เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 อุสตาซหะซัน ตอยยิบ
ตัวแทนคนหนึ่งของ BRN ในกระบวนการสันติสนทนาที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
2556 ได้นำเสนอคำประกาศ BRN ครั้งที่ 4 ทาง Youtube
ว่าจะยุติปฏิบัติการทางทหารตลอดเดือนรอมฏอน (เริ่มประมาณวันที่ 10 กรกฎาคม)
จนถึง 10 วันแรกของเดือนเซาวาล (คือประมาณวันที่ 17 สิงหาคม)
ดังที่ได้เคยตกลงกันในสันติสนทนาครั้งหลังสุดเมื่อ 13 มิถุนายน 2556
ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์โดยมีเงื่อนไขให้ทางการไทยต้องถอนกำลังทหาร-ตำรวจออกไป
จากพื้นที่สามจังหวัดและห้าอำเภอของสงขลา ให้ทหารของกองทัพภาค 4
อยู่ในที่ตั้ง ไม่ให้ฝ่ายราชการโจมตี ปิดถนน จับ ควบคุมคน หรือ
จัดกิจกรรมสังคมที่เกี่ยวข้องกับเดือนรอมฎอน กับให้
อ.ส.ที่เป็นมุสลิมไม่ต้องประจำการเพื่อให้พวกเขาไปปฏิบัติศาสนกิจที่บ้านได้
อีกทั้งห้ามขายเหล้าหรือสิ่งมึนเมาอื่นๆ
ปิดแหล่งอบายมุขต่างๆตลอดเดือนรอมฎอน
ทั้งหมดนี้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ลงนามและต้องประกาศในวันที่ 3 กรกฎาคม
2556
คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดคะเนสีหน้าของท่านผู้บัญชาการทหารบกเมื่อได้รับรู้เนื้อหาในคำประกาศBRN ครั้งที่ 4 นี้
ที่จริงคงไม่ได้มีแต่ท่านผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้นที่จะรู้สึก
“ปี๊ด”กับคำประกาศครั้งหลังนี้
แต่หลายฝ่ายในสังคมไทยนอกพื้นที่ซึ่งความรุนแรงดำเนินอยู่ก็คงจะ “ปี๊ด”
เช่นกัน ปัญหามีอยู่ว่าเมื่อ “ปี๊ด”
ไปแล้วผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงภาคใต้
และผู้คนในสังคมไทยควรทำอย่างไรต่อ?
ข้อเขียนสั้นๆนี้เป็นการชวนให้ฝ่ายต่างๆในสังคมไทยได้ทำความเข้าใจกับ
“สันติสนทนา”
ที่กำลังดำเนินอยู่เพื่อให้ทุกฝ่ายในสังคมไทยมั่นใจในทิศทางการแก้ปัญหา
และพร้อมเตรียมรับแรงกระเพื่อมที่จะเกิดจาก “สันติสนทนา” ได้ด้วยความรอบคอบ
มีเหตุมีผลบนพื้นฐานของความรู้ในเรื่องนี้เพื่อประโยชน์สุขของประเทศ
1. สิ่งที่ผู้คนในสังคมไทยควรตั้งคำถามไม่ใช่ว่า BRN
มีเจตนาอย่างไรจึงแถลงคำประกาศเช่นนี้หรือคิดอย่างไรจึงแถลงคำประกาศชนิดที่
ก็รู้กันทั่วไปว่า ฝ่ายรัฐบาล ภาคราชการ
และผู้คนในสังคมไทยจำนวนมากคงรับข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้
แต่ควรถามว่าคำประกาศของ BRN กำลังทำงานอย่างไรในสังคมไทยขณะนี้โดยเฉพาะที่
สัมพันธ์เชื่อมโยงกับ “สันติสนทนา”
2. ผมเลือกใช้คำว่า “สันติสนทนา” (peace dialogue)
เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่ “การเจรจาสันติภาพ” (peace
negotiation)ข้อต่างสำคัญคือ ผลลัพธ์ที่จะเกิดจากการเจรจาสันติภาพคือ
ข้อตกลงสันติภาพ (peace agreement) แต่สิ่งที่อาจจะได้จาก “สันติสนทนา”
คือความเข้าใจในกันและกันตลอดจนบรรยากาศในการร่วมกันหาทางออกจากกับดักแห่ง
ความรุนแรงที่กำลังรัดรึงทุกฝ่ายอยู่
3. กฎข้อแรกที่บิดาของสันติศึกษาคือ โยฮัน กัลตุง
เคยสอนเกี่ยวกับการทำงานกับความขัดแย้งโดยเฉพาะในแนวทางสันติสนทนาคือ
“อย่าฟังแต่เฉพาะสิ่งที่เขาพูด แต่ต้องฟังสิ่งที่เขาไม่ได้พูดด้วย”
ในแง่นี้จะเห็นได้ว่า คำประกาศฉบับที่ 4 ของ BRN
สะท้อนการทำงานที่เตรียมการมา
เพราะเลือกประกาศเสนอให้ยุติความรุนแรงในช่วงเวลาเดือนอันศักดิ์สิทธิ์ใน
ศาสนาอิสลาม (holy time)
ด้วยการใช้วันที่สำคัญทางการเมืองของไทยในอดีตเป็นหมุดตรึงคือ
วันเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามเมื่อ 81 ปีก่อนคือ 24 มิถุนายน
อีกทั้งเสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามในคำประกาศของตนในวันที่ 3 กรกฎาคม
อันเป็นวันครบรอบชัยชนะของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านการเลือกตั้งเมื่อสองปีก่อน
พอดี
กล่าวได้ว่าคำประกาศนี้เป็นการจัดวางเวลาศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาไว้ในเวลาทาง
ประวัติศาสตร์และการเมืองประชาธิปไตยของสังคมไทย ทั้งหมดนี้หมายความว่า
คงต้อง “อ่าน” ประกาศของ BRN ในฐานะคำแถลงต่อสังคม คือไม่ใช่ตั้งคำถามว่า
ฝ่ายเขาต้องการอะไร แต่ที่สำคัญอยู่ที่เขากำลังบอกกับฝ่ายใด?
ว่าเขาเป็นใคร? และคิดว่ารัฐและสังคมไทยเป็นอย่างไร?
4. ทุกครั้งและเกือบทุกหนแห่งที่เริ่มใช้ “สันติสนทนา”
ความรุนแรงก็มักเพิ่มขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะ “สันติสนทนา”ไม่ใช่ “เทคนิค”
ในการเผชิญกับความขัดแย้งที่ถึงตาย แต่ “สันติสนทนา” เป็น
“การเมืองแห่งความขัดแย้ง”
ชนิดที่การหาทางลดและมุ่งขจัดความรุนแรงให้หมดไปสัมพันธ์กับปัญหาความชอบ
ธรรมที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของคนที่ก้าวเข้าสู่เวที “สันติสนทนา” กล่าวคือ
ถ้า “สันติสนทนา” สร้างความชอบธรรมให้กับหะซัน
ตอยยิบและมิตรสหายของเขาซึ่งก็มีบทบาทให้ฝ่ายอื่นๆซึ่งต่อสู้กับรัฐไทยอยู่
ต้องยอมรับ
ขณะที่ฝ่ายที่ไม่ได้ขึ้นรถไฟสันติภาพขบวนนี้ก็ต้องหาวิธีลดทอนความชอบธรรม
ของ BRN ซึ่งรวมทั้งการใช้ความรุนแรงเป็นฐานความชอบธรรมของตน
เป็นไปได้ว่าเพราะเหตุนี้ในกรณีของไทยคณะทำงาน
ศอ.บต.ที่ศึกษาเรื่องนี้จึงพบว่า นับแต่เริ่มสันติสนทนาเมื่อ 28 มีนาคม
2556 จนปัจจุบัน ความรุนแรงในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
5. แต่ถ้าถามว่าแล้วยังจะต้อง “สนทนา” กันต่อไปอีกหรือ
คำตอบก็คือแน่นอน เพราะในการศึกษากลุ่มใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะการ
“ก่อการร้าย” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 268 กลุ่ม ของ Rand
Corporation พบว่า มีเพียงร้อยละ 7 หรือ 20
กลุ่มเท่านั้นที่รัฐใช้กำลังทหารเอาชนะได้ ขณะที่ ร้อยละ 43
ของกลุ่มใช้ความรุนแรงหรือ 114 กลุ่มโดยเฉพาะที่มีสมาชิกเกินพันคนเลิกสู้รบ
เพราะหันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองปรกติ (Dudouet 2013)
ได้ ปัญหาความขัดแย้งที่ถึงตายอย่างที่เกิดขึ้นในภาคใต้
ที่สุดก็เช่นเดียวกัน ความรุนแรงคงไม่อาจทำให้ความขัดแย้งนี้จบลงได้
6. หลายคนคงถามว่า ถ้าเช่นนั้นจะต้อง “คุย”
กันไปอีกนานเท่าใดกว่าจะตกลงกันได้?
ผมคิดว่าไม่มีใครบอกได้ว่าในกรณีของไทยสันติสนทนาจะใช้เวลาเท่าใด
เพราะเรื่องนี้เป็นกระบวนการที่อาจต้องใช้เวลากว่าจะกลายเป็นข้อตกลง
สันติภาพ ในกรณีของอาเจะห์กับรัฐบาลอินโดนีเซียก็ใช้เวลา 16 ปี ตั้งแต่
2532 ถึง 2548 จึงบรรลุข้อตกลงเฮลซิงกิ
(เพราะมีฟินแลนด์เข้ามาช่วยกระบวนการ) หรือ
กรณีมุสลิมมินดาเนากับรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ใช้เวลาพูดคุยกันนาน 26 ปีตั้งแต่
2529 ถึง 2555 ผ่านข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้งหลายหน
และมีรัฐบาลจากหลายประเทศรวมทั้งมาเลเซียเข้ามามีส่วนร่วม
7. ถ้าถามว่าที่สนทนากันมาแล้วได้อะไร?
คำตอบก็คือนอกจากจะได้พบเห็นตัวตนของฝ่าย BRNผู้เข้ามาเจรจา
สร้างบรรยากาศแห่งการพูดคุยแล้ว
ที่สำคัญยิ่งคือการเปลี่ยนแปลงดุลยภาพแห่งความชอบธรรมในความขัดแย้งนี้
เพราะการเมืองของสันติสนทนาเป็นการลดทอนความชอบธรรมของการใช้ความรุนแรงของ
ผู้ใช้ (ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด) โดยเฉพาะเมื่อเหยื่อเป็น เด็ก เป็นผู้หญิง
เป็นคนแก่ หรือเป็นครูทั้งที่เป็นครูสอนศาสนาและครูโรงเรียนของรัฐ
อาจเพราะเช่นนี้งานวิจัยของศอบต.จึงพบว่า
หลังจากเริ่มสันติสนทนาเมื่อเดือนมีนาคม 2556 จนถึงบัดนี้
จำนวนเหยื่อความรุนแรงที่เป็นพลเรือนจึงลดลงครึ่งหนึ่ง
8.
ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหานี้ควรคิดให้ชัดเจน
ว่า ที่ตัดสินใจเลือกเส้นทาง “สันติสนทนา”
ก็ไม่เพียงเพราะเห็นว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่ถูกด้วยมีคุณค่าทางศีลธรรมแฝง
อยู่ในตัว แต่เพราะประวัติศาสตร์ความขัดแย้งที่ถึงตาย (deadly conflicts)
รอบโลกสอนเราว่า ในที่สุดคู่ขัดแย้งก็ต้อง “คุย” กัน
ไม่ว่าจะรบรากันนานเพียงไร แม้ที่ “ดูเหมือน” ว่าจะจบลงได้ด้วยการใช้กำลัง
(อย่างในศรีลังกา) ก็พบว่าการใช้ความรุนแรงไม่ได้นำมาซึ่งสันติภาพยั่งยืน
เพราะได้ทิ้งเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง โกรธแค้น
ที่รอเวลาปรากฏตัวใหม่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสมในอนาคต
และต้องหาหนทางเพาะสร้างสมานฉันท์ในสังคมด้วยความยากลำบาก(Keethaponcalan
2013)
อีกทั้งความรุนแรงก็มีต้นทุนสูงไม่ว่าจะเป็นชีวิตผู้คนทั้งพลเรือนและนักรบ
ของทั้งสองฝ่าย
หรือต้นทุนทางวัฒนธรรมตลอดจนเงินทองมากมายที่หมดไปกับการใช้ความรุนแรง
9. ฝ่ายความมั่นคงทั้งทหารและพลเรือนควรทดลองพิจารณาว่า “สันติสนทนา”
เป็นวิธีการ/กระบวนการต่อสู้จัดการกับความขัดแย้งที่ถึงตาย โดยอาศัย
“อาวุธ” ชุดใหม่ “อาวุธ” ที่ว่านี้มีอยู่ในเนื้อตัวทางวัฒนธรรม
ในประวัติศาสตร์ของสังคมไทย เป็นอาวุธที่เคยใช้เอาชนะความขัดแย้งใหญ่ๆมามาก
ไม่ว่าจะเป็น “อาวุธ” ที่ช่วยให้ประเทศรอดจากการเป็น “ฝ่ายแพ้”
ในสงครามโลก หรือเอาชนะภัยคุกคามจากอุดมการณ์ในอดีต
10. แต่ “อาวุธ” ชนิดนี้ก็เหมือน “อาวุธ” อย่างอื่นคือ
คนใช้ก็ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ และการใช้ “อาวุธ”
เช่นนี้ต้องอาศัยการสนับสนุนจากสังคมไทยโดยรวม
ด้วยเหตุนี้จึงต้องกำหนดยุทธศาสตร์การใช้
สันติสนทนาด้วยการตระเตรียมจริงจัง
พร้อมจะทำงานเช่นนี้ในระยะยาวและท่ามกลางมรสุมอุปสรรคต่างๆ
ทั้งหมดนี้เพื่อสถาปนาความมั่นคงที่ยั่งยืนในอนาคตบนพื้นฐานของความเป็นจริง
ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น