แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"นักกม.มหาชน"เตือน-แนะนำ ลุย"ประชามติ"ก่อน"แก้รธน." ล่วงล้ำอำนาจ"นิติบัญญัติ"

ที่มา Thai Free News

 

 

"ผมยืนยันว่าไม่ควรทำประชามติใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าจำเป็น
ต้องทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3
หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรทำประชามติเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้"



เป็นความเห็นด้าน "กฎหมายมหาชน" ของ "วีรพัฒน์ ปริยวงศ์" นักกฎหมายอิสระ
ดีกรีนิติศาสตรมหาบัณฑิต รางวัลทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
เมื่อมติ "ครม." เห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานดำเนินการศึกษาการออกเสียงประชามติ

ส่งผลให้การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
ซึ่งรอการลงมติโดยเปิดเผยของสมาชิกรัฐสภา ในวาระที่ 3 ต้องชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด
เพื่อรอการดำเนินการออกเสียงประชามติ

เมื่อแนวโน้มการจัดการออกเสียงประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความเป็นไปได้
ที่ "รัฐบาล" อาจใช้วิธีการออกเสียงประชามติเพื่อหาข้อยุติ
ซึ่งจะต้องใช้เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง
และมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น

"วีรพัฒน์" กาง "รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550" มาตรา 165 ขึ้นมาอธิบาย
หาก "รัฐบาล" เดินหน้าจัดทำประชามติในรูปแบบ "หาข้อยุติ"
ก่อนลงมติในวาระที่ 3 ของร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม
ซึ่งอาจมีแนวโน้มผลสรุปออกมา 4 แนวทาง

1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่แตะต้องการทำประชามติ
ในกรณีหาข้อยุติ และมีประชาชนมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติเกินกึ่งหนึ่ง
จากนั้นเดินหน้าลงมติร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม ในวาระที่ 3

2.ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาวินิจฉัยการทำประชามติ
ในกรณีหาข้อยุติ และเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 3
ซึ่งวางหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจ
อันเป็นหลักกฎหมายพื้นฐานที่สุดของรัฐธรรมนูญ และมาตรา 291
ดังนั้น ครม.จึงไม่อาจทำประชามติ ตามมาตรา 165
เพื่อหาข้อยุติ อันเป็นการก้าวล่วงอำนาจของรัฐสภา
ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นอำนาจเฉพาะของรัฐสภาได้
ส่งผลให้การลงมติในวาระที่ 3 ถูกนำไปเป็นข้ออ้าง
เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญให้ตกจากวาระที่ 3 ในที่สุด

3.การจัดทำประชามติแบบหาข้อยุติ
ประชาชนมาใช้สิทธิไม่ถึงเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง 48 ล้านคน
เป็นเหตุผลหนึ่งอันทำให้สมาชิกรัฐสภาลงมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 3

4.แม้การทำประชามติในกรณีหาข้อยุติของรัฐบาล
ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยจะได้ประโยชน์ แต่เป็นเพียงระยะสั้น
แต่ในระยะยาวจะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่แข็งแกร่ง
เพราะอาจเกิดปัญหาข้อโต้แย้งภายในพรรคของมือกฎหมายมหาชน
ภายในพรรคที่คัดค้านการทำประชามติได้

เมื่อวิเคราะห์จาก 4 แนวทางข้างต้นแห่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทำให้ "วีรพัฒน์" เปิดรัฐธรรมนูญเตือน "รัฐบาล"
หากเดินหน้าทำประชามติในรูปแบบ "หาข้อยุติ" เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อาจเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามใช้เทคนิคทางข้อกฎหมายขัดขวางการทำประชามติได้

"ถ้าเดินหน้าทำประชามติในแบบหาข้อยุติ
ก็อาจมีผู้ไปขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 วรรคสี่
บัญญัติว่า การออกเสียงประชามติต้องเป็นการให้ออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ในกิจการตามที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ
และการจัดการออกเสียงประชามติในเรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
หรือเกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคล จะกระทำมิได้"

ทั้งนี้ "วีรพัฒน์" ให้ความเห็นว่า การทำประชามติ แบบหาข้อยุติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้นั้น คำว่า "ขัด" คือไปทำผิด ส่วน "แย้ง" คือสวนทาง
เนื่องจากมาตรา 291 ให้ดำเนินพิจารณา 3 วาระ
แต่มีความพยายามในการแทรกวาระที่ 2.5 ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมา
ด้วยการทำประชามติ จึงสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความตามรัฐธรรมนูญ

"แม้มาตรา 165 จะไม่เปิดช่องให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง
แต่ถ้าเดินหน้าจัดทำประชามติในแบบหาข้อยุติ
อาจจะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และมาตรา 291 หรือไม่
เมื่อ ครม.กำลังก้าวล่วงรัฐสภา
ทำให้เข้าตามมาตรา 214 ที่บัญญัติว่าในกรณีที่มีความขัดแย้ง
ที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐสภา ครม.
หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มิใช่ศาลตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป
ให้ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี หรือองค์กรนั้น
เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย"

"วีรพัฒน์" อธิบายว่า ฝ่ายค้านอาจหาช่องทาง
เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการจัดทำประชามติ
เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
เพราะกำลังก้าวล่วงอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทำให้รัฐสภาและ ครม.เกิดความขัดแย้งขึ้นตามมาตรา 214
ดังนั้น ประธานรัฐสภาจะต้องตัดสินใจยื่นความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
จากกรณีที่มีสมาชิกรัฐสภาเห็นว่าการทำประชามติก่อนลงมติวาระที่ 3 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม "วีรพัฒน์" เห็นว่าหาก "ครม." ดำเนินการทำประชามติ
ในรูปแบบ "เพื่อให้คำปรึกษา" แก่ ครม. จะเกิดความเสี่ยงที่น้อยกว่า
การทำประชามติในรูปแบบ "หาข้อยุติ" เนื่องจากไม่ใช่การก้าวล่วงอำนาจของรัฐสภา
โดยการทำประชามติแบบให้คำปรึกษาไม่ว่าผลการออกเสียงจะออกมาอย่างไร
ก็ไม่มีผลผูกพันการลงมติในวาระที่ 3
แน่นอนหากผลการมาออกเสียงไม่ได้เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง
การที่สมาชิกรัฐสภาจะลงมติเห็นชอบในวาระที่ 3 ต่อไปจึงเป็นเรื่องยาก

โดย "วีรพัฒน์" ยืนยันว่า การทำประชามติในรูปแบบ "ให้คำปรึกษา" แก่ ครม.
แม้ไม่ได้เป็นการบังคับ "รัฐสภา" ที่จะต้องดำเนินการตาม
ไม่ว่าผลของการออกเสียงประชามติในรูปแบบนี้จะออกมาอย่างไร
แต่เป็นการใช้กฎหมายให้แยบยลในทางการเมือง
เพื่อให้ ครม.ในฐานะฝ่ายบริหารควรวางตัวอย่างไรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3
เพื่อไม่เข้าไปก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ

ในกรณีเกิด "ครม." เห็นควรให้ใช้รูปแบบการทำประชามติ ให้คำปรึกษาแก่ ครม.
"วีรพัฒน์" เห็นควรให้ถามประชาชน 48 ล้านคน ว่า
หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หากมีการดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จะเป็นทางออกจากขัดความแย้งได้หรือไม่ ?



http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=43932.0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น