วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 (go6TV) เฟสบุ้ค นายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ได้เขียนข้อความลงในเฟสบุ้คส่วนตัว บิดเบือนเหตุการณ์สวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 8 ใส่ร้ายรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ และนายป๋วย อึ้งภากรณ์ ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต โดยมีข้อความดังนี้ (หมายเหตุ:ทีมงานไม่แก้ไขคำสะกดในบทความดังกล่าว เพราะผิดจำนวนมาก และต้องการเป็นหลักฐานในภายหน้า จึงคงตัวอักษรเดิม)
เรื่องเล่าจากลุงนิตร
ในหลวง ร.8 ถูกวางยา
ก่อนถูกลอบปลงพระชน
ได้มีโอกาสเจอคุณลุงมานิตร
โชติกะเสถียร วัย 71 ปี ท่านเป็นบุตรชายแท้ๆของ ศ.นพ.ชุบ โชติกะเสถียร หรือฉายา "
หมอสปัสซั่ม " ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลจุฬาฯ ผู้ชันสูตรพลิกศพของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการที่ 8
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
ท่านเป็นหมอที่ยืนยันว่านอกจากจะมีการลอบปลงพระชนด้วยอาวุธปืน " พาราเบลลั่ม
"แล้ว ยังมีการวางยาในหลวง วางยาต้นห้อง
คุณลุงนิตร
นั่งกินหมูกะทะกับผมโดยบังเอิญที่หน้าสถานีวิหคเรดิโอ เชียงใหม่ เพราะท่านมาวันเกิดลูกของน้องชายผม
เลยคุยกับแบบถูกคอเรื่องบ้านเมือง ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คุณลุงนิตรเล่าให้ฟังว่าพอ
ศ.นพ.ชุบ โชติกะเสถียร บิดา จะไปเป็นพยานในศาลคดีลอบปลงพระชน ปรีดีย์ได้มาเจรจา
เพื่อให้ยอมไปให้ปากคำว่าเป็นการปลงพระชนตัวเอง โดยยื่นสินบนด้วยคำพูดว่า
"จะเปิดคลังหลวงให้และให้เอากระเป๋าไป2ใบ ใส่เงินเท่าที่ใส่ได้ให้ไปกินอยู่ตลอดชีวิต
แค่อย่าให้ปากคำกับศาลว่าเป็นการลอบปลงพระชน" ในสมัยนั้นถ้าใครไม่ยอมทำตาม
ก็จะมี "เก๋งดำ" หรือรถยนต์เก๋งสีดำ มาจอดหน้าบ้าน
นั้นหมายถึงว่าตายทุกราย จนข่าวนี้โด่งดั่ง จนเกิดข่าวลือว่า ศ.นพ.ชุบ ตายแล้ว
อันที่จริงแล้ว ศ.นพ.ชุบ ได้จ้างทหารมาเป็นยามถือปืนลูกซองอยู่ในบ้านใครเข้ามา
"ยิงทิ้งทันที"
จากนั้นก็ไปให้ปากคำกับศาลยืนยันว่าเป็นการลอบปลงพระชนจริง
ระบุว่าในการตรวจพระศพยังพบว่ามีการ "ลอบวางยา" ต้นห้องของในหลวงราชการที่
8 และในพระวรกายของท่านยังพบว่า มีการพบ
"น้ำมันระหุ่ง" ในปริมาณมากผิดปกติ จนทำให้เกิดอาการ "มึนงง"
ก่อนการลอบปลงพระชน
คำว่าหมอ
"สปัสซั่ม" ลุงนิตร บอกว่าสื่อมวลชนในสมัยนั้น ได้ให้ฉายา กับ ศ.นพ.ชุบ
เพราะคำให้การที่อธิบายถึงคนที่จะยิงตัวตายได้จะต้องมีอาการเกรง หรือ "สปัสซั่ม"
แต่ในหลวงราชการที่ 8
ไม่มีอาการดังกล่าว นั้นยิ่งชัดว่าไม่ใช่การลอบปลงพระชน ที่
ศ.นพ.ชุบไม่ยอมไปให้ปากคำตามที่ปรีดีย์ต้องการ เพราะ ศ.นพ.ชุบ ได้ทุนเจ้าฟ้า
เรียนในประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 13 ปี มีพี่น้องคือ 1.หลวงประเสริฐไมตรี โชติกะเสถียร 2.พลเอกหลวงสุระณรงค์
โชติกะเสถียร สมุหะราชองครักษ์-องคมนตรี 3.ศ.นพ.ชุบ
โชติกะเสถียร 4.ท่านผู้หญิงศิริ สารสิน เป็นบุตรของ
ทูตพระสัมผกิจปรีชา โชติกะเสถียร และคุณหญิงฉลวย โชติกะเสถียร
ซึ่งพลเอกหลวงสุระณรงค์ โชติกะเสถียร คือ สมุหะราชองครักษ์
ต่อมาได้รับโปรดเกล้าให้เป็น "องคมนตรี"
โดยได้รับใช้ดูแลในหลวงราชการที่ 8 และ 9 พระพี่นาง สมเด็จย่า
มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กในประเทศไทยตอนยังไม่ได้ครองราชบัลลังค์
ก่อนเสด็จไปประเทศสวีสฯ ทำให้ ตระกูล "โชติกะเสถียร"
มีความใกล้ชิดและจงรักภักดีต่อราชวงค์จักรีเป็นอย่างมาก พอเกิดการเปลี่ยนแปลงจากคณะราษฎรยึดอำนาจกันเอง
ทำให้ปรีดีย์หมดอำนาจ จากฝีมือจอมพลสฤษดิ์ ธนรันตน์ ชีวิตของ ศ.นพ.ชุบ
จึงรอดเงื้อมือมัจจุราชมาได้ และได้ก่อตั้งโรงพยาบาล หน่วยแพทย์อาสา
จนสิ้นอายุขัยด้วยวัยชรา
ลุงมานิตรตั้งข้อสงสัยว่า
ทำไมสำหรับ ใจ อึ้งพากร ลูก ดร.ป๋วย อึ้งภากร มาใส่ร้ายโจมตีราชการที่ 9 กล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชนราชการที่ 8 เพื่อแย่งชิงราชบัลลังค์นั้น ผมอธิบายกับคุณลุงมานิตร
ตามหลักยุทธศาสตรืการเมืองว่า เป็นเรื่องที่ไม่แปลก เพราะทั้ง ป๋วย ทั้ง ใจ
เป็นฝ่ายซ้ายนิยมในพรรคคอมมิวนิสต์ แม้ ดร.ป๋วย จะเป็นเสรีไทยสายอังกฤษ แต่ก็ไม่นิยมเจ้าจึงเป็นพรรคพวกเดียวกับอำมาตรีปรีดีย์
การปล่อยข่าวทำลายสถาบันกษัตริย์ เป็นหลักในการล้มล้างการปกครองในประเทศฝรั่งเศส
ที่จะปล่อยข่าวทำลายราชวงค์ก่อนที่จะมีการโค่นล้ม โดยมีรากเง่ามาตั้งแต่
ประชาธิปไตยเกิดขึ้นนครรัฐกรีกโบราณช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล
ยุค เมโสโปเตเมีย ฟินีเซียและอินเดีย ที่มีนักปราชที่รู้จักกันในนาม
"เพลโต้" democracy ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณว่า
"ดีมอคระเทีย" การลอบปลงพระชนนั้น
จากประวัติศาสตร์ที่ระบุจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่าเป็นฝีมือของ "
รอ.วัชระชัย " รองราชเลขาสำนักพระราชวัง เข้าไปลอบปลงพระชน วางยาเอง
แล้วหลบหนีไปร่วมกับอำมาตย์ตรีปรีดีย์ ก่อการกบฎวังหลวง กบฎแมนฮัตตั่น
กบฎเมษาฮาวาย สุดท้ายก็โดนทหารจีนยิงทิ้ง "คดีลอบปลงพระชน"
ถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจสำเร็จถือหลักคิดโจโฉ ถือธงนำหน้า
ปกป้องพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนวาทะกรรมที่ว่า "ปรีดีย์ฆ่าในหลวง"
ที่มีการประกาศในโรงภาพยนต์สมัยนั้น
เกิดจากประชาชนที่อดรนทนไม่ไหวกับการยึดครองอำนาจของคณะราษฎร์ เกิดการทุจริต
คอรัปชั่น เข่นฆ่าประชาชน รัฐมนตรี รัฐประหารกันเองหลายสิบครั้งต่างหาก
แต่วาทะกรรมนี้ ฝ่ายซ้าย หรือฝ่ายคอมมิวนิสต์จะเอามาโจมตีว่าเป็นฝีมือของพรรคประชาธิปัตย์
พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นโดย นายควง อภัยวงค์ น้องชายของพระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวี ของราชการที่ 7 โดยเจตนาโจมตีป้ายสีราชการที่ 9 ว่าเป็นผู้ลอบปลงพระชน ให้เกิดเป้าหมายสูงสุดคือปลุกให้ประชาชนไม่พอใจลุกฮือเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เหมือนที่เกิดในฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ
การลอบปลงพระชนในหลวงราชการที่
8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระอัฐมรามาธิบดินทร นั้น บทสรุปจากบทบันทึกจากทั้งฝ่ายคอมนิวนิสต์ คือฝ่ายผู้แพ้
ฝายขวา คือฝ่ายชนะ และคนกลาง ตรงกันคือ ในหลวงราชการที่ 8
ถูกลอบปลงพระชน จากพยานที่ถูกบันทึกไว้ทั้ง 3
ฝ่ายระบุตรงกันว่า เพราะในหลวงราชการที่ 8
จะลาออกมาเลือกตั้งแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี
และจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการที่ 9
เป็นในหลวงแทน เพราะท่านทนไม่ได้ที่ถูกปรีดีย์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการริบรอนพระราชอำนาจ
กดขี่ จนมีบันทึกในประวัติศาสต์ไว้ว่า " แม้แต่รถก็ไม่มีให้ใช้
หากแม่เราป่วยจะไปโรงพยาบาลจะไปอย่างไร " สิ่งเหล่านี้คือประวัติศาสตร์
ที่เป็นรากเง้าของประเทศไทย ที่ต้องถือว่าเป็นบทเรียน
ลุงนิตรโทรศัพท์กลับมาหาผมว่าอยากให้ลูกหลานคนรุ่นต่อไปได้ทราบเรื่องเหล่านี้
เสียดายแม่ของลุงนิตรได้เสียชีวตไปแล้ว
ท่านจำเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างอย่างละเอียด ลุงนิตรเองจำได้ในส่วนที่สำคัญ
วันนี้ลุงนิตรในวัย 71 ปีเป็นคนกรุงเทพ
แต่มาพำนักพักอาศัยในวัยชราที่เชียงใหม่ "ถ้าอยากรู้อนาคต
ต้องศึกษาอดีตลึกซึ้ง จะเข้าใจปัจจุบัน และหยั่งรู้ซึ่งอนาคต"
เทอดศักดิ์
เจียมกิจวัฒนา
22 พฤษภาคม 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น