อย่างไรก็ดี บทความนี้จะจำกัดการพิจารณาว่าร่างนิรโทษกรรมฉบับประชาชนนี้ จะสามารถบรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือนักโทษการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน
ใครจะได้รับนิรโทษกรรมบ้าง
ประเด็นสำคัญของร่างฯฉบับประชาชนมี 2 ประเด็น คือ
หนึ่ง ตัวหลักการของร่างที่ระบุว่า “ให้มีกฎหมายว่าด้วยนิรโทษกรรมแก่ประชาชนซึ่งได้กระทำความผิดต่อความสงบ เรียบร้อยหรือต่อความมั่นคงของราชอาณาจักร อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง” นับแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
สอง มาตรา 3 (4) ระบุว่า “การกระทำใด ๆ หรือการตระเตรียมการของผู้ใด ทั้งผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม โดยมุ่งต่อการประทุษร้ายผู้อื่นโดยใช้อาวุธ ให้บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมาย” และ “การกระทำใด ๆ หรือการตระเตรียมการของผู้ใด ทั้งผู้ชุมนุมและผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม อันมุ่งต่อการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน หรือกระทำผิดต่อทรัพย์ เช่น การวางเพลิงเผาทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ลักทรัพย์ อันเป็นของเอกชน ให้บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมาย” (ส่วนที่เน้นเป็นของผู้เขียน)
คำถามคือ ข้อหาบุกรุกและเผาสถานที่ราชการ ฯลฯ เข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรหรือไม่ หรือจะถูกศาลตีความว่าเป็นคดีอาญาเท่านั้น หากในขั้นแปรญัตติสามารถโต้แย้งและระบุให้ชัดเจนว่าเข้าข่าย ก็จะเป็นการดี แต่หากปล่อยให้ศาลเป็นผู้ตีความว่าข้อหาใดบ้างที่เข้าข่าย ก็เชื่อว่าผลร้ายจะเกิดแก่นักโทษการเมืองเสื้อแดงอย่างแน่นอน
นักโทษการเมืองมาตรา 112 เป็นกลุ่มที่เข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงแน่นอน แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาจะถูกกีดกันจากพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลก็จะพากันหัวหดต่อกรณีนี้อย่างไม่ต้อง สงสัย
ปัญหาไม่ได้มีเพียงแค่นี้ คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าผู้ต้องขังเสื้อแดงที่อุบลฯ และอุดรฯ มีความผิดข้อหาเผาสถานที่ราชการเท่านั้น ผู้ที่มีส่วนร่าง พรบ.ฉบับประชาชนก็ดูจะเข้าใจเช่นเดียวกัน จึงระบุให้เอาผิดเฉพาะกับผู้ที่เผาทำลายทรัพย์สินของเอกชนเท่านั้น ซึ่งเท่ากับยกเว้นการเผาทำลายสถานที่ราชการ (กระนั้นก็ตาม เรื่องการเผาสถานที่เอกชน ก็เป็นปัญหาเช่นกัน จะกล่าวถึงในภายหลัง) แต่จริงๆ แล้วพวกเขาถูกพิพากษาให้มีความผิดหลายข้อหามาก ดังข้อมูลต่อไปนี้
1. กรณีอุดรธานี – นายอาทิตย์ ทองสาย จำคุก 20 ปี, นายกิตติพงษ์ ชัยกัง จำคุก 10 ปี 3 เดือน, นายเดชา คมขำ จำคุก 20 ปี 6 เดือน, นายบัวเรียน แพงสา จำคุก 20 ปี 6 เดือน และแต่ละคนต้องชดใช้ค่าเสียหายอีกคนละตั้งแต่ 31-47.3 ล้านบาท
นอกจากข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินและวางเพลิงที่ว่าการอำเภอแล้ว ทั้ง 4 คนนี้ ยังมีความผิดฐานก่อความวุ่นวาย + บุกรุกโดยมีอาวุธ + และทำให้เสียทรัพย์ (รถดับเพลิง)
2. กรณีอุบลราชธานี - น.ส.ปัทมา มูลมิล,นายธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ, นายสนอง เกตุสุวรรณ์, นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ ทั้ง 4 คนนี้ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ลดให้คนละ 1 ใน 3 เหลือ 34 ปี
นอกจากความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และวางเพลิงเผาศาลากลางอุบลราชธานี ศาลตัดสินให้พวกเขามีความผิดฐานก่อความวุ่นวาย + กีดขวางทางจราจร + และทำให้เสียทรัพย์ของเอกชน (ร้านค้าเอกชนในพื้นที่ศาลากลางถูกเพลิงไหม้ไปด้วย)
ต่อให้ตัดข้อหาเผาศาลากลางและ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไป นักโทษจากอุดรฯและอุบลฯ ก็อาจต้องโทษจำคุกอีกคนละหลายปี
3. กรณีนายประสงค์ มณีอินทร์ และนายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ จำคุกคนละ 11 ปี 8 เดือน ปรับ 6,100 บาท ในฐานความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน + มีวัตถุระเบิดและเครื่องวิทยุชนิดมือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต + พกพาวัตถุระเบิดและอาวุธต่าง ๆ + ปล้นทรัพย์
4. นายคำหล้า ชมชื่น จำคุก 10 ปี มีความผิดฐานปล้นปืน (เอ็ม 16) จากเจ้าหน้าที่ทหาร 2 กระบอก บริเวณซอยหมอเหล็ง (แท้จริงคือการรุมล้อมรถทหารที่เข้ามาบริเวณสี่แยกดินแดง มีการแย่งปืนและดึงทหารลงจากรถ)
5. นายบัณฑิต สิทธิทุม จำคุก 38 ปี มีความผิดฐานก่อการร้าย + พกพาอาวุธปืนกล + มีวัตถุระเบิด + ใช้และครอบครองเครื่องยิงจรวดจำคุก (ใช้อาร์พีจียิ่งใส่ ก.กลาโหม) + ใช้เอกสารราชการปลอม (แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม) + พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร
6. คดีผู้หญิงยิง ฮ. – คดีนี้มีจำเลย 3 คน คือ 1.นางนฤมล หรือจ๋า วรุณรุ่งโรจน์ 2. นายสุรชัย นิลโสภา 3. นายชาตรี ศรีจินดา ถูกฟ้องข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด สิ่งเทียมอาวุธ และปลอมแปลงเอกสารราชการ
ศาลชั้นต้นยกฟ้องทั้งสามคน แต่อัยการอุทธรณ์จำเลยที่ 1 (นางนฤมล) ส่วนจำเลยที่ 2 เสียชีวิต และไม่อุทธรณ์จำเลยที่ 3 หากร่าง พ.ร.บ.ฯฉบับประชาชนผ่านสภา นางนฤมลก็ยังต้องถูกดำเนินคดีต่อไป
7. คดีเผาเซ็นทรัลเวิร์ล – แม้ว่าศาลชั้นต้นจะยกฟ้องนายสายชล แพบัว และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ ไปแล้วก็ตาม แต่อัยการตัดสินใจอุทธรณ์คดีนี้ต่อไป
จากข้อมูลบางส่วนข้างต้นนี้ ชี้ให้เห็นว่านักโทษการเมืองเสื้อแดงจำนวนมากอาจไม่ได้ประโยชน์จากร่าง นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ต่อให้ร่างฯ นี้ผ่านสภา ก็ต้องมาไล่ดูทีละคดีว่าใครบ้างที่จะเข้าข่ายได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งแน่นอนว่าภาระหน้าที่นี้จะตกอยู่ที่ศาล
อันที่จริง เจตนารมณ์ที่ต้องการแยกผู้ที่กระทำผิดจริงออกจากการนิรโทษกรรมนั้น เป็นหลักการที่ดี เราอาจไม่ต้องมีการนิรโทษกรรมใครๆ เลย หากระบบตุลาการในประเทศนี้ทำให้เราเชื่อมั่นในความยุติธรรมได้จริง แต่ที่ผ่านมาเราล้วนประจักษ์กับความพิกลพิการของกลไกความยุติธรรมกันเป็น อย่างดี จนไม่สามารถรับเอาคำตัดสินข้างต้นมาเป็นเกณฑ์ว่าใครบ้างจะได้รับนิรโทษกรรม
หมายเหตุ: ดูบทความที่ชี้ให้เห็นปัญหาของระบบตุลาการที่เกี่ยวข้องกับคดีคนเสื้อแดงได้ใน
พวงทอง ภวัครพันธุ์: ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ต้องโทษฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน
เสวนาเรื่องนิรโทษกรรม ที่มช.
เสวนาเรื่องนิรโทษกรรม ที่มช.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น