ที่มา Thai E-News
โดย ชำนาญ จันทร์เรือง
หนึ่งในปัญหาที่ถาโถมใส่ศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันนอกเหนือจากความขัดแย้งใน
อำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับรัฐสภาแล้วก็คือสถานภาพของนายชัช ชลวร
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่
๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔
และที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติคัดเลือกประธานฯคนใหม่โดยใช้วิธี
สลับตำแหน่งกับนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ แล้วเสนอโปรดเกล้าฯ
ซึ่งในที่สุดเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔
ก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้นายชัชพ้นจากการเป็นประธานฯและแต่งตั้ง
ให้นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธานฯแทน
ประเด็นของความสงสัยจึงเกิดขึ้นและนำมาซึ่งการถกเถียงว่าสถานภาพของนายชัช
ว่ายังเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่หรือไม่
เพราะนายชัชดำรงตำแหน่งไม่ครบวาระแต่มีการสลับตำแหน่ง
ซึ่งไม่มีระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญก็คือหนังสือจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปยังวุฒิสภาเพื่อโปรดเกล้า ๒
อย่าง คือ โปรดเกล้าฯให้พ้นจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ
และให้โปรดเกล้าฯเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้เห็นว่า
ศาลรัฐธรรมนูญก็เล็งเห็นปัญหาอยู่ว่าการดำเนินการเรื่องนายขัชต้องดำเนินการ
๒ อย่าง
แต่ในที่สุดทรงโปรดเกล้าฯให้นายชัชพ้นจากการเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเท่า
นั้น
แต่ไม่ได้ระบุว่าโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่าง
ใด(ที่มา: มติชนรายวัน,๑๐ พ.ค.๒๕๕๖,หน้า ๒)
ประเด็นข้อถกเถียง
แนวความคิดเห็นแรก เห็นว่าการที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่ง
ตั้งนายชัชเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี ๒๕๕๑
นั้นเป็นการทำให้นายชัชเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปพร้อมกันแล้ว(มีสองสถานะแยกกัน –
two in one) จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการโปรดเกล้าใหม่อีก
กอปรกับเมื่อวุฒิสภาได้คัดเลือกได้ว่าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๙ คนแล้ว ๙
คนนั้นเองก็ได้ประชุมกันเองก็ได้คัดเลือกให้หนึ่งในนั้นเป็นประธานฯแล้ว
แนวความคิดเห็นที่สอง เห็นว่าการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายชัชเมื่อ ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๕๑นั้น
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งหมายความรวมถึงสถานะ
การเป็นตุลาการไปด้วย
โดยไม่ได้ระบุให้นายชัชเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกต่างหาก(มีสถานะเดียวคือ
เป็นประธานฯซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตุลาการด้วย- one in two)
เพราะฉะนั้นเมื่อต่อมามีการขอสลับตำแหน่งและขอลาออกจากการเป็นประธานศาลรัฐ
ธรรมนูญเพื่อไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว
แต่ปรากฏว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พ้นจากประธานศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ได้
มีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายชัชเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก
นายชัชจึงต้องพ้นจากทั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปด้วย
ไม่สามารถอนุมานหรือตีขลุมได้ว่านายชัชยังคงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่
ดังนั้น จึงถือว่านายชัชพ้นจากสถานะการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
ข้อกฎหมาย
๑) รัฐธรรมนูญฯมาตรา ๒๐๔ วรรคสาม บัญญัติว่า
“ให้ผู้ได้รับการคัดเลือกตามวรรคหนึ่ง
ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ
แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ”
๒)รัฐธรรมนูญฯมาตรา ๒๐๔ วรรคสี่ บัญญัติว่า
“ให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานศาลรัฐ
ธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ”
๓)รัฐธรรมนูญฯมาตรา ๒๐๙ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระ
ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
ฯลฯ
(๓)ลาออก
ฯลฯ”
ข้อวินิจฉัย
พิเคราะห์แล้วเห็นว่ากรณีนี้สถานภาพของนายชัชได้สิ้นสุดสถานภาพการเป็น
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของนายชัชนั้นได้สิ้นลงแล้ว
แม้ว่าจะมีบางความเห็นโต้แย้งว่ากรณีนี้เทียบได้กับกรณีของการแต่งตั้ง
ประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งผมเห็นว่าไม่สามารถนำมาเทียบเคียงได้
เนื่องเพราะในขณะที่นายชัชได้รับการคัดเลือกระหว่างผู้ที่ผ่านการเห็นชอบจาก
วุฒิสภาเพื่อให้เสนอชื่อเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้น สถานภาพของทั้ง ๙ คน
ยังไม่ได้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์เพราะทั้ง ๙ คน
ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งฯแต่อย่างใด
อีกทั้งมาตรา ๙๘
วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาศาลปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒
ได้บัญญัติว่าเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตุลาการในศาลปกครอง
สูงสุดตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้คณะกรรมการคัดเลือกฯเป็นอันพ้นหน้าที่
และให้ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดด้วยกันเอง
เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดหนึ่งคน รองประธานศาลปกครองสูงสุดสองคน
และตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดสี่คนฯลฯ
กอปรกับการพ้นตำแหน่งของประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้นรัฐธรรมนูญมิได้ระบุไว้เป็น
การเฉพาะแต่ระบุไว้รวมกับเงื่อนไขของการพ้นตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ฉะนั้น
เมื่อนายชัชยื่นลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นการพ้นจากตำแหน่ง
จากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้ามองตามข้อวินิจฉัยนี้จะเห็นได้ว่าการที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้
สลับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญกับตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของนายชัช
ชลวรกับนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์นั้นมีปัญหาในความชอบด้วยกฎหมายอย่างแน่นอน
แล้วจะทำอย่างไร
โดยทั่วไปแล้วมีปัญหาในเรื่องของความชอบด้วยกฎหมายของตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ
แล้วมักจะเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นผู้วินิจฉัย
แต่กรณีนี้ไม่สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วยเหตุของการเป็นผู้
มีส่วนได้เสียขององค์คณะของศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่ได้มีมติในการสลับ
ตำแหน่ง
ที่สำคัญก็คือไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญให้สามารถกระทำใน
กรณีนี้ได้
ฉะนั้น
ผู้ที่จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในการวินิจฉัยหรือทำความชัดเจนในประเด็นข้อ
โต้เถียงนี้ย่อมหนีไม่พ้นจากวุฒิสภาที่จะต้องทำหน้าที่นี้
เพราะประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตามรัฐธรรมนูญฯมาตรา
๒๐๔ วรรคสี่ นั่นเอง
เมื่อวินิจฉัยแล้วก็ต้องยอมรับและปฏิบัติตาม
หากวุฒิสภามีคำวินิจฉัยตามแนวความเห็นที่หนึ่งก็เป็นอันว่าจบเรื่อง
แต่หากวุฒิสภามีคำวินิจฉัยว่าการสลับตำแหน่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายคณะตุลาการ
ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ
หรือหากวุฒิสภาไม่ยอมทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยวุฒิสภาก็ย่อมจะต้องเป็นผู้
ที่จะต้องรับผิดชอบไปเต็มๆในฐานะที่เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแล้วทำให้
เกิดปัญหาขึ้น
ส่วนผลของการที่ไม่รับผิดชอบของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือวุฒิสภาจะ
เป็นอย่างไรนั้น ฝากไว้เป็นการบ้านให้ท่านผู้อ่านคิดเอาเองก็แล้วกันนะครับ
--------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น