ประกาศนิติราษฎร์ ฉบับที่ 41 (วรเจตน์ ภาคีรัตน์)
ภารกิจคณะนิติราษฎร์ใน พ.ศ. 2556
โดยที่มีผู้สอบถามถึงกิจกรรมทางวิชาการของคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ที่จะดำเนินการต่อไปใน พ.ศ.2556 ตลอดจนสอบถามถึงความคืบหน้าของการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการดำเนินการตามแนวทางการตรากฎหมายเพื่อขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน สังคมอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายภายหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ตามที่ได้เคยประกาศไว้ในประกาศนิติราษฎร์ฉบับที่ 34 (25 เมษายน 2555) ในโอกาสขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2556 นี้ คณะนิติราษฎร์ขอชี้แจงถึงภารกิจและกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไป ดังนี้
1. การรณรงค์และรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ โดยคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) นั้น ได้ผ่านพ้นจากขั้นตอนการรณรงค์รวบรมรายชื่อประชาชนไปสู่การเสนอร่างพระราช บัญญัติดังกล่าวไปยังประธานรัฐสภาแล้ว เมื่อกลางปี 2555 ต่อมาในราวเดือนตุลาคม 2555 ประธานรัฐสภา (นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์) ได้ปฏิเสธไม่บรรจุร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุม โดยอ้างว่าร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติตามที่กำหนดในหมวด 3 (สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย) และหมวด 5 (แนวนโยบายแห่งรัฐ) ของรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่กรณีเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 122 ซึ่งกำหนดโทษในทางอาญานั้น เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในร่างกายและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ของบุคคลซึ่งเป็นเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ การปฏิเสธไม่บรรจุร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่วาระการประชุม จึงเป็นการปฏิเสธที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล หลังจากทราบการปฏิเสธแล้ว ครก.112 (ซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลหลายฝ่ายรวมทั้งคณะนิติราษฎร์) ได้พยายามประสานเพื่อเสนอความเห็นให้ประธานรัฐสภาทบทวนการวินิจฉัย แต่ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควรจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นในเดือนมกราคม 2556 นี้ ครก.112 จะได้โต้แย้งคำสั่งของประธานรัฐสภา (นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์) เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้มีการทบทวนคำสั่งดังกล่าว หลังจากนั้นจะดำเนินการตามช่องทางในทางกฎหมายต่อไปจนสุดหนทาง
ในระหว่างนี้ หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคนหรือคณะรัฐมนตรีเห็นความ สำคัญของปัญหาดังกล่าว อันเป็นปัญหาที่นานาชาติตลอดจนองค์การระหว่างประเทศให้ความสนใจ และประสงค์จะปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ให้ได้ในระดับที่นานาอารยประเทศพอที่จะยอมรับนับถือได้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์หรือข้อเสนอของคณะกรรมการบางคณะที่รัฐบาลได้ตั้ง ขึ้น (เช่น คอป.) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามวิถีทางประชาธิปไตยก็ได้ การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการมีคำ สั่งของ ประธานรัฐสภา (นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์) ที่ไม่บรรจุร่างกฎหมายที่ประชาชนร่วมกันเข้าชื่อโดยถูกต้องทุกประการตามหลัก เกณฑ์ของกฎหมายเข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภาได้อีกทางหนึ่ง
ในส่วนของประชาชนที่ร่วมลงชื่อ ตลอดจนเครือข่ายกลุ่มกิจกรรมต่างๆที่เห็นว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีปัญหาทั้งในแง่อุดมการณ์เบื้องหลังตัวบท ปัญหาในระดับตัวบท และปัญหาในการบังคับใช้ หากจะจัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆต่อไป เท่าที่มีกำลังจะทำได้ เพื่อขยายแนวความคิดให้แพร่ไปในหมู่ประชาชนในวงกว้าง ให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง พ้นจากการบิดเบือนให้ร้ายของสื่อมวลชน องค์กรและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แสวงหาประโยชน์จากการดำรงอยู่ของบท บัญญัติมาตรานี้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการแก้ไขบทบัญญัติมาตรานี้ในอนาคต
2. สำหรับการดำเนินการตามแนวทางการตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมและการขจัดความขัด แย้งที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายภายหลังจากการแย่งชิงอำนาจ รัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น ขณะนี้คณะนิติราษฎร์ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญหมวดว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัด ความขัดแย้ง เสร็จสิ้นแล้ว และได้ประกาศเผยแพร่ต่อสาธารณชนพร้อมกับประกาศนิติราษฎร์ฉบับนี้ เนื้อหาสาระหลักของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นไปตามประกาศนิติราษฎร์ฉบับที่ 34 ทั้งนี้โดยคณะนิติราษฎร์ได้กำหนดรายละเอียดของเนื้อหาบางประการเพิ่มเติม อนึ่ง กฎหมายนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้งตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ คณะนิติราษฎร์เลือกที่จะเสนอในรูปของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ใช่ร่างพระราชบัญญัติ เพื่อป้องกันปัญหากรณีร่างพระราชบัญญัติขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ โดยในร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอนี้ไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของ รัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงตลอดจนการสลายการชุมนุมทุก เหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้เข้าร่วมการประท้วงและชุมนุมทางการเมืองตาม เงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ให้มีคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งจำนวน 5 คน ซึ่งประธานรัฐสภาแต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับเลือกจากองค์กรต่างๆตามที่กำหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งมีผลผูกพันองค์กรของรัฐ ทุกองค์กร และไม่อาจเป็นวัตถุแห่งการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใด นอกจากนี้คณะนิติราษฎร์ยังกำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งสิทธิเด็ดขาดใน การตีความบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้งด้วย
ร่างรัฐธรรมนูญหมวดว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้งตามข้อเสนอของ คณะนิติราษฎร์นี้ เมื่อได้เผยแพร่ต่อสาธารณะแล้ว ย่อมถือเป็นสมบัติของสาธารณะที่อาจจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ เสนอแนะตลอดจนปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น คณะนิติราษฎร์ไม่สงวนสิทธิที่กลุ่มบุคคลหรือคณะบุคคลใดจะนำร่างรัฐธรรมนูญ ดังกล่าวไปรณรงค์เคลื่อนไหวตลอดจนผลักดันให้เกิดผลเป็นตัวบทกฎหมายที่มีผล ใช้บังคับได้จริงในบ้านเมือง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป
อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่ เว็บไซต์นิติราษฎร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น