ที่มา
ประชาไท
รองศาสตราจารย์ ดร.วรเวศม์ สุวรรณระดา
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-
บทเกริ่นนำ
พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554
ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เหตุผลของการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ระบุไว้ในหมายเหตุท้ายพระราช
บัญญัติว่า “โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔
(๔) บัญญัติให้รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ คือ
จัดให้มีการออมเพื่อการดำรงชีพในยามชราแก่ประชาชน
และเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างทั่วถึง ดังนั้น
เพื่อให้มีระบบการออมเพื่อการดำรงชีพในยามชราภาพที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม
โดยเฉพาะประชากรภาคแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นแรงงานนอกระบบยังไม่ได้
รับความคุ้มครองเพื่อการชราภาพอย่างทั่วถึง
จึงทำให้บุคคลเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในความยากจนในวัยสูงอายุ
อันเนื่องมาจากไม่มีช่องทางหรือโอกาสเข้าถึงระบบการออมเงินในขณะที่อยู่ใน
วัยทำงาน
เพื่อสร้างความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิตตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการ
ออมของประชาชนคนไทยในวัยทำงาน
จึงสมควรจัดตั้งกองทุนเพื่อเป็นช่องทางการออมขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่ยังไม่
ได้รับความคุ้มครองเพื่อการชราภาพให้ได้รับผลประโยชน์ในรูปบำนาญ
อันเป็นการสร้างความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในการดูแลจากภาครัฐ”
แม้ว่าจวบจนถึงปัจจุบัน
พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติมีผลบังคับใช้มากว่าหนึ่งปีเจ็ดเดือนแล้ว
ก็ตาม แต่การรับสมัครสมาชิกกองทุนก็ยังมิได้เริ่มขึ้น
เหตุผลดังกล่าวได้ประกาศผ่านทางเว็บไซด์ของกองทุนการออมแห่งชาติ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ใจความว่า “ขณะนี้
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเรื่องระบบทะเบียนสมาชิกเพื่อสามารถอำนวยความ
สะดวกแก่ประชาชนในการสมัครสมาชิกและส่งเงินสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้ง
นี้ กอช. จะประกาศวันเปิดรับสมัครที่แน่ชัดให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง”
(เข้าถึงได้ที่
http://www.fpo.go.th/FPO/index2.phpเข้า
ถึงเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556)
ความล่าช้าดังกล่าวทำให้กลุ่มประชากรวัยทำงานในภาคนอกระบบเกรงว่าหากรัฐบาล
ประวิงเวลาในการรับสมัครสมาชิกกองทุนออกไปเรื่อยๆจะทำให้ผู้ที่มีความ
ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกเสียประโยชน์
ความล่าช้าครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายกิตติรัตน์ ณ
ระนองมีความต้องการปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติให้ดียิ่งขึ้น
กว่าเดิมในหลายประเด็น
-
ประเด็นในพระราชบัญญัติที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องการแก้ไข
ประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความประสงค์จะแก้ไขพระราช
บัญญัติเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนรวมมีทั้งหมดด้วยกัน 8 ประเด็น
ได้แก่ ประเด็นอายุสมาชิก เงินสะสมเข้ากองทุน เงินสมทบจากภาครัฐ
การรับเงินสะสมคืนกรณีทั่วไปและกรณีตกอยู่ในภาวะทุพพลภาพ
นโยบายการบริหารจัดการเงินกองทุน การประกันผลตอบแทนการลงทุน
และประเด็นผู้บริหารกองทุน
ความแตกต่างของแนวทางการแก้ไขพระราชบัญญัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
กับพระราชบัญญัติในปัจจุบันมีรายละเอียดโดยสังเขปดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1: ความแตกต่างของพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติและแนวทางการแก้ไขของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประเด็น
|
พ.ร.บ.ปัจจุบัน
|
แนวทางการแก้ไข พ.ร.บ.
|
- อายุสมาชิก
|
15-60 ปี โดยมีบทเฉพาะกาลมาตรา 69 ให้ผู้มีอายุ 50
ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่สมัครเป็นสมาชิกมีสิทธิเป็นสมาชิกกองทุนต่อไปได้อีกสิบ
ปีนับแต่วันที่เป็นสมาชิก
|
ทบทวนแก้เป็น 15-70 ปี
|
- เงินสะสมเข้ากองทุน
|
กำหนดขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50 บาท แต่ไม่เกินจำนวนที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
|
กำหนดขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50 บาท แต่จะไม่จำกัดเพดานเงินสะสม
|
- เงินสมทบจากภาครัฐ
|
รัฐบาลสมทบให้หลายอัตราตามอายุของสมาชิก ณ เวลาที่จ่ายเงินสะสม รัฐบาลออม
สมาชิกอายุ 15-30 ปี ร้อยละ 50 สมาชิกอายุ 31-50 ปี ร้อยละ 80 และ สมาชิกอายุ 51-60 ปี ร้อยละ 100
|
รัฐบาลสมทบอัตราเดียว ร้อยละ 100ทุกช่วงอายุสมาชิก
|
- การรับเงินสะสมคืน
|
ให้เลือกรับเฉพาะบำนาญ
|
เปิดทางเลือกบำนาญหรือบำเหน็จ
|
- สมาชิกตกอยู่ภาวะทุพพลภาพ
|
สมาชิกรับคืนเฉพาะเงินสะสมกับเงินผลประโยชน์ (เงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายให้จะไม่ได้คืน)
|
สมาชิกรับคืนทั้งเงินสะสม เงินสมทบ และเงินผลประโยชน์
|
- นโยบายการบริหารจัดการเงินกองทุน
|
ลงทุนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งอย่างน้อยต้องกำหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60
|
เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและมั่นคงสูง โดยเน้นการลงทุนในเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล เป็นหลัก
|
- การค้ำประกันผลตอบแทนการลงทุน
|
มี
ทั้งนี้พิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภทสิบสองเดือนโดยเฉลี่ย
ของธนาคารออมสิน ธกส. และธนาคารพาณิชย์แห่งใหญ่ห้าแห่งตามคณะกรรมการกำหนด
|
ไม่มี
เนื่องจากเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและมั่นคงสูง
|
- ผู้บริหารกองทุน
|
เลขาธิการกองทุนการออมแห่งชาติ (โดยกระบวนการสรรหา)
|
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (โดยตำแหน่ง)
|
ที่มา:
สรุปโดยผู้เขียนจากพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554
และข่าวกองทุนการออมแห่งชาติ เกณฑ์ใหม่ยุค “กิตติรัตน์” วันที่ 10 ตุลาคม
2555 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
-
หนทางไหนดี?: ประชาชนรอไปก่อน แก้ให้เสร็จแล้วค่อยสมัคร หรือ เปิดรับสมัครสมาชิกไปก่อน แล้วค่อยแก้
มีประเด็นคำถามที่ต้องพิจารณา กล่าวคือมีความจำเป็นหรือไม่ อย่างไร
ที่จะต้องชะลอการเปิดรับสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติออกไปจนกว่าจะแก้ไข
พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับแก้ไข)
ให้เรียบร้อยตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หรืออีกทางเลือกหนึ่ง แทนที่รัฐบาลจะรอการแก้ไขพระราชบัญญัติ
ควรหรือไม่ควรที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการเปิดรับสมาชิกไปก่อน
แล้วค่อยพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติภายหลัง
การชะลอการเปิดรับสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติออกไปทำให้ประชาชนเสีย
ประโยชน์โดยตรง
กล่าวคือเราต้องไม่ลืมว่าระบบบำนาญภายใต้แนวคิดของกองทุนการออมแห่งชาติตั้ง
อยู่บนพื้นฐานของการออม (การสะสมเงิน) และการสมทบร่วมของรัฐบาล
สมาชิกแต่ละคนมีบัญชีบำนาญเป็นของตนเอง
การได้รับบำนาญยามชราภาพมากหรือน้อยขึ้นกับระยะเวลาของการจ่ายเงินสะสมและ
การได้รับเงินสมทบร่วมจากรัฐบาล
การเลื่อนเวลาการเปิดรับสมัครสมาชิกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก่อให้เกิดผล
เสียหายโดยตรงกับผู้ที่มีความตั้งใจจะสร้างหลักประกันยามชราภาพเหล่านี้
การแก้ไขพระราชบัญญัติอาจใช้เวลาพอสมควรจนทำให้ประชาชนที่มีความตั้งใจที่จะ
สมัครเป็นสมาชิกเสียโอกาสในการเร่งสะสมเงินแต่เนิ่นๆและได้รับเงินสมทบจาก
รัฐบาลยกตัวอย่างเช่น ประชาชนคนหนึ่งคิดสมัครสมาชิกกองทุน
และตั้งใจที่จะออมเงินเดือนละ 100 บาท รัฐบาลสมทบอีกส่วนหนึ่งสมมติว่า 80
บาท (ตามพระราชบัญญัติเดิม) สมมติการแก้ไขพระราชบัญญัติมีความล่าช้าถึง 2
ปี (หรือ 24 เดือน) จำนวนเงินที่เขาขาดโอกาสที่จะออมคือ 4,320 บาท
ตามพระราชบัญญัติปัจจุบัน
เงินที่หายไปนี้จะไปลดจำนวนเงินบำนาญรายเดือนของเขาในอนาคตและลดสิทธิ
ประโยชน์อื่นๆ ตามมา
นอกจากนี้เราควรจะต้องพิจารณาพร้อมกันด้วยว่า
ประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอนั้นมีความสมเหตุสมผลเพียงไรจน
กระทั่งต้องยอมให้เกิดการเลื่อนเวลาการรับสมัครออกไป
แม้ว่าจะต้องแลกด้วยโอกาสการสะสมเงินที่สูญเสียไปของประชาชนแต่ละคนในช่วง
การชะลอการแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว
- การเพิ่มอายุของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติจาก 15-60 ปีเป็น 15-70 ปี
จากเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ที่จะสร้างหลักประกันที่มั่นคงในยามชราภาพให้กับประชากรวัยทำงาน (15-60 ปี)ที่
ไม่
มีช่องทางหรือโอกาสเข้าถึงระบบการออมเงินในขณะที่อยู่ในวัยทำงาน
เพื่อสร้างความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิตตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการ
ออมของประชาชนคนไทยในวัยทำงาน ยิ่งมีโอกาสเริ่มออมเร็วก็จะมีหลัก
ประกันที่มั่นคงยิ่งขึ้น
เงินบำนาญที่จะได้รับจากกองทุนการออมแห่งชาติเป็นสิ่งที่เพิ่มเติมจากเบี้ย
ยังชีพที่รัฐบาลให้กับคนกลุ่มเดียวกันนี้ไว้เป็นพื้นฐานอยู่แล้วเมื่ออายุ
ถึง 60 ปี อย่าลืมว่าที่ผ่านมารัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรได้เพิ่มเงินเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุตามลำดับชั้นของอายุไปแล้ว
การ
ชะลอเวลารับสมัครด้วยเหตุผลนี้เป็นการให้โอกาสกับผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ย
ยังชีพ (ที่จำนวนเงินเพิ่มมากขึ้น) ให้มีโอกาสออมได้อีก
(ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องที่ดี)
แต่อยู่บนต้นทุนของการเสียโอกาสของประชากรวัยทำงานที่เสียโอกาสในการออมเร็ว
ขึ้น
- เงินสะสมเข้ากองทุนกำหนดขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50 บาท แต่จะไม่จำกัดเพดานเงินสะสม
การไม่จำกัดเพดานสะสมเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มนี้ได้ออมเงินมาก
ขึ้นผ่านระบบกองทุนการออมแห่งชาติเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการเพิ่ม
ความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิตตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการออมของประชาชนคนไทยในวัยทำงานตาม
เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ
แต่การแก้พระราชบัญญัติในประเด็นนี้เป็นการเอื้อกับผู้มีความสามารถในการออม
สูง (ผู้ที่มีรายได้สูงและ/หรือผู้มีความมั่งคั่งสูง)
มากกว่ากลุ่มที่มีความสามารถในการออมต่ำกว่า
ดังนั้นการชะลอด้วยเหตุผลนี้จึง
อยู่บนต้นทุนของการเสียโอกาสของประชากรวัยทำงานที่ฐานะไม่ดีที่เสียโอกาสในการออมไประหว่างการแก้ไขพระราชบัญญัติ(หมาย
เหตุ ที่จริงทุกคนเสียโอกาส
แต่โอกาสที่เสียไปนั้นมีผลกระทบต่อกลุ่มที่มีความสามารถในการออมต่ำกว่า
มากกว่ากลุ่มอื่น คนที่มีหลักประกันยามชราภาพที่ไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว
ก็จะมีความไม่มั่นคงเพิ่มขึ้นไปอีก)
เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่การไม่จำกัดเพดานเงินสะสมนี้ไม่ใช่สาระสำคัญของการ
ชะลอเรื่องคือ เงินสะสมของสมาชิกส่วนที่เกินเดือนละ 100
บาทเป็นไปโดยสมัครใจและไม่ได้รับเงินสมทบร่วมจากรัฐบาลอยู่แล้ว
นอกจากนั้นเมื่อไปพิจารณาถึงนโยบายการลงทุนของกองทุนที่จะนำไปเฉพาะฝาก
ธนาคารหรือซื้อพันธบัตร
ความแตกต่างระหว่างเงินสะสมในส่วนนี้ในกองทุนการออมแห่งชาติกับเงินฝาก
ธนาคารจะมีความแตกต่างกันน้อยมาก
จนหาเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ที่รัฐบาลจะต้องมาดำเนินการในส่วนเพิ่มเพดานเงิน
ออมแทบจะไม่มี
- การเพิ่มเงินสมทบจากภาครัฐให้เป็นอัตราเดียว: ร้อยละ 100
การเพิ่มเงินสมทบจากภาครัฐให้เป็นอัตราเดียวมีผลดีกับสมาชิกของกองทุนใน
ระดับบุคคลเนื่องจากทุกคนจะได้รับเงินเพิ่ม
(แต่เป็นภาระทางการคลังของรัฐบาล)
หากระยะเวลาการชะลอเวลาไม่ได้เนิ่นนานจนเกินไป
เงินสมทบที่ได้เพิ่มนั้นอาจจะมากกว่าเงินสมทบจากรัฐบาลที่เสียไปในปัจจุบัน
เนื่องจากไม่ได้ออม แต่หากรัฐบาลไม่ชะลอการรับสมัครสมาชิก
ประชาชนได้เริ่มสะสมเงินตั้งแต่เนิ่นๆ
ก็จะทำให้เงินสะสมและเงินสมทบมีมากขึ้นอันจะส่งผลดีต่อเงินบำนาญที่จะได้รับ
ในอนาคต การชะลอด้วยเหตุผลในข้อที่ 3 นี้ไม่มีความจำเป็นเลย
รัฐบาลรีบรับสมัครสมาชิกแล้วค่อยเพิ่มเงินสมทบให้ประชาชนภายหลังแก้พระราช
บัญญัติ
ประชาชนที่สมัครสมาชิกก็จะได้ประโยชน์สองต่อคือได้ออมเร็วและได้เงินสมทบ
เพิ่มภายหลัง
- สมาชิกตกอยู่ภาวะทุพพลภาพได้รับคืนทั้งเงินสะสม เงินสมทบ และเงินผลประโยชน์
เหตุผลเหมือนกับข้อที่ 3 กล่าวคือ
หากรัฐบาลเริ่มใช้ไปก่อนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติที่ตกอยู่ในภาวะทุพพลภาพ
ในช่วงแรกนี้ก็จะได้ประโยชน์ตามพระราชบัญญัติปัจจุบัน
เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่รีบทำอะไรเลย
ผลลัพธ์ก็คือประชาชนก็จะไม่มีหลักประกันใดๆเลย
รัฐบาลรีบรับสมัครสมาชิกแล้วค่อยเพิ่มสวัสดิการชุดนี้ให้ประชาชนภายหลังแก้
พระราชบัญญัติ
ประชาชนที่สมัครสมาชิกก็จะได้ประโยชน์สองต่อคือมีความคุ้มครองตั้งแต่วันนี้
และได้สิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้นเมื่อแก้ไขพระราชบัญญัติเสร็จสิ้น
- การรับเงินสะสมคืนโดยเปิดทางเลือกบำนาญหรือบำเหน็จ
การแก้ไขประเด็นนี้สมเหตุสมผลหรือไม่นั้นจะต้องแยกพิจารณาออกเป็นสองคำ
ถาม คำถามแรกจะเหมือนกับประเด็นต่างๆข้างต้น กล่าวคือ
จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องรอแก้พระราชบัญญัติปัจจุบันด้วยเหตุผลข้อนี้
คำตอบก็คือว่า ไม่จำเป็น หากดำเนินการรับสมัครสมาชิกเสียแต่บัดนี้
สมาชิกก็จะมีเงินสะสมและเงินสมทบเพิ่มขึ้น
หากแก้กฎหมายให้สามารถรับเป็นบำเหน็จได้ สมาชิกก็จะมีเงินก้อนจำนวนมากขึ้น
คำถามที่สองเป็นคำถามเชิงปรัชญา
เกี่ยวข้องกับแนวคิดของการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ
และเชื่อมโยงกับความคาดหวังต่อหน้าที่ของกองทุนนี้ หากรัฐบาลมองการณ์ไกลว่า
ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการลดลงของอัตราภาวะเจริญพันธุ์
สตรีวัยเจริญพันธุ์มีแนวโน้มที่จะมีลูกน้อยลง
ผู้สูงอายุไทยมากกว่าครึ่งเคยหรือกำลังพึ่งพาการเกื้อหนุนทางการเงินจากลูก
หลาน แต่ในอนาคตคงจะเป็นไปได้ยาก
กอปรกับผู้สูงอายุไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นโดยหลักการแล้ว
สังคมไทยกำลังจะต้องพึ่งพาระบบบำนาญในฐานะลูกหลานที่ดีที่จะช่วยประกันความ
มั่นคงด้านรายได้ยามชราภาพต่อไปเรื่อยๆจนวันสุดท้ายของอายุขัย
การอนุญาตให้ผู้สูงอายุสามารถรับเงินบำเหน็จได้เป็นความปรารถนาดีของรัฐบาล
ที่อยากให้ผู้สูงอายุมีเงินก้อนไปใช้จ่ายได้
แต่ความปรารถนาดีนี้ขัดต่อหลักการของการประกันรายได้ยามชราภาพจนวันสุดท้าย
ของชีวิตโดยสิ้นเชิง เงินก้อนนั้นอาจจะไม่สามารถทำหน้าที่ “ลูกที่ดี”
ไปจนวันสุดท้ายของชีวิตของท่าน
ความปรารถนาดีของรัฐบาลที่จะให้เป็นเงินก้อนอาจจะกลับกลายเป็นผลเสียต่อผู้
สูงอายุเอง
ผลสุดท้ายมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลเองก็ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินเข้าไปเกื้อ
หนุนผู้สูงอายุเหล่านั้นในรูปแบบอื่นๆอีก
- ประเด็นการบริหารจัดการกองทุน (นโยบายการลงทุน การประกันผลตอบแทนและผู้บริหารกองทุน)
ประเด็นทั้งสามมีความเกี่ยวเนื่องกัน ผู้เขียนจึงขออภิปรายรวบยอด
จุดเริ่มต้นของกองทุนการออมแห่งชาติอยู่ที่ประชากรวัยทำงานกลุ่มใหญ่ที่เป็น
แรงงานนอกระบบซึ่งมีความหลากหลายของรายได้
ดังนั้นเงินสะสมจึงได้กำหนดไว้ไม่สูงเกินไปจนกีดกันผู้ที่มีความสามารถในการ
ออมต่ำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้ เงินสะสมรายเดือนจึงกำหนดไว้เพียงเดือนละ 50
บาทหรือ 100 บาท
หากขาดการส่งเงินสะสมบางเดือนก็จะไม่ถูกตัดสิทธิออกจากสมาชิกภาพของกองทุน
ดังนั้นหลักการบริหารจัดการกองทุนลักษณะนี้คือต้องใช้หลักวิชาการทางการเงิน
การลงทุนเพื่อทำเงินก้อนเล็กๆนี้ให้เกิดดอกออกผลขึ้นมาบนพื้นฐานของการ
บริหารจัดการที่ดี โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล
มีการประกันผลตอบแทนขั้นต่ำเอาไว้ (หมายเหตุ
หากไม่มีการประกันผลตอบแทบขั้นต่ำไว้ ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกราคา
อาจส่งผลต่อความมั่นคงในชีวิตของผู้สูงอายุ
จนรัฐบาลก็ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินเข้าไปเกื้อหนุนในลักษณะอื่นอีกอยู่ดี)
ดังนั้นในพระราชบัญญัติจึงอนุญาตให้สามารถลงทุนในหลักทรัพย์หลากหลายประเภท
แต่มีเงื่อนไขว่าต้องลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ำกว่าร้อยละ
60
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์การคลังขอแสดงความเป็นห่วงอีกประเด็นหนึ่ง
แม้ว่าความเป็นห่วงนี้เกิดจากการตั้งสมมติฐานไปเองแบบมองโลกในแง่ร้าย
(หรืออาจจะเรียกว่าคิดมากไปเอง)
การแก้ไขให้นโยบายการลงทุนไปเน้นการฝากเงินกับสถาบันการเงิน
ที่สำคัญไปกำหนดให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
อีกทั้งยังให้ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (ข้าราชการ)
เป็นผู้บริหารกองทุน อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้ “การเมือง”
สามารถยื่นมือเข้ามาควบคุมหรือยุ่งกับเงินของพี่น้องประชาชนได้ง่ายขึ้น
เมื่อไรที่รัฐบาลใช้จ่ายเงินเกินกว่ารายรับที่หามาได้และต้องก่อหนี้สาธารณะ
ด้วยการออกพันธบัตร
เมื่อนั้นรัฐบาลอาจจะมองเงินกองทุนการออมแห่งชาติเสมือนเป็น
“งบประมาณแหล่งใหม่”
ในการจัดหาเงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้อย่างง่ายดาย
-
บทส่งท้าย
หากพิจารณาตามหลักการที่ได้อภิปรายข้างต้นแล้ว
ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่น่าจะมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่จะชะลอการปฏิบัติตามพระ
ราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554
ในการรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุของสมาชิก
เงินสะสมเข้ากองทุน เงินสมทบจากภาครัฐ เงินบำเหน็จกรณีทุพพลภาพ
หรือแม้กระทั่งแนวคิดที่เปิดโอกาสให้สมาชิกรับบำเหน็จได้
รัฐบาลยิ่งเริ่มรับสมาชิกเร็ว สมาชิกยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น
ไม่มีเหตุผลใดที่จะประวิงเวลาไปมากกว่านี้ หรือว่า
แรงจูงใจของรัฐบาลที่ต้องการจะแก้พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติจะอยู่
ที่ข้อ 6 เป็นสำคัญ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น