เหตุการณ์ปราบปรามประชาชนที่
จัตุรัสเทียนอันเหมินผ่านไปแล้วถึง 24 ปี
แต่เรื่องนี้ยังคงตามหลอกหลอนรัฐบาลจีนทุกครั้งที่มีการพูดถึงปัญหาการ
ละเมิดสิทธิมนุษยชน และดูเหมือนว่าจีนก็ยังคงใช้วิธีปกปิดแผลเก่า
มากกว่าจะสะสางหาข้อเท็จจริงเพื่อให้เรื่องนี้จบลงอย่างถาวร
ภาพนี้ประชาชนมือเปล่าที่ยืนขวางรถถังภาพ
นี้ ถือเป็นหนึ่งในภาพข่าวประวัติศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดในโลก
และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามนักศึกษาและประชาชนผู้
ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติด้วยมือเปล่าที่เกิดขึ้น ณ
จัตุรัสเทียนอันเหมิน ศูนย์กลางของกรุงปักกิ่งเมื่อปี 2532
การล้อมปราบประชาชนครั้งนั้นกินเวลานานถึง 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 3 ถึง 4
มิถุนายน
และว่ากันว่าทำให้จัตุรัสเทียนอันเหมินอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเลือด
โดยจนถึงทุกวันนี้
ก็ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีจำนวน
เท่าไหร่ แต่คาดกันว่าจากจำนวนผู้ประท้วงที่มีนับแสน
ผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับกระสุนปืนของทหาร น่าจะมีมากกว่าพันคน
นับเป็นเหตุการณ์รุนแรงสุดที่เกิดขึ้นในปักกิ่งตั้งแต่การปฏิวัติประชาชน
เป็นต้นมา
เหตุการณ์นองเลือดในครั้งนั้นผ่านไปแล้ว 24
ปีเต็ม โดยเด็กชาวจีนที่เกิดหลังช่วงปี 2532
หรือแม้แต่ชาวจีนที่อยู่ต่างมณฑลในพื้นที่ห่างไกล
แทบจะไม่เคยรู้ว่าได้เกิดเหตุนองเลือดขึ้นในสถานที่ที่เป็นหัวใจของกรุง
ปักกิ่ง ไม่มีการสอบสวนหาผู้รับผิดชอบการสั่งสังหารหมู่ประชาชน
และไม่เคยมีการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามของเจ้า
หน้าที่รัฐ
เรียกได้ว่ารัฐบาลจีนพยายามกวาดทุดอย่างเก็บซ่อนเข้าใต้พรมแห่งประวัติ
ศาสตร์ โดยคิดว่าการไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้
จะทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติเหมือนกับไม่เคยมีการล้อมปราบประชาชนกลาง
เมืองเกิดขึ้น
แต่คำว่า "เทียนอันเหมิน"
ก็ยังคงตามหลอกหลอนรัฐบาลจีนมาทุกยุคทุกสมัย
เนื่องจากยังมีผู้ที่ไม่ยอมลืมเหตุการณ์นี้
นั่นก็คือญาติของผู้ที่เสียชีวิต สูญหาย
หรือถูกกักขังจากเหตุการณ์เทียนอันเหมิน และรัฐบาล รวมถึงองค์กรนานาชาติ
ที่ต่างได้เห็นภาพการปราบปรามอันนองเลือดผ่านสื่อต่างประเทศจำนวนมากที่ได้
เข้าไปทำข่าวเหตุการณ์ครั้งนั้น
เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้นำจีนเดินทางไปยังประเทศต่างๆ
หรือมีการพูดถึงเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชน
กรณีเทียนอันเหมินจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหนามยอกอกรัฐบาลจีนทุกครั้ง
โดยเฉพาะสหรัฐฯ
ที่ใช้เรื่องเทียนอันเหมินเป็นไม้ตายในการโจมตีทำลายความน่าเชื่อถือ
จีนอย่างได้ผลมาโดยตลอด
แม้ว่ารัฐบาลจีนชุดใหม่นำโดยนายสีจิ้นผิง
จะเป็นที่คาดหวังกันอย่างมาก ทั้งในหมู่ชาวจีนเองและนานาชาติ
ว่าจะเป็นผู้นำยุคใหม่ที่ปฏิรูปจีนให้ก้าวหน้าในด้านสิทธิมนุษยชนและบริหาร
ประเทศอย่างโปร่งใส แต่ดูเหมือนว่าเมื่อมาถึงเรื่องเทียนอันเหมิน
นายสีก็ยังยืนยันที่จะใช้นโยบายหมกเม็ด
ไม่ยอมพูดถึงความผิดพลาดของรัฐบาลจีนในอดีตเหมือนเดิม
เห้นได้ชัดเจนจากการที่รัฐบาลจีนสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการเซ็นเซอร์อิน
เทอร์เน็ตและจับตานักเคลื่อนไหวคนสำคัญๆในช่วงวันครบรอบเหตุการณ์เทียนอันเห
มินปีนี้มากกว่าปีที่ผ่านๆมาหลายเท่า
มีรายงานว่าหนึ่งในนักเคลื่อนไหวเครือข่าย
ญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เทียนอันเหมิน
ถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อร่วมพิธีรำลึก
ขณะที่ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังของจีนก็ถูกตำรวจควบคุมตัวโดยไม่ได้
ตั้งข้อหาก่อนหน้างานรำลึกเทียนอันเหมินเพียงไม่กี่วัน
ส่วนในโลกออนไลน์
มีการบล็อกคำค้นเกี่ยวกับเทียนอันเหมินทั้งหมด นอกจากคำว่า "เทียนอันเหมิน"
ที่ถูกบล็อกอย่างถาวรอยู่แล้ว วันที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อย่าง
6/4 หรือวันที่ 4 เดือน 6 และ 89 หรือปี 1989 หรือแม้แต่คำว่า " 35
พฤษภาคม" ซึ่งเป็นรหัสลับในการค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับเทียนอันเหมิน
ก็ถูกบล็อกเช่นเดียวกัน
แต่การแก้ปัญหาด้วยวิธีการปิดกั้นข้อมูล
ข่าวสารเช่นนี้
ดูจะยากขึ้นทุกทีสำหรับโลกปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตทำให้ข้อมูลทุกอย่างเข้า
ถึงได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ขณะที่จีนเองก็กำลังปรับภาพลักษณ์ตัวเองให้ทันสมัยและโปร่งใสยิ่งขึ้นเพื่อ
ที่จะก้าวไปยืนทัดเทียมกับนานาอารยประเทศได้อย่างภาคภูมิ
เทียนอันเหมินจึงเป็นเหมือนบาดแผลเก่าแผลสุดท้ายที่รอวันชำระสะสาง
เพื่อที่จีนยุคใหม่จะได้ก้าวหน้าไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจและอิทธิพลทางการ
เมืองเท่านั้น แต่รวมถึงหลักธรรมาภิบาลและการเคารพสิทธิมนุษยชน
ซึ่งเป็นพื้นฐานความชอบธรรมของรัฐบาลทุกประเทศ
ไม่ว่าจะปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยหรือสังคมนิยมก็ตาม
by
Pannika
3 มิถุนายน 2556 เวลา 08:26 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น