21 ม.ค.56 ณ ห้องประชุมกัลปพฤกษ์ โรงแรม ทีเค.พาเลซ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) แถลงข่าว เรียกร้องให้กรมเจรจาฯ เปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วนเพื่อทบทวนและปรับปรุงร่างกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ก่อนที่จะเสนอสู่รัฐสภา เนื่องจากที่ข้อตกลงมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างกว้างขวาง
นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า
ร่างกรอบเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรปเพิ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้
ทั้งที่ผ่าน ครม.เกือบ 2 เดือนแล้ว เพราะพบว่า
เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของประชาชนในภาพรวมกับเขียนอย่างกว้างๆ
ขณะที่เนื้อหาที่ภาคธุรกิจต้องการกับเขียนอย่างรัดกุม ดังนั้น
ผลจากการรับฟังความคิดเห็นที่จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 23 ม.ค.นี้
ควรนำไปสู่การปรับปรุงร่างกรอบเจรจาก่อนส่งเข้าสู่การพิจารณารัฐสภา
นิมิตร์ กล่าวว่า
เนื้อหาของร่างกรอบการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ FTA ไทย-อียู
มีความน่าเป็นกังวล ในประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา ข้อ 5.11.1 ระบุว่า
"ให้ระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสอดคล้องกับระดับการคุ้มครองตามความ
ตกลงขององค์การการค้าโลกและ/หรือความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี"
ซึ่งก่อนหน้านี้กรมเจรจาฯยอมรับเองว่า ที่เขียนเช่นนี้
อนุญาตให้เจรจาความตกลงที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์ได้
แม้จะพยายามเขียนข้ออื่นๆให้เหมือนเป็น safeguard แต่จากเอกสารที่ สำนักงาน
อย.นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภา
ก็ระบุชัดเจนว่าจะเกิดการผูกขาดข้อมูลทางยาจะขัดขวางการบังคับใช้สิทธิตาม
สิทธิบัตรของรัฐเพื่อสาธารณประโยชน์ (ซีแอล) มิให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้
นิมิตร์ กล่าวอีกว่า ข้อเรียกร้องของอียูมันมีผลในทางปฏิบัติ
ทำให้เราไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาได้
เรื่องสิทธิบัตรยา มันทำลายระบบสาธารณสุข
จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงโดยเฉพาะการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์
ซึ่งหมายถึงผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนไทย
และกระทบกับความมั่นคงทางยาของประเทศในที่สุด
ซึ่งมันเกินที่จะเยียวยาไปแล้ว รัฐบาลต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน
คือความคุ้มครองสิทธิบัตรยาต้องไม่เกินไปว่าข้อตกลงขององค์การการค้าโลก
หรือที่เรียกว่า "TRIPS"
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า
เราเรียกร้องให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน ตาม ม.190
แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ซึ่งเป็นกลไกสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
และล่าสุดเราก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิจารณากรอบการเจรจาฯ ในวันพุธที่ 23
มกราคมนี้ ซึ่งเป็นเวลากระชั้นชิดมาก
ประเด็นใหญ่อีกประเด็นคือผลกระทบทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา
การที่กรอบการเจรจา ข้อ 5.11.1 นั้น
จะเป็นการเปิดช่องให้มีการยอมรับการมีมาตรฐานแบบยุโรปซึ่งเปิดช่องให้เกิด
การผูกขาดทรัพย์สินทางปัญญาของยุโรป เรามองว่าต้องเขียนให้รัดกุมกว่านี้
คือระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาต้องไม่เกินไปกว่าข้อตกลงขององค์การ
การค้าโลก และต้องไม่ขยายไปถึงการคุ้มครองในเรื่องพันธุ์พืช ไม่ใช่เช่นนั้น
เกษตรกรจะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์แพงขึ้น 3-4 เท่าตัว
และจะกระทบถึงความมั่นคงทางด้านอาหาร
นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า
ขณะที่เรื่องการแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ ภูมิปัญญาชาวบ้าน
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก
ประเทศไทยควรได้รับประโยชน์จากผู้ที่เอาทรัพยากรดังกล่าวไปใช้
กลับระบุให้เป็นเพียงความร่วมมือเท่านั้น
ซึ่งประเทศไทยจะไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่
รศ.ดร.จิราพร
ลิ้มปานานนท์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานคณะทำงานเกี่ยวเนื่องด้านสาธารณสุข และคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการ
กล่าวว่า กรมเจรจาฯ เปิดรับฟังความเห็นแบบพิธีกรรมหรือเปล่า
รับฟังแล้วนำไปสู่การทบทวนไหม จากกรอบการเจรจา
ข้อ 5.11.1 จะพบว่ามันไม่ได้เขียนไปตามจากการที่รับฟังความคิดเห็น
ข้อกังวลที่เสนอ
การเขียนว่าให้การคุ้มครองสอดคล้องกับ TRIPS นั้นเป็นการฉ้อฉล
เป็นเพียงมาตรการขั้นต่ำ คุณจะคุ้มครองให้สูงกว่านั้นได้
จิราพร กล่าวต่ออีกว่า
หากดูตัวอย่างจากประเทศอินเดียจะพบว่าการยืนหยัดในเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้การ
เจรจา FTA เดินหน้าต่อไปไม่ได้
สุดท้าย EU ก็ต้องยอมเจรจาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญากับอินเดีย
ประเทศอินเดียก็ทำได้ ประเทศไทยที่เพิ่งจะร่างกรอบก็ต้องทำได้เหมือนกัน
และขณะนี้ยาก็แพงมากอยู่แล้ว
หากคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเกิน TRIPs ยาก็จะยิ่งแพง
ทั้งที่เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ในที่สุดเราก็จะตกเป็นทาสของประเทศที่พัฒนาแล้วในเรื่องยา
ส่วนเรื่องการคุ้มครองการลงทุน ในข้อ 5.9.5 ซึ่งระบุว่า
"เปิดโอกาสให้สามารถใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเป็นทางเลือก
หนึ่งในการระงับข้อพิพาท
และผลักดันให้มีกลไกหารือเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการลงทุนเฉพาะเรื่อง"
เนื้อหาในส่วนนี้ เรียกชื่อทางการว่า กลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและอกชน
(Investor State Dispute Settlement - ISDS) ซึ่งก็มีข้อน่ากังวลคือ
จากประสบการณ์ในอดีตจะพบว่า
ประเทศในความตกลง NAFTA ที่ถูกนักลงทุนต่างชาติใช้กลไกดังกล่าวในการฟ้อง
ร้องเรียกค่าเสียหายและล้มนโยบายสาธารณะมานักต่อนักแล้ว
แต่ในร่างกรอบเจรจาฯ FTA ไทย-อียูกลับเปิดทางให้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น