26 ธันวาคม, 2012 - 07:56 | โดย buddhistcitizen
สุรพศ ทวีศักดิ์
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
“...ตามความคิดเห็นของผม พระพุทธเจ้าทรงมองมนุษย์ว่าเท่ากันหมด
ไม่มีใครมีความเป็นคนน้อยหรือมากกว่าใคร แต่ก็ทรงยอมรับว่า
พัฒนาการตามธรรมชาติของสังคมมนุษย์ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นขึ้น
ดังที่ทรงแสดงใน “อัคคัญญสูตร” ...แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า
พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เราขวนขวายที่จะเปลี่ยนระบบที่เราเห็นว่าไม่ดีนะครับ
เปลี่ยน เราต้องเปลี่ยน แต่ระหว่างเปลี่ยน
คนดีในระบบที่เราอยากเปลี่ยนนั้นต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม อย่างมิตร
อย่างเพื่อนร่วมโลก...”
ศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุดประสงค์หลักที่พระพุทธเจ้าก่อตั้งสังฆะขึ้นมาคืออะไรครับ
ดูจากการลำดับเรื่องในคัมภีร์
ผมตีความว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตั้งใจแต่แรกที่จะสถาปนาคณะสงฆ์ขึ้น
ทรงออกบวชเพื่อแก้ปัญหาส่วนตัว
อันได้แก่ปัญหาที่ทรงรู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่าทั้งที่เป็นเจ้าชายอยู่ท่าม
กลางชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อหรูหรา
เมื่อเสด็จออกบวชแล้วก็ทรงแสวงหาทางที่จะดับทุกข์ส่วนตัวนั้น จนคืนหนึ่ง
คืนพระจันทร์เต็มดวงเดือนหก ก็ทรงมั่นใจว่าพบแล้ว ในคืนนั้นเองครับ
ทรงทบทวนสิ่งที่ทรงพบแล้วเห็นว่าดีมาก มีค่ามาก
แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาว่าของดีๆเช่นนี้น่าจะแบ่งปันให้คนอื่นรับรู้
ด้วย แต่ความคิดอีกแว่บหนึ่งก็คัดค้านว่า อย่าเลย
เพราะเรื่องที่พบนี้มันสวนกระแสธรรมชาติมนุษย์
ออกไปเสนอสาธารณชนก็รังแต่จะลำบากเปล่า ที่สุดความคิดแรกก็ชนะ
นี่คือที่มาของการที่ทรงเสด็จไปหาผู้คน
เล่าเรื่องที่ทรงคิดค้นได้ให้พวกเขาฟัง จนมีคนบวชตาม กลายเป็นคณะสงฆ์
ซึ่งผมตีความว่าคณะสงฆ์ในระยะแรกๆก็น่าจะมีความหมายเพียงกลุ่มคนที่แต่ก่อน
มีปัญหาชีวิต โดยเฉพาะปัญหาทางความคิด คล้ายๆกัน
มีทุกข์อันเนื่องมาจากการมีชีวิตเช่นนั้นคล้ายๆกัน
แล้วมาพบแสงสว่างจากพระศาสดาด้วยกัน
ก็เลยตัดสินใจปลีกจากชีวิตเดิมมาอยู่ในสังคมใหม่ที่เรียกว่าคณะสงฆ์
ผมมีข้อสังเกตนิดหนึ่งว่า
ตามรายชื่อสาวกในยุคแรกๆที่บันทึกไว้ในเถรคาถาและเถรีคาถา
คณะสงฆ์รุ่นแรกๆมีไม่มาก จำนวนน่าจะเพียงหลักร้อยเท่านั้นเอง
ท่านเหล่านี้แทบทั้งหมดเป็นคนชั้นสูง ไม่เศรษฐีก็เป็นเชื้อวงศ์กษัตริย์
ซึ่งก็แปลว่า
คนที่เข้าใจพระพุทธเจ้ามากที่สุดก็คือคนชั้นสูงแบบเดียวกับพระองค์
ผมตีความว่าคนชั้นสูงแบบนี้จะมีปัญหาทางด้านจิตใจเหมือนกัน
เหมือนกับพระพุทธเจ้าตอนที่ทรงเป็นเจ้าชาย
พวกเขาจึงรับสิ่งที่ทรงสอนได้มากที่สุด
สรุปคือคณะสงฆ์สมัยแรกๆนั้นเป็นหมู่คณะของพระที่มาจากคนชั้นสูง
ต่อมาต่างหากที่เมื่อทรงอนุญาตให้สาวกของพระองค์ที่จาริกไปสอนคนในที่ต่างๆ
ไกลๆสามารถบวชคนได้เอง โดยไม่ต้องพามาหา
คณะสงฆ์จึงขยายออกไปยังมหาชนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้เองที่ผมตีความว่า
ชนชั้นล่างจำนวนมากน่าจะเข้ามาบวช ด้วยเหตุผลต่างๆกัน
หรือแม้แต่เหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์
คือช่วงนั้นมาบวชแล้วมีชีวิตดีกว่าข้างนอก มีที่อยู่ มีอาหาร
ตอนนี้แหละครับที่เกิดพระวินัยขึ้น คือพอปริมาณมากขึ้น คุณภาพก็ลดลง
พระท่านก็ทำตัวไม่ดี จึงต้องทรงออกกฎระเบียบที่เรียกว่าวินัย
ก่อนสมัยที่คณะสงฆ์ยังเล็กๆ ไม่มีพระวินัย
เพราะคนที่มาบวชเพื่อหนีทุกข์นั้นมีคุณภาพอีกแบบ
ไม่เหมือนช่วงหลังที่อาจมาบวชเพื่อหนีปัญหาทางเศรษฐกิจ
อย่างที่ผมตั้งข้อสังเกต
สรุปคือ ผมตีความว่าคณะสงฆ์ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจจะให้เป็นอย่างนี้อย่างนั้นแต่ แรกโดยพระพุทธเจ้า แต่เป็นองค์กรที่เกิดตามธรรมชาติ พัฒนา คลี่คลาย และมีปัญหาตามธรรมชาติ เหมือนองค์กรอื่นๆในโลก
เรามักได้ยินนักวิชาการชาวพุทธ
หรือพระสงฆ์พูดเสมอๆว่า สังคมสงฆ์คือตัวอย่างของสังคมประชาธิปไตยยุคพุทธกาล
จริงๆแล้วใช่หรือเปล่าครับ มีแนวคิด (concept)
ที่แสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยรองรับระบบของสังฆะอยู่จริงหรือเปล่าครับ
อันนี้ต้องตีความนิดหนึ่ง มีคนเล่าย้อนไปว่าพระพุทธเจ้าท่านมาจากแคว้นเล็กๆทางภาคเหนือ ที่ใช้ปรัชญาการเมืองการปกครองอีกแบบที่ไม่เหมือนภาคกลาง คือตอนนั้นแคว้นที่มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจจะเป็นแคว้นภาคกลางที่ใช้ ปรัชญาการเมืองการปกครองแบบพราหมณ์ หากนึกไม่ออกว่าภาคกลางของอินเดียปกครองอย่างไรก็นึกถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิ ราชย์ของเราสมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ได้ เพราะเราถอดแบบมาจากเขานั่นเอง แต่แคว้นของพระพุทธเจ้าปกครองแบบไม่มีผู้นำสูงสุดที่เรียกว่าพระมหากษัตริย์ สั่งการเด็ดขาดเพียงพระองค์เดียว แต่ใช้ระบบคล้ายๆรัฐสภาของเราเวลานี้ คือคณะผู้บริหารมีจำนวนหนึ่ง น่าจะเป็นร้อย คัดเลือกมาจากตระกูลคนชั้นสูงของแคว้น คนชั้นสูงเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “ขัตติยะ” ผมขอใช้คำนี้เพื่อแยกให้ต่างจาก “กษัตริย์” ของระบบการเมืองแบบพราหมณ์ของภาคกลาง ไม่ปรากฏว่ามีพราหมณ์ในความหมายของผู้นำศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการเมืองการ ปกครองในแคว้นของพระพุทธเจ้า ที่นั่นพวกขัตติยะเขาปกครองด้วยความคิดแบบที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า “ปลอดศาสนา” ถ้าทฤษฎีผมถูกต้อง รัฐที่พระพุทธเจ้ากำเนิดมาและอยู่อาศัยก่อนเสด็จออกผนวชก็เป็นรัฐแบบที่เรา เรียกกันสมัยนี้ว่า “secular state” ฝากสังเกตเรื่องนี้ด้วยนะครับ
ดังนั้นเวลาเราพูดว่าพระพุทธเจ้าเดิมท่านเป็น “เจ้า”
ก็โปรดได้เข้าใจว่าเป็นเจ้าในความหมายของขัตติยะ คือนักรบ คิดแบบโลกๆ
ปกครองรัฐแบบโลกๆ ไม่มีศาสนา
ส่วนเจ้าภาคกลางที่เรียกกษัตริย์นั้นเป็นเจ้าทั้งในแง่นักรบด้วย
แต่พิเศษคือเจ้านักรบของภาคกลางมีคำสอนทางศาสนาค้ำจุนอยู่อย่างหนักแน่น
กษัตริย์แบบพราหมณ์นั้นเขามีคำสอนในคัมภีร์กล่าวไว้ชัดเจน
เป็นที่รู้กันไปทั่ว ว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าให้สัมปทานอำนาจปกครองมนุษย์แทน
คนที่ต่อต้านกษัตริย์จึงเท่ากับต่อต้านพระเจ้า
ความคิดแบบนี้ไม่มีในระบบการปกครองของพวกขัตติยะในดินแดนของพระพุทธเจ้า
เท่าที่ผมเล่าให้ฟังนี้ก็ยังไม่ตอบคำถามที่ว่า
ตกลงสังคมสงฆ์เป็นตัวอย่างของสังคมประชาธิปไตยโบราณหรือไม่
ที่ตอบเรื่องนี้ยากก็เพราะความหมายของประชาธิปไตยนั้นกว้างขวาง
เพื่อให้ตอบคำถามของอาจารย์ได้ ผมเสนอว่าหากตีความประชาธิปไตยให้แคบลง
โดยนิยามว่า
ประชาธิปไตยคือการปกครองที่รวมๆแล้วตรงข้ามหรือต่างจากระบบการปกครองชนิดที่
คนคนเดียวมีอำนาจสูงสุด การบริหารคณะสงฆ์ก็มีลักษณะส่วนหนึ่งเป็นอย่างนั้น
เรื่องคืออย่างนี้ครับ ตอนแรกที่สมาชิกสงฆ์ยังไม่มาก
พระพุทธเจ้าก็ทรงบริหารงานเองทั้งหมด
ต่อมาเมื่อคณะสงฆ์ใหญ่โตเกินกว่าที่จะทรงบริหารด้วยพระองค์เองได้ทั้งหมด
จึงทรงอนุญาตให้พระเถระผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งมาช่วยดูแลแทน
พระเถระเหล่านี้ต่อมาก็เห็นว่าตนดูแลไม่หมด
พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้มีคณะบริหารลดหลั่นลงไป จนกลายเป็นว่าที่สุด
ระบบทั้งหมดก็ดูแลโดยพระสงฆ์จำนวนมาก
ไม่ได้ขึ้นต่อพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวอีกต่อไป
ที่กล่าวมาข้างต้นผมมองว่าเป็นความจำเป็นตามธรรมชาติ หมายความว่า
หากเราอยากจะให้เครดิตพระพุทธเจ้าก็โปรดอย่าให้ในเรื่องนี้
เพราะการที่ทรงปล่อยเช่นนั้นปัจจัยหลักมันมาจากความจำเป็น สำหรับผม
เครดิตของพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ครับ เมื่อทรงปล่อยแล้วก็ไม่เข้าไปยุ่งเลย
คือปล่อยเด็ดขาด ทรงเห็นความตกต่ำในบางช่วงของคณะสงฆ์เหมือนกันครับ
แต่ก็ทรงไม่ย้อนกลับไปยึดอำนาจที่ทรงปล่อยไปแล้วมาอีก ทั้งที่ทรงทำได้
เพราะทุกคนเคารพพระองค์ในฐานะพระบรมศาสดากันหมด
ความเป็นประชาธิปไตยของคณะสงฆ์สำหรับผม ผมดูตอนนี้แหละครับ คือพระพุทธเจ้าทรงปล่อยให้สังคมสงฆ์ทั้งหมดดูแลกันเอง มีปัญหาก็แก้กันไปเอง บางครั้งในฐานะพระศาสดาก็ทรงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยชี้แนะนิดหน่อย แต่พอคณะสงฆ์ไม่ดำเนินการตามที่ทรงแนะ ก็ไม่ทรงว่าอะไร ดังเรื่องพระทะเลาะกันใหญ่โตเป็นสองพวกที่เราทราบกันดีในคัมภีร์
สรุปคือ หากจะมีความเป็นประชาธิปไตยในคณะสงฆ์ เราก็อาจดูได้จาก
(๑) คณะสงฆ์ไม่มีเจ้าของ พระพุทธเจ้าแม้จะทรงก่อตั้งสงฆ์มาด้วยพระองค์เองก็ไม่ทรงถือว่าตนเป็นเจ้า ของ อันนี้ก็ตรงข้ามกับการปกครองแบบราชาธิปไตยของพราหมณ์ที่ถือว่าประเทศมีเจ้า ของ พระเจ้าคือเจ้าของ ให้กษัตริย์มารับสัมปทานต่อ ประชาชนเป็นผู้อยู่อาศัยแผ่นดินเขาเท่านั้น
(๒) การบริหารคณะสงฆ์เป็นไปตามกฎระเบียบที่เรียกว่าพระวินัย มีคนตั้งข้อสังเกตว่า พระวินัยพระพุทธเจ้าทรงออกเพียงผู้เดียว คนอื่นไม่มีส่วนได้ร่วมออกด้วย จะเรียกว่าประชาธิปไตยอย่างไร อันนี้น่าคิด
แต่ ผมมีข้อสังเกตว่า พระวินัยนั้นมีลักษณะพิเศษคือเป็น “moral law” ในตัวด้วยส่วนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงกฎระเบียบทางมารยาทที่สงฆ์พึงประพฤติ หรือการบริหารงานขององค์กร เท่านั้น อาจารย์ก็ทราบว่า ความผิดถูกในทางจริยธรรมนั้นมีสองแนวคิดที่พูดต่างกัน แบบหนึ่งบอกดีชั่วตายตัว ผู้รู้ที่ปราศจากอคติเท่านั้นจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นผิดถูกต้องให้ผู้รู้ที่ไม่มีอคตินั้นชี้บอก ส่วนอีกพวกบอกต้องให้มหาชนช่วยกันตัดสิน พระพุทธเจ้าทรงคิดแบบแรก จึงต้องทรงทำหน้าที่บัญญัติพระวินัยเอง ไม่ใช่เผด็จการ แต่เป็นระบบใช้คนที่รู้เรื่องดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของสังคม เราจะเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นต้องดูก่อนจะปรินิพพาน ที่ตรัสแนะให้สงฆ์ถอนพระวินัยที่ขัดต่อกาลสมัยออกได้ ผมตีความว่าพระวินัยเหล่านี้ก็คือส่วนที่ไม่เกี่ยวกับ “moral law” แบบจังๆ ไม่ต้องใช้ผู้รู้วินิจฉัยก็ได้ เพราะเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับดีชอบผิดถูก เป็นพระวินัยที่ทรงบัญญัติตามความจำเป็น ตามสถานการณ์ เช่นเพื่อรักษาศรัทธาของญาติโยม หรือเพื่อความสะดวกทางการบริหารกิจการสงฆ์เท่านั้นเอง
เช่นพระอาจฉัน ข้าวเย็นในบางสถานการณ์ได้ มหายานก็ปรับตามความเข้าใจนี้ เพราะที่มาของการห้ามฉันอาหารเย็นไม่เกี่ยวกับผิดถูกในทางจริยธรรม แต่เกี่ยวกับว่าโยมมาบ่นให้ทราบว่าพระไปบิณฑบาตตอนค่ำแล้วพวกเขาไม่สะดวก กลับจากงานมาเหนื่อยๆจะตั้งวงกินข้าวยังต้องมาจัดแจงอาหารถวายพระอีก เห็นไหมครับ มหายานเขาทำอาหารในวัดเอง ไม่รบกวนโยม เขาก็อ้างว่าไม่ผิด และเขาเชื่อด้วยว่าพระพุทธเจ้าก็น่าจะทรงอนุญาต กินข้าวก็คือกินข้าว กินเช้าไม่ผิด ทำไมกินเย็นจะผิดละครับ
พุทธศาสนามี concept เสรีภาพ ความเสมอภาคอยู่จริงหรือเปล่า ถ้ามีทำไมพุทธศาสนาตามที่เป็นอยู่จริงในบ้านเราจึงไม่สามารถ generate เสรีภาพที่ว่านั้นออกมาในวัฒนธรรมการสอนพุทธศาสนาในบ้านเรา แต่กลับเน้นลำดับชั้นของความดี คนดี ที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประชาธิปไตย (ปรับจากข้อสังเกตของ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในวงเสวนาที่ The Reading Room)
อันนี้ก็ต้องเริ่มต้นคล้ายเรื่องประชาธิปไตย คือต้องนิยามก่อนว่าเสรีภาพ ความเสมอภาค ที่ว่านั้นหมายความอย่างไร เอาตรงนี้ก่อนครับ เรื่องเสรีภาพและความเสมอภาคนี้เป็นแนวคิดทางปรัชญาสังคมและการเมือง เราอย่าเอาไปปนกับเรื่องอื่น ไม่อย่างนั้นจะพูดกันไปคนละทาง ท่านมหาวุฒิชัย (ว. วชิรเมธี) ท่านบอกทำนองว่า “คนที่คิดแบบโลกๆก็จะเรียกร้องสิทธิที่จะได้ แต่คนที่คิดแบบในทางธรรมจะเรียกร้องสิทธิที่จะไม่มีทุกข์” อันนี้ก็เป็นการเล่นคำที่เอาสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันมาอยู่ในที่เดียวกัน ทำให้คนฟังเข้าใจไปว่าพวกที่เรียกร้องสิทธิอะไรต่างๆในทางการเมืองและ สังคมอยู่ต่ำกว่าพวกนักธรรมะที่ไม่เรียกร้องอะไร
พระพุทธเจ้าทรงออกบวชเพื่อหาทางแก้ปัญหาเฉพาะอันหนึ่ง
ที่อาจเรียกว่าปัญหาความทุกข์ของปัจเจกบุคคล
ไม่ได้ทรงออกบวชเพื่อแสวงหาปรัชญาสังคมอย่าง Marx เป็นต้น ด้วยเหตุนี้
การจะหา concepts ทางปรัชญาสังคมและการเมืองในคำสอนของพระองค์ก็ไม่ง่าย
แต่เนื่องจากทรงมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับมนุษย์แบบหนึ่ง
ซึ่งผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เหมือนแบบพราหมณ์
พวกพราหมณ์เขาแบ่งคนเป็นวรรณะ
ด้วยความเชื่อว่าพระเจ้าทรงแบ่งให้เพื่อจะได้ช่วยกันทำงานตามหน้าที่ตน
ต่อมาระบบวรรณะนั้นก็ถอยห่างออกไปจากความหมายเดิมมากขึ้น
กลายเป็นว่าคนในวรรณะต่ำถูกพิพากษาว่าขาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆในชีวิต
จึงไม่สมควรได้รับการปฏิบัติว่าเป็น “คน” เท่าเทียมผู้อื่น
ผมอยากสรุปว่าศาสนาพราหมณ์ตามที่ปรากฏแก่สายตาของพระพุทธเจ้านั้นสอนว่าคน
พวกหนึ่ง คือพวกที่ไม่ใช่ ๓ วรรณะต้น ไม่มีความเป็นคน
ดังนั้นจะเอามาใช้งานเหมือนสัตว์แล้วไม่ต้องจ่ายค่าจ้างก็ได้
คนพวกนี้ก็คือทาสสมัยนั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับความคิดนี้เลย
ทรงพยายามเปลี่ยนความคิดนี้ แต่ก็ทรงพบว่าลำบากมาก
เนื่องจากระบบนี้มันไม่ใช่เพียงเรื่องความคิดทางจริยธรรมหรือทางศาสนาเท่า
นั้น แต่มันถูกผนวกเข้าเป็นส่วนสำคัญของการเมืองการปกครองไปแล้ว
สิ่งที่ผมคิดและอยากเสนอคือ ขนาดสังคมสมัยโน้นมันไม่เอื้อเลย
พระศาสดาของเราก็ทรงพยายามที่สุดที่จะไม่รับความคิดเรื่องชนชั้นวรรณะ
พวกเราสมัยนี้ซิครับที่อยู่ในยุคที่อะไรก็เอื้อไปหมด
เพราะเป็นสังคมสมัยใหม่ อันนี้ก็เป็นจริงตามที่อาจารย์สมศักดิ์ท่านสังเกต
ผมตีความว่า เพราะสมัยหนึ่งคณะสงฆ์ไทยอยู่ในบรรยากาศแบบราชาธิปไตย
บรรยากาศเช่นนั้นก็น่าจะยังมีผลตกค้างอยู่
แต่ส่วนหนึ่งเราเองก็ต้องพยายามเข้าใจคณะสงฆ์ด้วยว่า
ที่ท่านสอนเรื่องคนดีแบบที่ดูเหมือนว่าท่านจำแนกคนเป็นวรรณะอย่างพราหมณ์
แล้วก็บอกว่าท่านใดอยู่สูงก็จะดีตามสถานะที่อยู่สูง
จริงๆท่านสอนอย่างนั้นหรือไม่ ผมพยายามกลับไปอ่านบทเทศนาเก่าๆ
ของอดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีที่สำคัญๆ
ก็ไม่พบความผิดปกติ คือไม่เห็นว่าท่านจะไปไกลขนาดพวกพราหมณ์
ล่าสุดท่านโพธิรักษ์หรือท่านจันทร์ก็กล่าวถึงว่าท่านรู้สึกกับในหลวงรัชกาล
ปัจจุบันอย่างไร ท่านก็พูดชัดว่าท่านดูพระมหากษัตริย์เป็นพระองค์ๆไป
อันนี้ต่างจากพราหมณ์นะครับ พวกพราหมณ์นั้นเขาไม่ดูแยกเป็นคนๆ แต่ดูรวม
ใครเป็นกษัตริย์ก็ดีเลยตามสถานะ ผมเคยเป็นกรรมการตรวจผลงานวิชาการครู
พบว่ากรรมการบางท่านที่เคยบวชเรียน เป็นอาจารย์อาวุโส
มีเหมือนกันครับที่ท่านเข้าใจกษัตริย์แบบพราหมณ์
เช่นท่านประกาศในที่ประชุมว่าจะให้ครูท่านหนึ่งตก
เพราะครูท่านนั้นไม่เขียนว่าสถาบันกษัตริย์เป็น “บุพการี” ของชาติ
ซึ่งคนในชาติจะต้องแสดงความ “กตัญญูกตเวที” อย่างไม่มีเงื่อนไข
ท่านอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนั้น ผมต้องใช้เวลาแย้งท่านอยู่นาน
ว่าความคิดนี้ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า
จึงทำให้ที่ประชุมตกลงไม่เอาตามท่าน
สรุปว่า ตามความคิดเห็นของผม พระพุทธเจ้าทรงมองมนุษย์ว่าเท่ากันหมด
ไม่มีใครมีความเป็นคนน้อยหรือมากกว่าใคร แต่ก็ทรงยอมรับว่า
พัฒนาการตามธรรมชาติของสังคมมนุษย์ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นขึ้น
ดังที่ทรงแสดงใน “อัคคัญญสูตร” พระพุทธเจ้าทรงมองคนเป็นคนๆครับ
ผมรู้สึกอย่างนั้น ดังนั้นคำถามแบบเหมารวม เช่น “นายทุนเลวไหม”
อันนี้จะไม่ทรงตอบทันที แต่จะทรงถามกลับว่า “นายทุนที่ท่านว่าหมายถึงใคร”
ถ้ายกมาให้ดูเป็นคนๆได้ คราวนี้จะทรงตอบ
ผมคิดว่าคณะสงฆ์ไทยก็น่าจะคิดอย่างนี้
ดังนั้นก่อนที่เราจะพิพากษาว่าคณะสงฆ์ไทยเชียร์เจ้า เชียร์คนชั้นสูง
เราก็ต้องถามตัวเองเหมือนกันว่า เรามองเจ้าหรือคนชั้นสูงแบบไหน แบบรวมๆ
หรือว่าแบบเป็นคนๆ เป็นไปได้ครับที่เราจะมองแบบรวมๆ
ปรัชญาสังคมและการเมืองแบบฝรั่งที่ผมเรียนมาก็สอนให้มองแบบรวมๆ
ซึ่งผมไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
ถ้าเรามองแบบคนสมัยใหม่ก็จะเห็นว่าพระท่านเชียร์เจ้าหรือคนชั้นสูง
แต่โปรดเข้าใจท่านนิดครับว่า ท่านมองไม่เหมือนเรา
หากเราอยากให้ท่านขยายวิธีคิดให้ลองมามองแบบเป็นระบบบ้าง
ก็ต้องผ่านการศึกษา
เวลานี้พระที่ท่านเรียนปริญญาโทหรือเอกกับผมที่มหาจุฬา
ท่านก็มองเจ้าและชนชั้นสูงแบบเป็นระบบครับ ซึ่งก็แปลว่า
หากเราอยากเห็นผลที่ต่างไปจากผลที่เป็นอยู่เวลานี้ ก็ต้องรอไปอีกสักระยะ
คณะสงฆ์เดิมท่านเรียนมาในระบบมหาเปรียญ อันเป็นการศึกษาคลาสสิก แบบโบราณ
แบบเจ้าอุปถัมภ์ สมัยก่อนพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปดูการสอบเปรียญชั้นสูงๆ
ด้วยพระองค์เอง ก็ไม่แปลกดอกครับที่ท่านจะมองพระมหากษัตริย์ในแง่บุคคล
แต่พระที่ท่านเรียนกับผมที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ท่านอยู่ในอีกสังคมหนึ่ง
ท่านเรียนปรัชญาการเมืองแบบฝรั่ง ท่านก็มองพระมหากษัตริย์แบบเป็นระบบได้
แต่ผมก็เชื่อว่า การที่ท่านเป็นพระ ท่านย่อมถูกปลูกฝังโดยระบบอยู่แล้วว่า
จะมองอะไรเป็นระบบก็มองได้ แต่อย่าลืมเรื่องคน
ระบบเลวก็อาจมีคนดีอยู่นั้นได้ พระพุทธเจ้าสอนให้มองอย่างนั้น
ผมเองแม้จะเรียนปรัชญาการเมืองมาอย่างฝรั่ง
ส่วนหนึ่งผมก็ยังไม่ทิ้งจารีตประเพณีแบบพุทธอันนี้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า
พระพุทธเจ้าไม่สอนให้เราขวนขวายที่จะเปลี่ยนระบบที่เราเห็นว่าไม่ดีนะครับ
เปลี่ยน เราต้องเปลี่ยน แต่ระหว่างเปลี่ยน
คนดีในระบบที่เราอยากเปลี่ยนนั้นต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม อย่างมิตร
อย่างเพื่อนร่วมโลก
พระสงฆ์ในบ้านเรามักเทศนาอยู่
เสมอว่า
พระพุทธเจ้าก่อตั้งสังคมสงฆ์ขึ้นมาเป็นสังคมตัวอย่างที่ไม่มีระบบชนชั้น
มีความเสมอภาค เป็นประชาธิปไตย
แต่ระบบการปกครองสงฆ์กลับอยู่ภายใต้กฎหมายเผด็จการ และมีระบบศักดินาพระ
ปัญหาขัดแย้งในตัวเองเช่นนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ดูเหมือนผมจะตอบมาแล้วกระมังครับจากที่กล่าวข้างต้น
หากจะให้ย้ำอีกก็ขอพูดสั้นๆว่า อันนี้เป็นพัฒนาการขององค์กรทางศาสนา
พบในทุกศาสนา คือศาสนาแบ่งเป็นสองยุค ยุคพระศาสดา กับยุคหลังพระศาสดา
ยุคพระศาสดาคือยุคที่ศาสนาจะอยู่ในรูปคำสอนเฉพาะกิจ มีเป้าหมายชัดเจน
เป็นเรื่องทางใจมากกว่าเรื่องทางกาย
หลังยุคพระศาสดาแล้วศาสนาก็กลายมาเป็นสถาบันทางสังคม
และผู้ที่ทำให้ศาสนาเป็นเช่นนั้นก็คือผู้มีอำนาจทางการปกครอง
สมัยก่อนก็คือกษัตริย์หรือชนชั้นสูง ศาสนาคริสต์สมัยพระเยซูเป็นแบบหนึ่ง
แต่พอไปอยู่ภายใต้การดูแลของวาติกัน ก็เป็นอีกแบบครับ เอาคนมาเผาก็ได้
เพราะพวกนี้ต่อต้านพระสันตะปาปา
ลักษณะของศาสนาหลังยุคพระศาสดานั้นขัดแย้งกับศาสนาในยุคพระศาสดาแน่นอน
นักคิดในศาสนาคริสต์จำนวนมากเวลานี้ก็คล้ายเรา
คือเรียกร้องให้ศาสนากลับไปเป็นเหมือนสมัยพระศาสดา ซึ่งผมคิดว่ายาก
หากมองผ่านสายตาของนักสังคมวิทยา
ถ้าจะให้พุทธศาสนาดำรงอยู่อย่าง
ไปกันได้ดี หรือสนับสนุนความงอกงามของวัฒนธรรมประชาธิปไตย
อาจารย์คิดว่าจำเป็นต้องยกเลิกระบบสมณศักดิ์ มหาเถรสมาคม
หรือทำให้พุทธศาสนาเป็นอิสระจากรัฐหรือไม่
ผมคิดว่าไม่จำเป็นครับ เดี๋ยวขอนิยามคำว่า “ไม่จำเป็น” สักหน่อย
ไม่จำเป็นแปลว่าแม้ไม่เลิกสิ่งนั้นก็ยังมีทางที่จะได้ผลที่เราต้องการ
ที่ดูเหมือนว่าอาจขัดกับสิ่งนั้น เราต้องการ “ประชาธิปไตย” ใช่ไหมครับ
คราวนี้เราก็อาจคิดว่า สมณศักดิ์ มหาเถรสมาคม
กฎหมายคณะสงฆ์เป็นต้นน่าจะเป็นอุปสรรคต่อการจะได้มาซึ่งประชาธิปไตย
เราก็ต้องถามว่า ไม่เลิกสิ่งเหล่านี้ยังจะสามารถทำให้ได้ประชาธิปไตยหรือไม่
ผมคิดว่าได้
ผมมีเหตุผลดังนี้ครับ ถ้า ก. เป็นปัจจัยเดียวที่ต้องทำลายทิ้ง
ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ ข. การทำลาย ก. เพื่อให้เกิด ข. ก็มีเหตุผล Marx
คิดว่าสังคมที่ทุกคนมีกินมีใช้เท่าเทียมกันหรือใกล้เคียงกัน คือ ข.
ส่วนการที่รัฐอนุญาตให้ปัจเจกบุคคลครอบครองทรัพย์สินส่วนตัวได้คือ ก.
ก็แน่นอนครับ เราก็ต้องทำลาย ก. ปรัชญาการเมืองของ Marx ประกาศเลยครับว่า
ต้องเลิกการครอบครองทรัพย์สินส่วนตัว
เพราะนี่คือต้นตอของการที่โภคทรัพย์ของแผ่นดินไปกระจุกอยู่ที่คนบางคน
บางครอบครัว ไม่เลิกสิ่งนี้ ไม่มีทางที่ทุกคนจะมีกินมีใช้ถ้วนหน้ากัน
ตรรกะของ Marx มันชัดมาก ของเรามันไม่ชัดขนาดนั้น
ผมคิดว่าระบบเหล่านี้คงไว้ก็ไม่เป็นปัญหา
ยิ่งคิดในทางสังคมวิทยาก็ยิ่งเห็นว่าไม่ต้องแตะตัวโครงสร้างเลย
หากอยากเปลี่ยนให้สถาบันเหล่านี้ก่อให้เกิดผลคือประชาธิปไตยก็ไปทำอะไรข้าง
ใน อาจารย์ทราบไหมครับว่า ผมมีลูกศิษย์ที่เป็นพระราชาคณะ
ระดับเจ้าคณะจังหวัดเป็นต้น ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มาเรียนกับผมที่มหาจุฬา
เราเรียนความคิดสมัยใหม่ ท่านจบปริญญาเอกไปแล้ว
ความคิดท่านไม่เหมือนเดิมหรอก ท่านอาจมีสมณศักดิ์สูง แต่นั่นก็เป็นข้างนอก
ข้างในท่านจะเหมือนเดิมได้อย่างไรครับหลังจากที่ท่านใช้เวลา ๕-๖ปี
อ่านหนังสือสมัยใหม่ เขียนวิทยานิพนธ์แบบสมัยใหม่ อย่างนั้น
อาจารย์เป็นนักวิชาการที่เข้าไป
ร่วมกิจกรรมทางปัญญาได้กับทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ ธรรมกาย
และสันติอโศกมาเป็นเวลานาน
อาจารย์มองเห็นข้อจำกัดหรือข้อดีของบทบาทในการประยุกต์หลักคำสอนของพุทธ
ศาสนาสนับสนุนประชาธิปไตยของทั้งสามองค์กรนี้อย่างไร
มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งนะครับ เป็นสถาบันการศึกษาสมัยใหม่
บรรยากาศของที่นี่จึงเป็นบรรยากาศสมัยใหม่
ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นจุดตั้งต้นของประชาธิปไตยก็มีมาก
ผมไม่ขอพูดถึงมหาจุฬา
เพราะที่นี่ความเป็นชนชั้นระหว่างพระกับฆราวาสแทบไม่มีแล้ว
เรามีประชาธิปไตยกันเต็มที่ ผมอยากพูดถึงมหามกุฏนิดหนึ่ง
มหามกุฏนั้นมีคนเทียบว่าเหมือนจุฬา
ส่วนพวกมหาจุฬาก็มีคนเทียบว่าเหมือนธรรมศาสตร์
แค่เทียบให้เห็นภาพกว้างๆนะครับ อย่าถือเป็นจริงเป็นจังนัก
ที่เขาเทียบมหามกุฏอย่างนั้นเพราะที่นี่มีความเป็นเจ้านายสูง
ก็แปลว่าเป็นประชาธิปไตยน้อย ว่าอย่างนั้นเถิด
แต่เวลานี้ผมก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในมหามกุฏมากขึ้น ล่าสุด
ผมเพิ่งไปสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของที่นี่มา ไปในฐานะที่ปรึกษา การสอบ
บรรยากาศแรกๆไม่สู้ดี
ลูกศิษย์ผมที่เป็นคฤหัสถ์เวลาเสนอความคิดกับกรรมการที่เป็นพระเถระต้องทำตัว
ลีบๆ เวลาพระท่านถามก็มีน้ำเสียงตีความเหมือนตะคอก ผมนั่งอยู่นาน อึดอัด
ที่สุดก็ขออนุญาตท่านประธาน (ที่ไปจากมหาจุฬา) ว่า
ทำไมเราจึงปฏิบัติกับลูกศิษย์เราที่กำลังจะเป็นดอกเตอร์อยู่แล้วเสมือนเขา
เป็นเด็กอนุบาลอย่างนั้น ผมเชิญชวนให้เราทำอย่างที่ทางโลกเช่นจุฬา
ธรรมศาสตร์ ทำ หรือแม้แต่อย่างที่มหาจุฬาทำ คือในนั้นทุกคนเท่ากันหมด
ก็ปรากฏว่าดีขึ้นมาก เมื่อออกจากห้องประชุม พระเถระที่ผมทักท้วงท่านก็ยิ้ม
เดินมาหา เดินคุยกันไปจนถึงรถของท่าน บรรยากาศเช่นนี้หากมีมากขึ้น
ระบบก็คงดีขึ้น
มีงานวิจัย เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของคณะรัฐศาสตร์จุฬา หลายปีแล้ว
ผมเคยเอามาลงวารสาร “พุทธศาสน์ศึกษา” สมัยที่ผมเป็นบรรณาธิการอยู่
เป็นงานสำรวจทัศนะทางการเมืองของพระสองนิกายคือธรรมยุตและมหานิกาย
ดูเหมือนเขาสำรวจความเห็นของพระสังฆาธิการของทั้งสองนิกาย
(พระสังฆาธิการเทียบกับทางโลกก็คือข้าราชที่ทำหน้าที่บริหาร เช่นนายอำเภอ
ผู้ว่า รัฐมนตรี เป็นต้น) ผลก็ชัดครับ
พระมหานิกายนิยมการปกครองแบบกระจายอำนาจมากกว่า
ส่วนพระธรรมยุตนิยมแบบรวมศูนย์
ที่มหามกุฏต่างจากมหาจุฬาก็อธิบายผ่านงานวิจัยนี้ได้ แต่ผมก็เชื่อว่า
เวลานี้มหาวิทยาลัยสงฆ์สองแห่งนี้แลกเปลี่ยนกันในทางวิชาการมาก
เช่นเอาผมที่ไปจากมหาจุฬาไปสอนในบางครั้ง หรือสอบวิทยานิพนธ์
ความต่างตามที่งานวิจัยข้างต้นเสนอ ซึ่งน่าจะประมาณ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว
น่าจะค่อยๆลดลง
วัดพระธรรมกายนั้นเป็นองค์กรพิเศษ ผมไปที่นี่เพื่อสอนหนังสือ
ไปมาน่าจะร่วม ๒๐ ปีแล้ว ท่านอาจารย์สุลักษณ์เคยพูดกับท่านจันทร์ว่า
“สมภารไม่น่าไปสนับสนุนธรรมกาย” ท่านจันทร์ท่านเล่าให้ผมฟัง
ผมในส่วนหนึ่งก็เข้าใจท่านที่เป็นห่วง
แต่พอมาคิดว่าอาชีพสอนหนังสือมันไม่ต่างจากหมอ คือไปไหนก็ได้
เพราะงานเรามันเป็นงานกลางๆ ก็เลยมาสอนที่นี่ยาวนานตามที่ว่า
ตอนนี้วัดพระธรรมกายกำลังจะจัดตั้งสถาบันการศึกษาแบบเป็นการเป็นงาน คล้ายๆ
มหาวิทยาลัยสงฆ์ คือที่ผมไปสอนนี้เป็นการไปสอน “คนใน”
นักศึกษาก็คือพระเณรและอุบาสกอุบาสิกาของวัดเท่านั้น ทางวัดดำริจะขยายไปยัง
“คนนอก” คือใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนวัด
เมื่อดำริเช่นนั้นก็กำลังสร้างอาคาร ที่นอกวัดนะครับ ทำเป็นเหมือนมหาจุฬา
หรือมหามกุฏ
เมื่อเปิดสอนหลังจากได้รับอนุญาตจากรัฐในฐานะสถาบันอุดมศึกษาของเอกชนแล้ว
ใครๆก็ไปเรียนได้
ผมสนับสนุนเรื่องนี้ ให้ความคิดเห็นเท่าที่จะให้ได้ เมื่อทางวัดปรึกษา
ในเรื่องความคิด และการจัดการ ในภาพรวม ที่ผมสนับสนุนเพราะ
อยากให้วัดพระธรรมกายหลุดออกมาจากการเป็นองค์กรเฉพาะ มาเป็นสมบัติของมหาชน
เมื่อเป็นสถาบันการศึกษาแบบเต็มที่แล้ว
วัดพระธรรมกายก็จะหมดอำนาจในการที่จะเข้ามากำกับ
สถาบันการศึกษานั้นรัฐไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรก็ได้ เรามีกฎหมายตรวจสอบมาตรฐาน
ในเรื่องที่สำคัญๆทางการบริหารจัดการ รวมทั้งเนื้อหาที่จะสอนด้วย
ทางวัดก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งก็แปลว่า
การที่ทางวัดตัดสินใจทำเช่นนี้ ก็แปลว่า พร้อมจะออกมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ความเห็นทางการเมืองของวัดพระธรรมกายชัดมากครับ แต่ผมขอไม่พูด
เพราะอาจเสียมารยาท
เอาเป็นว่าวัดพระธรรมกายไม่เป็นอุปสรรคต่อการปกครองแบบประชาธิปไตย
ทางวัดค่อนข้างเห็นใจคนเสื้อแดงด้วยซ้ำไป ส่วนจะเป็นเพราะอะไร
ผมเองก็พยายามศึกษาอยู่
จะว่าเพราะที่นี่พระท่านเป็นชนชั้นกลางในเมืองมาบวชเป็นส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่
เพราะชนชั้นกลางจำนวนมากก็ไม่ชอบคนเสื้อแดง
จะว่าเพราะนักการเมืองที่มาเข้าวัดนี้เป็นพรรคเสื้อแดงเป็นส่วนใหญ่
อันนี้อาจมีมูล แต่ไม่รับประกันนะครับ หากจริง
พรรคประชาธิปัตย์ก็ควรมาคบวัดพระธรรมกายบ้าง จะได้เฉลี่ยๆคะแนนนิยมกันไป
แต่ผมก็รู้สึกว่าเรื่องพรรคการเมืองอาจไม่สำคัญเท่ากับ เรื่องอำนาจนิยม
วัดนี้ไม่ชอบเรื่องแบบนี้
อาจเพราะทางวัดมีปัญหากับผู้บริหารสงฆ์ที่ท่านตีความว่าเกี่ยวข้องกับระบบ
อำนาจนิยมในบ้านเราหรือไม่ ผมไม่ทราบ
ส่วนสันติอโศกแม้ผมจะมีความสัมพันธ์มายาวนาน พอๆกับวัดพระธรรมกาย
แต่ผมไปสันติอโศกแบบคนนอก ไม่เหมือนวัดพระธรรมกายที่ผมเชื่อว่าผมเป็นคนใน
อันหมายถึงคนที่เข้าออกองค์กรนั้นยาวนานเพียงพอ ไม่ใช่นักทัศนาจร
ว่าอย่างนั้นเถิด และทางวัดก็น่าจะรู้สึกอย่างนั้นกับผม ผมจึง “รู้เห็น”
อะไรพอสมควรภายในวัดพระธรรมกาย ชาวอโศกนั้นในแง่ที่เป็นองค์กรทางศาสนา
ไม่มีอะไรที่ผมจะวิจารณ์
แต่ในแง่ที่เป็นพลังทางการเมืองหนึ่งที่สำคัญของบ้านเราเวลานี้
อันนี้มีเรื่องน่าคิดเยอะ มีคนไม่น้อยเชื่อว่า
ที่พันธมิตรอยู่ได้มาตลอดนั้นเพราะสันติอโศกยังเอาด้วย ความเห็นนี้น่าคิด
ที่ผ่านมาผมเข้าใจว่าที่ทางสันติอโศกไปช่วยเหลือพันธมิตรก็เพราะเข้าใจว่า
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการทุจริตทางการเมือง
แต่เวลานี้พัฒนาการของปัญหามันคลี่คลายขยายไปมากกว่านั้น
ไม่ใช่เรื่องอดีตนายกมีปัญหาเรื่องความสุจริตเท่านั้น
แต่เกี่ยวข้องมายังเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับการปกครองแบบประชาธิปไตย
ที่เราเริ่มพูดกันมากขึ้นว่า พระมหากษัตริย์ควรจะมีบทบาทเพียงใด
พันธมิตรน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่ถามปัญหานี้ แต่ฝ่ายเสื้อแดงถาม
ตรงนี้แหละครับที่ผมคิดว่าจะเป็นโจทย์ใหม่ที่สำคัญยิ่งยวดที่จะรบกวนการ
ตัดสินใจของชาวอโศก
ผมไม่ทราบว่าทางอโศกท่านจะตีโจทย์เรื่องนี้อย่างไร
ก็ต้องให้กำลังใจท่าน ข้อมูลและการศึกษาผมคิดว่าสำคัญ
ผมจึงเรียนท่านจันทร์เสมอว่าชาวอโศกควรศึกษาความเห็นต่างระหว่างพี่น้อง
เสื้อเหลือง-แดงให้มาก ให้ลึก และไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้ให้รอบคอบที่สุด
พี่น้องพันธมิตรโดยเฉพาะคุณสนธินั้นท่านไม่ได้แสดงเหตุผลว่าทำไมท่านจึงอยาก
ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างที่เคยเป็นมา
ที่จริงเราเคารพความเห็นท่าน ที่ต้องการคืออยากฟังเหตุผลดีๆ
ซึ่งท่านอาจมีอยู่แล้วหละ
ข้อมูลเหล่านี้จากทั้งสองฝ่ายเมื่อชาวอโศกรับรู้มาแล้วก็จะช่วยให้เกิดการ
ชั่งน้ำหนักเพื่อกำหนดบทบาทที่เหมาะสมต่อไป
ชาวอโศกนั้นผมเชื่อว่าท่านเป็นคนจริง ใจนักเลง ไม่ทิ้งมิตร
ท่านอยู่กับใครเขาก็สบายใจ คุณสมบัตินี้หากเข้าไปสนับสนุนสิ่งที่เหมาะสม
จะเป็นประโยชน์มากครับ
คิดว่าระบบสังฆะปัจจุบันมีความ
เป็นธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้
หรือมีประสิทธิภาพตรวจสอบกันและกันทางพระธรรมวินัยในระดับที่สังคมเชื่อถือ
ได้มากน้อยเพียงใด
เท่าที่ผ่านมา อย่างกรณีท่านยันตระ ผมคิดว่ามีปัญหา สรุปคือ จาก ๑๐
คะแนน สิ่งที่ท่านทำ ไม่น่าจะได้เกิน ๔ อันนี้วัดจากอดีตนะครับ
ไม่อยากพยากรณ์ปัจจุบันและอนาคต ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้
คำถามนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของ
ปัญหาในวงการสงฆ์ คือดูเหมือนอาจารย์จะเห็นต่างจากอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์
เรื่องตรวจสอบอาบัติปาราชิกอธิการบดีมหาจุฬาฯ
แต่นั่นเป็นเพียงการโพสต์ความเห็นท้ายบทความในประชาไท
อาจทำให้คนอ่านไม่เข้าใจวิธีคิดของอาจารย์ชัดเจนพอ
จริงๆแล้วอาจารย์คิดอย่างไรกับการตรวจสอบปัญหานี้
อ๋อ เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ ขอบพระคุณที่ถาม ผมเห็นด้วยว่า
เมื่อมีเรื่องที่ตีความว่าอาจเข้าข่ายผิดพระธรรมวินัยกับพระ
โดยเฉพาะท่านที่เป็นพระราชาคณะระดับสูง อย่างท่านอธิการบดีมหาจุฬา
พุทธบริษัททั้งหมดควรสนใจ และขวนขวายทำเท่าที่ทำได้
เพื่อให้กรณีเช่นนั้นได้รับการ “ดำเนินการ” ตามขั้นตอนต่อไป
ที่ผมเขียนท้วงติงท่านอาจารย์สุลักษณ์นั้นผมท้วงติงในทาง “สาระ”
ของกระบวนการที่ท่านกำลังดำเนินการ ไม่ได้ท้วงติงกระบวนการเลย
คือเห็นด้วยที่จะให้มีการดำเนินการต่อไป
และผมก็เห็นด้วยอีกแหละครับที่ท่านอาจารย์ท่านทำหนังสือถึงใครต่อใครในทาง
สงฆ์ ท่านทำถูกแล้ว แต่ที่ผมท้วงติงคือสิ่งที่อยู่ในหนังสือนั้นต่างหาก
ข้อมูลและเหตุผลของท่านผมคิดว่ายังไม่มีน้ำหนัก
อันนี้วัดจากเอกสารที่ท่านเขียนนะครับ หากตัวเอกสารไม่เป็นแบบนี้
ผมอ่านแล้วคิดว่ามีน้ำหนัก ผมต่างหากที่จะไปช่วยท่าน
เมื่อท่านส่งไปแล้วไม่มีใครตอบท่านกลับมา
สมมติว่าเราลืมเรื่องที่ผ่านมา แล้วถามว่าเนื่องจากเรื่องนี้ยังไม่จบ
ควรทำอย่างไร ผมคิดว่า เราไม่ควรปล่อยให้เรื่องจบ ควรมีการศึกษาตรวจสอบ
เก็บข้อมูลกันต่อไป เท่าที่จะทำได้ วันหนึ่ง
เมื่อเรามีข้อมูลที่ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่เพียงพอ เราก็หยุด
แต่ถ้าข้อมูลบอกไปอีกทาง เราก็เดินหน้าต่อตามกระบวนการ
ส่วนจะเจอปัญหาว่าระบบสงฆ์จะไม่ลูบหน้าปะจมูกช่วยคนกันเองหรือ
เราก็สงสัยได้ เพราะมันเคยเป็นมาแล้ว แต่สำหรับผม ผมทำเท่าที่ผมทำได้
ทำแล้วระบบมันไม่อำนวย ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะผมถือว่าผมทำเต็มที่แล้ว
โลกนี้มันมีความสมบูรณ์เสียที่ไหน หากไม่พบความสมบูรณ์ของโลก เราจะขาดใจตาย
เราตายมานานแล้วครับ
แต่เรื่องอย่างนี้ผมให้ความสำคัญกับท่านที่ตกเป็นเหยื่อ ถ้าเป็นผม
ผมจะรู้สึกอย่างไร ยิ่งหากผมรู้ว่ามีความเข้าใจเรื่องนี้คลาดเคลื่อนไปมาก
และความคลาดเคลื่อนนั้นมันอธิบายได้ยาก
เว้นแต่จะเขียนเป็นนิยายหรือเรื่องสั้นอธิบาย ผมก็คงอยู่ในความทุกข์
นี่เองครับที่ผมพยายามแตะต้องเรื่องแบบนี้อย่างที่คิดว่านุ่มนวลที่สุด
ไม่เกิดกับเราเราไม่เข้าใจหรอกครับ อาจารย์ลองไปอ่านนิยายที่ผมเขียนเรื่อง
“ความยุติธรรมและการแก้แค้น” ในเว็บไซต์วารสาร “ปัญญา” ดูซิครับ
ภาพจากเว็บไซต์ “วารสารปัญญา”(เพิ่มโดยผู้สัมภาษณ์)
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่า
ความจริงหลายเรื่องในชีวิตคนจริงหาคำตอบไม่ได้ง่ายหรอกครับ
เพราะคิดอย่างนี้ ผมจึงมีนิสัยที่บางท่านอาจเห็นว่าแย่ก็ได้
คือไม่มีแก่ใจที่จะตรวจสอบเพื่อจับผิดใคร
ที่สำคัญคือถล่มใครบางคนที่เราคิดว่าเป็นยักษ์ในทางอธรรมลงได้แล้ว คำถามคือ
“แล้วไงต่อ” ใครได้ประโยชน์ ผมยังคิดจะเขียนนิยายประเภทว่า
คนสนิทของมหาราชองค์หนึ่งในอินเดียสมัยพระพุทธเจ้า หรือสมัยไหนก็ได้
ยกฉากไปไว้ไกลๆ จะได้ไม่รบกวนจิตใจของพี่น้องที่ท่านอ่อนไหวต่อเรื่องเจ้า
คนผู้นี้พบว่ามหาราชนั้นทำผิดเรื่องหนึ่ง
คือล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งก็คือลูกของตัวนั่นแหละ เขาแค้นใจ
แต่ขณะเดียวกัน ก็พบว่ามหาราชองค์นี้เป็นหลักชัยของมหาชน
มหาราชองค์ก่อนเป็นทรราช ผู้คนอดอยากทั้งบ้านเมือง
แต่มหาราชองค์นี้มาช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ถ้าเขาโค่นมหาราชองค์นี้ลงได้
เพื่อความถูกต้อง เขาก็ได้สิ่งนั้น
แต่เสียมหาราชที่คนยากจนรักและได้ประโยชน์ เขาจะเลือกอะไร ผมไม่รู้
หากถึงที่สุดแล้วคณะสงฆ์ยังยืนยันจะคงระบบเก่าตลอดไป อาจารย์มองเห็นหน้าตาพุทธศาสนาในอนาคตของบ้านเราเป็นอย่างไร
ตัวใครตัวมันครับ แต่ผมเชื่อว่าพระพุทธศาสนาในรูปของ “ความรู้”
ที่ใช้ประโยชน์ได้ในทางใดทางหนึ่งจะอยู่ตลอดไป จะมีคนเอาไปสอนในมหาวิทยาลัย
ทั้งโลก เหมือนสอนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา เป็นต้น ไม่มีวัด
ไม่มีคณะสงฆ์ ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนา ความรู้แบบพุทธที่ว่านี้ก็ยังอยู่ครับ
นี่เองทำให้ผมเวลานี้สนใจมาทำงานด้านนี้ เพราะเห็นว่ามันยั่งยืนกว่า
ทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
หมายเหตุผู้สัมภาษณ์ : สัมภาษณ์ทางอีเมล์ ส่งคำสัมภาษณ์ วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ ผู้ให้สัมภาษณ์ส่งคำตอบกลับมา วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น