หากย้อนมาดูศาสนาพุทธก็จะพบว่ามีคำสอนหลักสำหหรับฆราวาสคือการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ประกอบกับกิจวัตรประจำวันคือการตักบาตร สวดมนต์ เข้าวัดในวันพระ อย่างไรก็ตามด้วยสังคมไทยพัฒนาด้านวัตถุมากขึ้น คนไทยจำนวนมากจึงต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเพื่อทำการงาน ดูแลตนเองและครอบครัว จนไม่มีเวลาให้กับศาสนา ผลที่เกิดขึ้นก็คือ จะหาคนไทยที่สวดมนต์เพียงวันละครั้งก็ยากเต็มที และจำนวนมากไม่รู้จักศีลห้าดีเพียงพอว่าสอนอะไรบ้าง ท่องได้ไม่ครบ ๕ ข้อ และโดยส่วนใหญ่ทำผิดศีลครบทั้ง 5 ข้อ ขอย้ำว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดศีลห้าเป็นประจำทุกวัน ซึ่งหากจะเรียกได้ว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่พุทธศาสนิกชนอีกต่อไปก็ไม่ผิดนัก ข้อเท็จจริงเหล่านี้สามารถอ้างอิงข้อมูลได้จากสถิติทั่วโลกเกี่ยวกับเรื่อง อาชญากรรม การดื่มสุรา การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การทุจริตคอรัปชั่น ฯลฯ ซึ่งประเทศไทยมักติดอันดับต้นๆ แทบจะไม่แพ้ชาติใดในโลก ทั้งๆ ที่โลกนี้มีประเทศต่างๆ ทั้งสิ้นกว่า 120 ประเทศก็ตาม เรื่องบางเรื่องเป็นสิ่งที่คนไทยเห็นกันจนชินตาตั้งแต่ภายในครอบครัวของตน เองจนกระทั่งระดับผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มสุรา เสพยาเสพติด การนอกใจสามีหรือภรรยา การพูดจาโกหกหลอกลวง การโกงในทุกระดับ ฯลฯ และแน่นอนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ท้ายที่สุดได้นำมาซึ่งปัญหาของสังคมและอาชญากรรม
สิ่งที่ผมจะสื่อมิได้ประสงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนไทยโดยฉับ พลัน แต่หากมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นความ สำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ การที่ผมต้องรับฟังปัญหาจากนักโทษจำนวนมากและประสบพบเห็นความเสื่อมทรามของ สังคมแล้วจึงมั่นใจว่าปัญหาที่สำคัญนั้นเกิดจากคนไทยห่างไกลจากศาสนามาก ขึ้น สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะคนไทยเบื่อหน่ายพระสงฆ์จำพวกที่มีความประพฤติไม่เหมาะ สมกับวินัย ใช้ชีวิตหรูหรายึดติดในวัตถุ ทำคุณไสย ปลุกเสกดินและหิน หาได้ศึกษาพระธรรมวินัยแต่อย่างใดไม่ หากจะเดินเข้าวัดก็เห็นวัดจำนวนมากมีการดำเนินการเชิงพุทธพาณิชย์ ไม่มีความสมถะ ไม่น่าเลื่อมใส แต่สาเหตุที่สำคัญมากก็คือ คนไทยสมัยใหม่แทบจะไม่เคยเข้าวัดเพื่อฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเลย พวกเขาเข้าวัดตามเทศกาลเพื่อจะได้ออกจากบ้านมาพบปะผู้คนเท่านั้น บางส่วนเอาเงินมาทำบุญทำทาน แต่ก็ไม่รู้ว่าผลบุญของการทำทานเป็นอย่างไร มีผลมากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่กลายเป็นสนับสนุนให้พระและวัดยึดติดกับการพัฒนาวัตถุ มิใช่พัฒนาจิตใจคนแต่อย่างใด
ข้อเสนอของผมนั้นเรียบง่ายแต่หากผู้มีอำนาจนำไปใช้อย่างจริงจังก็จะเกิด ผลดีแก่สังคมไทยอย่างทันตา มีเพียง 2 ข้อ ได้แก่ 1. จัดให้มี “วันฆราวาส” เป็นวันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาและพากันไปเข้าวัดฟังธรรมทุกวัน อาทิตย์ (เพราะวันพระไม่ตรงกับวันอาทิตย์ ยุคปัจจุบันนั้นไม่ใช่สมัยพุทธกาล ฆราวาสจึงต้องทำงานหรือเรียนวันจันทร์ถึงวันศุกร์) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลศาสนามีการโฆษณาปลุกกระแสโดยใช้ดารา นักแสดงเชิญชวนให้ทุกคนไปเข้าวัดเพื่อฟังธรรมทุกวันอาทิตย์ 2. ยกเลิกกฎหมายที่อนุญาตให้วัดจัดงานมหรสพหรือจัดงานเรี่ยไร (การทำบุญทำทานเป็นเรื่องการสมัครใจของฆราวาส ไม่ใช่หน้าที่ของวัดที่จะมอบความบันเทิงเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงิน หากวัดใดไม่มีเงินสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ก็ไม่ต้องสร้าง หากไม่ครบองค์ประกอบก่อตั้งเป็นวัด ก็ให้ยุบตัวลงเป็นเพียงสำนักสงฆ์หรือสำนักปฏิบัติธรรม)
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ครอบครัวจะมีความผูกพันกันมากขึ้น มีคำสอนของศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ทำชั่ว (ปัจจุบันคนจำนวนมากมีเงินเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำชั่วด้วยการผิดศีลห้าเพื่อให้ได้เงินมา) ส่วนพระสงฆ์และวัดเองก็จะไม่หลงผิดทาง แต่จะรู้จุดประสงค์ของตนเองว่ามีหน้าที่อบรมธรรมะขัดเกลาจิตใจคนในสังคมตาม แนวคำสอนของพระพุทธเจ้า มิฉะนั้นแล้วคนดีๆ ในสังคมก็คงจะท้อแท้ใจพากันไม่ศรัทธาในศาสนา แม้กระทั่งพระสงฆ์ดีๆ ก็อาจจะลาสิกขาออกไปดังที่เป็นข่าวไม่นานมานี้ ผมเห็นว่าปัจจุบันประชาชนจำนวนมากออกมาต่อสู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อ รักษาสถาบันชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ถ้าไม่ออกมาพัฒนาสถาบันศาสนาแล้วธงชาติไทยจะมีสีขาวไว้เพื่ออะไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น