หมายเหตุ : รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก
http://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/
เนื้อหาระบุถึงกรณีความขัดแย้งและวิวาทะที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่สนับสนุน
ร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับ วรชัย เหมะ กับร่างพรบ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับประชาชน
มีเนื้อหาดังนี้
ทะเลาะกันไปทำไม
หลายคนคงรู้สึกเหมือนเราว่า เวลาเห็นเพื่อน ๆ ในแวดวงคนทำงานการเมืองซึ่งมีแค่หยิบมือเดียว ทะเลาะกันเองแล้ว เศร้า
กรณีล่าสุดก็ได้ทำให้คนหลายคนต้องเลิกคบกันไปแล้ว เรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมน่ะเอง
ไม่ได้จะดราม่า แต่อยากชวนให้มองด้านดีของกันและกันให้มากขึ้น
กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลที่นำโดย อ.หวาน สุดา รังกุพันธ์
ได้รณรงค์-เรียกร้อง-ต่อสู้ให้นิรโทษกรรมนักโทษการเมืองมาร่วมปีอย่างไม่
เหน็ดเหนื่อย จัดเสวนาหน้าศาลอาญาทุกวันอาทิตย์
จัดเลี้ยงข้าวนักโทษที่หลักสี่ทุกวันเสาร์ แวะไปเยี่ยมนักโทษ 112
ที่บางขวางเป็นประจำ
เป็นศูนย์กลางที่พึ่งทั้งทางใจและทางกายให้กับทั้งนักโทษการเมืองและครอบ
ครัวของพวกเขา
เมื่อครั้งที่ไปเยี่ยมนักโทษการเมืองที่คุกหลักสี่
เรายังจำแววตาที่ปนเปไปด้วยความหวัง ความไม่แน่ใจ ความเศร้าเหล่านั้นได้ดี
โดยเฉพาะสายตาของ ปัทมา มูลมิล (อายุ 24 ปี) กับธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ (22 ปี)
พวกเขาดูเด็กมาก โทษจำคุก 34 ปีมันมากมายเกินไปสำหรับพวกเขา
ปัทมาซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในคุกหลักสี่ เคยเครียดจนคิดจะฆ่าตัวตาย
เรายังได้เจอกับญาติของนักโทษในที่อื่นๆอีก
พวกเขาพูดถึงคนที่ตนรักที่ยังติดคุกอย่างไม่รู้อนาคต ด้วยน้ำตาอาบหน้าทุกที
นาน ๆ ทีเราจึงจะได้พบกับพวกเขา แต่เราก็กลับบ้านด้วยความเศร้าทุกที
แต่อ.หวานและเพื่อนใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
ได้รับรู้ถึงความทุกข์ของพวกเขาอย่างใกล้ชิด กลายเป็นความผูกพัน
เป็นภาระหน้าที่ที่ต้องทำ
และนี่เองที่เราเชื่อว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้ อ.หวาน
กลายเป็นผู้นำผลักดันเรื่องนิรโทษกรรมอย่างจริงจัง
ผลักดันด้วยความหวังที่จะได้เห็นพวกเขาได้ออกมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง
ได้กอดกัน ได้กินข้าวด้วยกันแบบครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง
ความหวังที่ดูห่างไกลในช่วงปีที่ผ่านมา เริ่มปรากฏเป็นจริงมากขึ้น
เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะนำร่าง พ.ร.บ.ฉบับวรชัย
ขึ้นมาเป็นวาระแรกเมื่อเปิดสภา
นักโทษในคุกหลักสี่ต่างก็รับรู้ข่าวนี้กันทั้งนั้น
ครั้งสุดท้ายที่เราไปเยี่ยมพวกเขา ดวงตาเขาฉายแววความหวังอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งใกล้เปิดสภา ความหวังก็ดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จนทำให้กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล
ดูจะสนใจอยู่กับการปลดปล่อยนักโทษการเมืองเท่านั้น ยิ่งผูกผันมาก
ก็ยิ่งอยากเห็นพวกเขาเป็นอิสระโดยเร็วมากขึ้น เรื่องอื่นไม่สำคัญ
ไว้ว่ากันทีหลัง ขอเอานักโทษออกมาก่อน
คงเป็นด้วยอารมณ์เช่นนี้เอง
เมื่อกลุ่มญาติเสนอร่างนิรโทษกรรมของตนเองออกมา
กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลจึงตั้งตัว ตั้งสติไม่ทัน กลัวว่าทุกอย่างจะช้าไปอีก
จึงปล่อยคำพูดที่ทิ่มแทงความรู้สึกกลุ่มญาติแบบไม่เกรงใจกัน
เพียงหวังว่าจะปกป้องให้กระบวนการเดินไปแบบไม่มีอะไรมาสะดุดขาอีกแล้ว
ยิ่งตอบโต้กัน คำพูดก็ยิ่งแรงขึ้นๆ จนกลายเป็นการเหยียบย่ำผู้ตาย
การหมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายของตนเองมากเกินไป
อาจทำให้พวกเขาลืมนึกถึงหัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่เห็นลูกของตนถูกยิงทิ้ง
อย่างอำมหิตด้วยฝีมือทหาร
แต่กลับมองว่าการไม่ยอมเลิกรากับคนที่มีส่วนร่วมในการฆาตกรรม
เป็นความยุ่งยาก เจ้าปัญหา
แท้ที่จริงแล้ว หากเราหันไปดูตัวอย่างของบางประเทศ
ที่ประสบความสำเร็จกับการเอาเผด็จการทหารลงมารับโทษอาญาอย่างสาสมกับความผิด
ของตนนั้น เราจะพบว่าพลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น คือ
ความรักอันยิ่งใหญ่ที่พ่อแม่มีต่อลูกนั่นเอง
อาร์เจนตินาคือกรณีตัวอย่างที่ดีที่สุด
เมื่อเผด็จการทหารขึ้นครองอำนาจในปี 1976 พวกเขาทำ “สงครามสกปรก” (Dirty
War) ด้วยการอุ้ม-ฆ่า (forced disappearance) คนหนุ่มสาวกว่าสามหมื่นคน
คนที่ออกมาป่าวประกาศให้สังคมอาร์เจนตินาและทั่วโลกได้รับรู้ถึงเรื่องราว
ของสงครามสกปรกนี้ก็คือ บรรดาแม่ๆ (ที่มีพ่อสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง)
พวกเขาเริ่มด้วยการนัดเดินขบวนหน้าจัตุรัสเมโย
ใกล้ทำเนียบรัฐบาลทุกวันพฤหัสบ่าย 3 โมง จากไม่กี่สิบคน กลายเป็นหลายร้อยคน
พวกแม่จะมีผ้าสีขาวโพกหัว อันเป็นสัญลักษณ์ของผ้าอ้อมเด็ก
การเคลื่อนไหวได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกมากขึ้นเมื่ออาร์เจนตินาเป็นเจ้า
ภาพฟุตบอลโลกในปี 1978
แม้ว่าผู้นำ 3 คนของ “ขบวนการแม่แห่งจัตุรัสเมโย”
จะถูกทหารอุ้มฆ่าไปด้วย แต่คนที่เหลือก็ไม่ยอมละเลิก
จนกระทั่งระบอบทหารหมดอำนาจลงจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1984
แม่แห่งจัตุรัสเมโยก็ยังเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลพลเรือนสืบค้นหาความจริง
และนำผู้นำทหารมาลงโทษให้ได้
ในที่สุด ในปี 1985 ผู้นำทหารหลายคนถูกนำขึ้นพิจารณาคดี
และถูกพิพากษาให้มีความผิด แต่กองทัพขู่ว่าจะทำรัฐประหาร
ผลปรากฏว่ารัฐบาลยอมถอย สภาคองเกรสออกกฎหมายให้ยุติการพิจารณาคดีทั้งหมด
หรือเท่ากับให้อภัยโทษนั่นเอง
แม่จำนวนหนึ่งหมดเรี่ยวแรง เลิกราไป แต่ก็ยังมีแม่ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้
พวกเขาต่อสู้ต่อไปจนกระทั่งในปี 2003 สภาคองเกรสลงมติยกเลิกกฎหมายอภัยโทษ
และในปี 2005 ศาลสูงมีความเห็นว่ากฎหมายอภัยโทษขัดกับรัฐธรรมนูญ
ส่งผลให้การพิจารณาคดีผู้นำทหารเริ่มขึ้นอีกครั้ง
หลายคนถูกตัดสินจำคุกหลายสิบปี
การต่อสู้ที่ใช้เวลายาวนานถึงสามทศวรรษนี้ หากไม่ใช่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อแม่ ก็คงยากจะยืนหยัดอยู่ได้
สังคมไทยผ่านโศกนาฏกรรมมาหลายครั้ง
คนบริสุทธิ์สูญเสียชีวิตไปโดยไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมใด ๆ
ให้พวกเขาได้ หากใครได้เคยพบเจอพ่อแม่ของคนหนุ่มสาวที่เสียชีวิตในช่วง 14
ตุลา, 6 ตุลา, และพฤษภา 35
ก็คงได้รับรู้ที่ความขมขื่นที่ยังฝังแน่นในใจพวกเขาอยู่
แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้
เพราะชนชั้นนำได้ร่วมมือกันออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตนเองไปแล้ว
แต่ในกรณีเมษา-พฤษภา 2553 สิ่งนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น
และเราต้องไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆ อีกต่อไป
หากพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตยังไม่หมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
ให้กับครอบครัวของพวกเขา พวกเรามีหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุน
กฎหมายนิรโทษกรรมต้องไม่เพียงช่วยเหลือนักโทษการเมืองที่เป็นชาวบ้าน
ให้พ้นจากการจองจำ
แต่มันต้องสามารถป้องกันไม่ให้อาชญากรรมโดยรัฐได้มีโอกาสได้เกิดขึ้นอีกใน
ประเทศได้อีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น