชาวฮูตูหนีออกไปจากประเทศเพราะมิฉะนั้นจะถูกสังหารหากยังคงอยู่ใน ประเทศต่อไป ชาวฮูตูจำนวนมากกลัวว่ากองทัพของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) จะสังหาร จึงรีบเร่งที่จะหนีออกไปจากประเทศอย่างชุลมุนวุ่นวายด้วยความหวาดกลัว
 
จนกระทั่งเดือนพฤษภาคมมีแนวโน้มว่ากองทัพของกลุ่มแนวหน้าผู้รัก ชาติรวันดา (RPF) จะชนะอย่างแน่นอน ทำให้ชาวรวันดา จำนวนมากต้องลี้ภัยไปนอกประเทศอีกครั้งหนึ่ง  แต่ครั้งนี้เป็นการอพยพหนีภัยของชาวฮูตูซึ่งเป็นชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่กว่า ซึ่งเกรงว่าถูกฆ่าโดยทหารของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) การต่อสู้ในกรุงคิกาลียังคงตึงเครียด แต่ในพื้นที่อื่นทหารกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) และสมาชิกกองกำลังรัฐบาลไม่ได้ส่งทหารไปประจันหน้าต่อสู้กันมากนัก 
 
ในช่วงเวลานี้กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) เริ่มรับสมาชิกเพิ่มขึ้น หลายๆคนมาจากญาติของบุคคลที่ถูกกองกำลังรัฐบาลเข่นฆ่าจากการโจมตีครั้งสุด ท้ายที่กรุงคิกาลี พลเมืองชาวตุ๊ดซี่ที่รวมตัวกันครั้งใหม่นี้กระหายที่จะล้างแค้นต่อชาวฮูตู และพร้อมที่จะกระทำการอันชั่วร้ายแบบอื่นๆต่อพลเมืองชาวฮูตู โดยไม่ลดละ  และที่สำคัญกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ได้ใช้พลเรือนชาวตุ๊ดซี่ที่ฝึกมาอย่างดีเข่นฆ่าพลเรือนชาวฮูตู  ซึ่งถือเป็นการกระทำต่อกันของพลเรือนต่อพลเรือน 
 
กล่าวกันว่านี่เป็นวิธีการที่กลุ่มกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา RPF ได้มีการวางแผนมาอย่างดีในการสังหารชาวฮูตู ด้วยความโหดร้าย ทั้งใช้อาวุธปืน มีด และของมีคมอื่นๆ รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่สามารถนำมาดัดแปลงใช้เป็นอาวุธในการ เข่นฆ่า  การกระทำในลักษณะนี้มีแนวโน้มว่าผู้นำกลุ่มกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ไม่ต้องการให้สมาพันธุ์นานาชาติเห็นว่าฝ่ายผู้นำกองกำลังเป็นฝ่ายสังหาร พลเรือน แต่เป็นการกระทำของพลเรือนด้วยกันเอง
 
ปลายเดือนมิถุนายน ฝรั่งเศสได้ส่งกองกำลัง 2 พัน 5 ร้อยคนเพื่อที่จะช่วยหยุดยั้งความรุนแรงและความวุ่นวายซึ่งเกิดในบริเวณเขต แดนของแซร์กับรวันดา พร้อมทั้งมีมาตรการป้องกันไม่ให้ชาวรวันดาหลายล้านอพยพออกนอกประเทศ โดยฝรั่งเศสได้ตั้งหน่วยกลางทางตะวันตกเฉียงใต้ของรวันดา รัฐบาลรักษาการณ์ต้อนรับการเข้าแทรกแซงนี้เป็นอย่างดีและหวังว่าฝรั่งเศสผู้ ซึ่งให้การสนับสนุน  จูเวอนัล ฮาเบียริมานา (Juvenal Habyarimana) จะช่วยเหลือรัฐบาลในการฝึกฝนทหารที่สนับสนุนรัฐบาล (FAR) เพื่อจะช่วยต่อสู้กับกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ขณะเดียวกันกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ก็ไม่ไว้ใจการแทรกแซงของฝรั่งเศสเพราะเชื่อว่ากองกำลังทหารของฝรั่งเศสจะ สนับสนุนกองกำลังของรัฐบาล (FAR)   แต่ท้ายที่สุดแล้วฝรั่งเศสก็ยังคงวางตัวเป็นกลาง
  
เมื่อ 4 กรกฎาคม 1994 กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ได้ยึดกรุงคิกาลีสำเร็จ และหลังจากนั้นได้รวมพลังซึ่งมีกองกำลังเกือบ 3 ล้านคนทั้ง พลเรือน ทหาร สมาชิกกองกำลัง และเจ้าพนักงานท้องถิ่นเข้าโจมตีในบูแทร์และรูเฮนเจอรีซึ่งเป็นฐานกำลัง สำคัญของรัฐบาลรักษาการณ์กระทั่งวันที่ 14 กรกฎาคม RPF ได้ชัยชนะ กระทั่งวันที่ 17 กรกฎาคม  สามารถควบคุมประเทศไว้ได้ทั้งหมดขยายไปถึงชายแดนของแซร์ ยกเว้นแต่หน่วยกลางของฝรั่งเศสเท่านั้น  ข้อตกลงหยุดยิงมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1994 หลังจากนั้นกองทหารกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ซึ่งได้รับชัยชนะก็ประกาศสิ้นสุดสงคราม ชาวตุ๊ดซี่กลับมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่ตามมานั่นคือการทำหน้าที่ของสถานีวิทยุของรัฐที่ตกอยู่ภายใต้การ ควบคุมของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ได้กระจายเสียงอย่างต่อเนื่องเพื่อขับไล่ชาวฮูตูให้อพยพออกนอกประเทศอย่าง ต่อเนื่อง
 
สภาพปัญหาหลังสงครามกลางเมือง
 
หลังจากที่ได้รับชัยชนะจากสงครามกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) พยายามตั้งรัฐบาลในทันที พาสเตอร์ บิซิมังกู (Pasteur Kagame)ชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงและเป็นหนึ่งในสมาชิกชั้นสูงของกลุ่มแนวหน้าผู้ รักชาติรวันดา (RPF) ที่ร่วมกับชาวตุ๊ดซี่ ได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี  พลตรี พอล คากาเม่ ( Major General Paul Kagame) ชาวตุ๊ดซี่ ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม คนต่อมาคือฟอสติน ทวากิรามังกู ( Faustin Twagiramungu) ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐบาลใหม่นี้ถูกขนานนามว่า “รัฐบาลของการรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว” เพราะมีสมาชิกเป็นผู้นำทางการเมืองของสองชาติพันธุ์ 
 
นอกจากนั้นยังมีนักการเมืองจากพรรคฝ่ายค้านของรวันดา ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) อีกจำนวน 5 คน ได้ตำแหน่งในรัฐบาลจากสมาชิกรัฐบาลทั้งหมดจำนวน 20 ตำแหน่ง หลังจากนั้นรัฐบาลได้ทำตามแนวทางซึ่งเคยกำหนดไว้ในข้อตกลงสงบศึกอรูชาเมื่อ ปี 1993   นั่นคือรวันดาจะต้องจัดตั้งรัฐบาลที่แบ่งสรรอำนาจจากทั้งสองชาติพันธุ์ ซึ่งรวมถึงพรรคการเมืองฝ่ายค้านและแกนนำกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ส่วนฝ่ายกองกำลังทหารนั้นจะประกอบไปด้วยทหารจากกองกำลังรัฐบาล(FAR) และจากกองกำลังสมาชิกกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) และที่สำคัญรัฐบาลต้องอนุญาตให้ชาวตุ๊ดซี่ที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ อพยพกลับเข้ามาในประเทศโดยเร็วรวมทั้งต้องช่วยเหลือให้ประชาชนที่ต้อง พลัดพรากจากถิ่นที่อยู่ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่อีกครั้ง 
 
พลตรี พอล คากาเม่ ( Major General Paul Kagame) รองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม กล่าวในสุนทรพจน์ ขณะที่เข้าดำรงตำแหน่งว่า “วันนี้เป็นวันแห่งความสุขและความทุกข์ …. …กองกำลังได้ยกเลิกการปกครองที่กดขี่และเผด็จการเหลือไว้เพียงแต่ประโยชน์ สุขของชีวิตประชาชนทั้งหลาย” ซึ่งเป็นคำประกาศที่มีความสวยหรูยิ่งนัก แต่โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏหลังจากนั้นยังชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงยังไม่ได้ ยุติลง
 
ถึงแม้ว่าการสังหารหมู่ชาวตุ๊ดซี่และชาวฮูตูหัวไม่รุนแรงได้ยุติลง ชัยชนะของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)  ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตของรวันดาลงได้ในทันที ประชาชนจำนวนมหาศาลที่ลี้ภัยออกนอกประเทศได้ก่อให้เกิดวิกฤติผู้ลี้ภัย ไม่มีภูมิภาคใดทั้งในและนอกประเทศที่สามารถจะรองรับปัญหาผู้ลี้ภัยนี้ได้   สหประชาชาติและองค์กรช่วยเหลืออื่นได้ตั้งแคมป์ผู้ลี้ภัยในแซร์ เบอรันดีและแทนเซเนีย   แต่แคมป์ก็มีเครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยเหลือไม่พอเพียง  และไม่สามารถรองรับประชากรจำนวนมากอย่างล้นหลามได้ 
 
ปัญหาผู้ลี้ภัยจำนวนมากก็ยังคงดำรงเป็นปัญหาอยู่ต่อไป แคมป์เป็นที่ที่ประชาชนหลายพันหลายหมื่นที่คนพลัดพรากจากบ้านเกิดใช้เป็นที่ ซุกหัวนอน  ในบางพื้นที่ประชากรหลายหมื่นคนยังคงหลบซ่อนในหุบเขาเพราะกลัวการกลับมาของ กองกำลังจนนำไปสู่การเข่นฆ่าสังหารอีกครั้ง  ส่วนคนที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้ความรุนแรงในครั้งนี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพหิว โหยหวาดวิตกและตกใจกลัว ส่วนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นไม่ต้องพูดถึงแม้จะมีอยู่เพียงน้อยนิด ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับทั้งประเทศจนไม่อาจใช้การได้อีก
 
เมื่อเดือนสิงหาคม 1994 ปัญหาจากสถานการณ์ผู้ลี้ภัยใหม่ก็ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่เฉพาะผู้ลี้ภัยเท่านั้นที่เป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์จากสงคราม แม้แต่สมาชิก กลุ่ม อินเทอราฮัมเว ( Interahamwe) และทหารกลุ่มกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล (FAR) ก็ไปลงเอยอยู่ในแคมป์ผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกันซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาได้รับการ รักษาพยาบาล ได้รับอาหาร  จากความช่วยเหลือของหน่วยงานเอกชน (องค์กรเอกชนหรือ NGO) โดยปกติแล้ว NGO จะให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนทุกคนที่ต้องการและไม่เลือกปฏิบัติต่อประชาชน เนื่องจากการกระทำและความเชื่อทางด้านเผ่าพันธุ์และการเมือง  ดังนั้นบุคลากรของกองกำลังกลุ่ม อินเทอราฮัมเว ( Interahamwe) และทหารกลุ่มกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล (FAR) จึงได้รับการช่วยเหลือ  การดูแลรักษาตามปกติ แม้จะเป็นกองกำลังและเกี่ยวข้องทางการเมืองก็ตาม จากการปฏิบัติเช่นนี้ช่วยทำให้ชาวฮูตูหัวรุนแรง  กองกำลังกลุ่ม อินเทอราฮัมเว ( Interahamwe) และทหารกลุ่มกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล (FAR)ฟื้นจากอาการบาดเจ็บและรวมตัวกันอีกครั้งในแคมป์ผู้ลี้ภัย
 
เจ้าหน้าที่ขององค์กรเอกชนในแคมป์ผู้ลี้ภัยไม่ได้มีอาวุธ  จึงไม่อาจปกป้องจากการควบคุมของพวกฮูตูหัวรุนแรงที่ติดอาวุธ  ดังนั้นพวกฮูตูหัวรุนแรงจึงมีอำนาจจัดการแคมป์จนสามารถควบคุมสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหมดจากองค์กรเอกชน ในบางกรณีผู้นำหมู่บ้านซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยเหลือในการสั่งฆ่าชาวตุ๊ดซี่ได้ เข้าควบคุมในการแจกจ่ายอาหารภายในแคมป์เสียเอง  นอกเหนือจากนั้นยังจัดฝึกกองกำลังภายในแคมป์   ผู้ลี้ภัยอีกด้วย  กล่าวกันว่าหลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง พื้นที่บริเวณชานเมือง และในทางตะวันออกของแซร์ ได้รับสมาชิกกองกำลังกลุ่ม อินเทอราฮัมเว ( Interahamwe) ไว้ประมาณ 1 หมื่นคนและสมาชิกกองกำลังสนับสนุนรัฐบาล (FAR)อีกประมาณ 3 หมื่นคนไว้ในการดูแล
                 
ดังนั้นถึงแม้ว่าแคมป์จะมีองค์กรเอกชนเป็นผู้บริหาร แต่สุดท้ายแล้วก็อยู่ภายใต้อำนาจของสมาชิกกองกำลังหรือกองทหารชาวฮูตูหัว รุนแรงอยู่ดี ซึ่งแสดงพฤติกรรมคุกคามและขู่เข็ญผู้ลี้ภัยชาวฮูตูที่ต้องการอพยพกลับเข้า ประเทศ  โดยบอกผู้ลี้ภัยว่าชาวตุ๊ดซี่จะสังหารผู้ลี้ภัยชาวฮูตูหากยังพยายามที่กลับ บ้าน ซึ่งบ่อยครั้งที่สมาชิกกองกำลังเหล่านี้ได้สร้างข่าวโคมลอยเกี่ยวกับคนที่ อพยพกลับบ้านจะถูกทรมานและถูกฆ่าหลังจากกลับไปถึงแล้ว ด้วยเหตุที่ผู้ลี้ภัยได้รับข้อมูลข่าวสารทางเดียวอย่างจำกัดเกี่ยวกับ สถานการณ์จึงไม่รู้ว่าเรื่องไหนควรจะเชื่อหรือไม่ ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลัวว่าหากอพยพกลับไปแล้วกองกำลังกลุ่มแนวหน้าผู้ รักชาติรวันดา (RPF) จะมาสังหารและล้างแค้นเข่นฆ่าในภายหลัง จึงหวาดกลัวที่จะอพยพกลับบ้าน
 
ถึงแม้ว่าข่าวโคมลอยจะแพร่ไปทั่วแคมป์ผู้อพยพโดยการสร้างเรื่องของชาว ฮูตูหัวรุนแรงจะไม่เป็นความจริงทั้งหมด  แต่จากสถานการณ์ในรวันดา ถ้าหากผู้ลี้ภัยจะกลับเข้าประเทศแล้วก็ยังคงล่อแหลมอยู่ดี เพราะการล้างแค้นของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)  ที่มีต่อชาวฮูตูได้เกิดขึ้นจริงทั่วประเทศ และนอกจากนั้นยังคงมีปัญหาผู้อพยพอีกกลุ่มคือชาวตุ๊ดซี่ที่หนีและถูกเนรเทศ ออกไปที่เบอรันดี แซร์ อูกันดา และแทนเซเนีย ในรัฐบาลก่อนหน้านี้ ได้เดินทางกลับเข้ามาในรวันดาหลังจากชัยชนะของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) เมื่อเดือนสิงหาคม ชาวบานยารวันดา กว่า 2 แสนคนได้กลับเข้าประเทศ พลเมืองหลายๆคนได้อ้างสิทธิเหนือทรัพย์สินซึ่งถูกทิ้งร้างในช่วงสงคราม ระหว่างกองกำลังของกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) กับรัฐบาล  มีการกล่าวกันว่าผู้นำกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อการเข้ายึดอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ของชาวฮู ตู ซึ่งปัญหานี้ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่ชาวฮูตูไม่อาจกลับประเทศได้
 
ปลายปี 1994 กองกำลังชาวฮูตูได้ข้ามเขตแดนเข้ามาในรวันดาจาก แซร์ และแทนเซเนีย คราวนี้ได้ก่อให้เกิดการปะทะกันกับกองกำลังที่พึ่งตั้งขึ้นใหม่ของรัฐบาล คือ กองกำลังเพื่อชาติรวันดา ( Rwandan Patriotic Army – RPA ) เป็นกองกำลังที่รวมกองกำลังของ RPF ของชาวตุ๊ดซี่ และกองกำลัง FAR ซึ่งเคยเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของรัฐบาลชาวฮูตูมาก่อน   เข้าด้วยกันและได้รับการฝึกฝนใหม่  
 
การแทรกซึมเข้าไปในประเทศครั้งนี้ของกองกำลังชาวฮูตูได้ก่อให้เกิดการ ใช้ความรุนแรงครั้งใหม่จากกองกำลังเพื่อชาติรวันดา ( RPA) ต่อพลเรือนชาวฮูตูโดย RPA เชื่อว่าชาวฮูตูบางคนได้ให้การช่วยเหลือกองกำลังชาวฮูตูด้วย จึงมีการสังหาร ลักพาตัว รวมทั้งทำลายทรัพย์สินชาวฮูตูอีกจำนวนมาก  ในครั้งนี้ผู้สังเกตการณ์ของสหประชาชาติกล่าวว่าการลักพาตัว การสังหารและการทำลายทรัพย์สินได้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศรวันดา แต่การกระทำดังกล่าวนี้รัฐบาลปฏิเสธว่ามิใช่การกระทำของกองกำลังเพื่อ ชาติรวันดา ( RPA) และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายแก้แค้นของรัฐบาล
 
ทั้งๆ ที่มีการแถลงปฏิเสธจากรัฐบาล  แต่จริงๆแล้วกองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA) ก็ยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงต่อชาวฮูตูจำนวนมาก ในเดือนเมษายน 1995 จากข้อมูลของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติผู้ลี้ภัย (UNHCR) รายงานว่ากองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA) ได้สังหารประชาชนไป 2 พันถึง 4 พันคนเมื่อรัฐบาลพยายามที่จะปิดแคมป์ผู้ลี้ภัย คิเบโฮ เพราะรัฐบาลเชื่อว่าแคมป์นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮูตูหัวรุนแรง 
 
ในช่วงหลายวันของความวุ่นวาย กองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA) ได้ยิงปืนข่มขู่เพื่อบังคับให้ผู้ลี้ภัย 2 แสน 5 หมื่นคนต้องออกจากพื้นที่ เมื่อมีผู้ลี้ภัยบางส่วนที่หวาดกลัวเริ่มวิ่งหนี กองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA) ก็กราดกระสุนเข้าใส่ฝูงชนทันทีซึ่งการกระทำนี้กองกำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA) อ้างว่าเป็นการป้องกันตัว  ทั้งๆที่ขัดกับความเป็นจริงเพราะหลังจากนั้นหน่วยงานช่วยเหลือนานาชาติ Medecins Sans Frontieres (Doctor without borders) รายงานว่าชาวฮูตูจำนวนมากถูกสังหารด้วยการยิงจากข้างหลังในขณะที่วิ่งหนีกอง กำลังเพื่อชาติรวันดา (RPA)  เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นหายนะทางความสัมพันธ์ระหว่างชาวฮูตูกับชาวตุ๊ดซี่ รุนแรงยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเป็นหายนะต่อกระบวนการเพื่อความสงบทั้งหลายที่ทุกๆฝ่ายได้ให้การ สนับสนุนและมีทีท่าว่าจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี
 
ภายใต้รัฐบาลใหม่ปัญหาทางการเมืองยังคงดำรงอยู่ เพราะเหตุเนื่องมาจากกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ได้จัดแบ่งตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีไม่เหมาะสม ทั้งๆที่ตำแหน่งรัฐมนตรีควรจะถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มแนวหน้า ผู้รักชาติรวันดา (RPF) กับกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้าน แต่เนื่องจากกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)   ได้จัดสรรตำแหน่งให้แก่สมาชิกของพรรคปฏิวัติชาติเพื่อการพัฒนา (MRND) ของชาวฮูตูด้วยซึ่งสมาชิกของพรรคนี้ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วจึงไม่มีใคร เข้ารับตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้นกลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF)  จึงเข้ายึดครองตำแหน่งดังกล่าวเป็นของกลุ่มตนทั้งหมด ทำให้สามารถควบคุมอำนาจภายในรัฐบาลได้เบ็ดเสร็จ พรรคฝ่ายค้านจึงไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว จนนำไปสู่ความขัดแย้งกันอีก จนกระทั่งประชาคมโลกได้เรียกร้องให้กลุ่มแนวหน้าผู้รักชาติรวันดา (RPF) ต้องจัดแบ่งฐานที่นั่งในรัฐบาลให้เท่าเทียมกันเป็นไปตามข้อตกลงสงบศึกอรูชา เมื่อปี 1993
 
 
อ้างอิง
 
Bodnarchuk, Kari. World in conflict.  Rawanda : country torn apart .Manufactured in the United States of America.By Lerner Publications Company
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น