ที่มา Thai E-News
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556
ในโครงการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งจำนวน 2 ล้านล้านบาท
ซึ่งมุ่งปฏิรูประบบขนส่งคมนาคมทุกด้านของประเทศไทยนั้น
โครงการที่สำคัญที่สุดโครงการหนึ่งคือ รถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง ได้แก่
กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-หนองคาย กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์
และกรุงเทพฯ-ระยอง รวมกันมีมูลค่าสูงถึงราว 8 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40
ของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด
โครงการรถไฟความเร็วสูงเป็นเป้าโจมตีอย่างหนักจากพรรคฝ่ายค้าน
สื่อมวลชนกระแสหลัก และกลุ่มมวลชนเสื้อเหลือง อ้างว่า
ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม ไม่มีความจำเป็น ก่อภาระหนี้มหาศาล
และจะเกิดการทุจริตคอรัปชั่นมโหฬาร
แม้แต่นักวิชาการเสื้อเหลืองก็ออกมาคัดค้านว่า “ไม่คุ้มค่า
โครงการจะประสบภาวะขาดทุน” เป็นต้น
พวกที่คัดค้านโครงการรถไฟความเร็วสูงมีสองจำพวก
พวกแรกคือพวกแค้นทักษิณและพรรคเพื่อไทย
มุ่งหาประเด็นอะไรก็ได้ที่โจมตีรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่สนใจว่า
เรื่องนั้นจะมีสาระความจริงแค่ไหน
ให้ได้โจมตีด่าทอด้วยเหตุผลที่ไร้สาระเอาไว้ก่อน
เผื่อจะต่อยอดปั่นกระแสเป็นการเคลื่อนไหวของมวลชน ตุลาการ และทหาร
โค่นล้มรัฐบาลได้เป็นพอ
ส่วนอีกพวกหนึ่ง
เป็นกลุ่มคนที่อ่อนไหวไปตามกระแสข่าวในสื่อมวลชนกระแสหลักและการปั่นกระแส
ของกลุ่มแรก แล้วก็ตื่นตกใจไปตามข้อมูลเท็จและอารมณ์ของข่าว คนกลุ่มหลังนี้
รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะต้องทำงานอย่างหนัก
สื่อสารข้อมูลความจริงที่ถูกต้องไปให้ถึง เพื่อไม่ให้ไปผสมโรงกับพวกแรก
เราจะเข้าใจถึงความสำคัญของโครงการรถไฟความเร็วสูงของไทยได้ชัดเจน
ก็ต้องพิจารณาจากการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
และแนวโน้มการพัฒนาโครงข่ายขนส่งคมนาคมของภูมิภาคจีน-อาเซียนโดยรวม
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งจะเป็นจริงโดยสมบูรณ์ในปี 2558
นั้นจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจขนาดใหญ่หนึ่งในสี่กลุ่มของโลกในอีก 10
ปีข้างหน้า
มีสถานะใกล้เคียงกับการรวมกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นอีกสามกลุ่มคือ
สหภาพยุโรป เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (แคนาดา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก)
และจีน (นับเป็นหนึ่งกลุ่มเนื่องจากมีขนาดใหญ่มาก)
แต่การรวมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะก่อเกิดเป็นระบบเศรษฐกิจการค้าและการลง
ทุนหนึ่งเดียวได้จริงนั้นต้องอาศัยโครงข่ายขนส่งคมนาคมที่ครอบคลุมทั่วถึง
ทั้งภูมิภาค
ประเทศจีนมองเห็นศักยภาพของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและตระหนักดีว่า
หากสามารถเชื่อมต่อระบบเศรษฐกิจของจีนเข้ากับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้แล้ว
ภูมิภาคจีน-อาเซียนจะรวมกันกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับโลกที่ยิ่งใหญ่
ไม่แพ้สหภาพยุโรปและเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ
และยุทธศาสตร์ของจีนที่จะทำให้กลุ่มพลังจีน-อาเซียนปรากฏเป็นจริงคือ
โครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-อาเซียน
ปัจจุบัน
ประเทศจีนได้ลงทุนก่อสร้างโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงภายในประเทศหลายเส้นทาง
มีเป้าหมายครอบคลุมเมืองสำคัญทั้งหมดของประเทศ เมื่อแล้วเสร็จในปี 2558
จะมีระยะทางรวมกันถึง 40,000 กม. ยาวที่สุดในโลก
หัวใจที่จะเชื่อมประเทศจีนเข้ากับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนคือ เมืองคุนหมิง
มณฑลยูนนาน ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางรถไฟความเร็วสูงในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
โดยจีนมีแผนการขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงต่อจากเมืองคุนหมิง
ลงสู่ใต้สองเส้นทาง เส้นทางแรกจากคุนหมิงเข้าสู่ประเทศพม่า
ผ่านเมืองมันดะเลย์ เมืองหลวงเนย์ปิทอว์ และร่างกุ้ง
อีกเส้นทางหนึ่งจากเมืองคุนหมิงเข้าสู่ประเทศลาว เมืองหลวงน้ำทา
และกรุงเวียงจันทน์ โดยทั้งโครงการจีน-พม่า และจีน-ลาว
รัฐบาลจีนให้เงินกู้แก่รัฐบาลทั้งสองประเทศเพื่อการก่อสร้างโดยมีเงื่อนไข
แลกเปลี่ยน โครงการจีน-พม่าจะเริ่มก่อสร้างในปลายปี 2556 นี้
ขณะที่โครงการจีน-ลาวก็ได้เจรจาขั้นตอนเสร็จสิ้นแล้ว
ด้วยเหตุนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น
จึงสอดรับกับยุทธศาสตร์ของจีนพอดี
โดยรัฐบาลจีนได้แสดงความต้องการที่จะเชื่อมระบบรถไฟความเร็วสูงของตนเข้ากับ
โครงข่ายของประเทศไทยในสองเส้นทาง
เส้นทางแรกเป็นการขยายเส้นทางต่อจากเมืองเปกู ประเทศพม่า
เข้ามาประเทศไทยทางกาญจนบุรี เชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงของไทยที่นครปฐม
ส่วนอีกเส้นทางหนึ่ง ขยายเส้นทางรถไฟจากกรุงเวียงจันทน์
ข้ามมาฝั่งประเทศไทย เชื่อมกับระบบรถไฟความเร็วสูงของไทยที่จังหวัดหนองคาย
ผ่านกรุงเทพฯ ไปยังนครปฐม ลงใต้ไปถึงปาดังเบซาร์ กัวลาลัมเปอร์
ไปสุดทางที่สิงคโปร์ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว
รถไฟความเร็วสูงจะใช้เวลาเดินทางจากเมืองคุนหมิง
ผ่านประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ในเวลาเพียง 10 ชั่วโมงเท่านั้น
ที่สำคัญคือ เวียดนามก็กำลังก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเช่นกัน
คือเส้นทางจากกรุงฮานอยไปถึงนครโฮจิมินห์ซิตี้ ระยะทาง 1,630 กม.
เริ่มก่อสร้างแล้วตั้งแต่ปี 2555 มีแผนให้เปิดบริการเป็นบางส่วนในปี 2563
และครบถ้วนทั้งระบบในปี 2573 สามารถลดระยะเวลาเดินทางจากเดิม 32 ชั่วโมง
เหลือเพียง 7 ชั่วโมง ยิ่งกว่านั้น
รัฐบาลเวียดนามก็กำลังพิจารณาที่จะเชื่อมระบบรถไฟความเร็วสูงของตนเข้ากับ
โครงข่ายของลาวที่กรุงเวียงจันทน์อีกทอดหนึ่งด้วย
จากโครงข่ายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า
ประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางของโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงของภูมิภาคจีน
ใต้-อาเซียนทั้งหมด
โครงการรถไฟความเร็วสูงของไทยผนวกกับความตกลงการค้าเสรีจีน-อาเซียนจะมีผล
เป็นการเชื่อมเศรษฐกิจ
การค้าและการลงทุนของภูมิภาคจีน-อาเซียนเข้าเป็นหนึ่งเดียว
แน่นอนว่า ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากรถไฟความเร็วสูงนี้
นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการค้าการลงทุนภายในประเทศแล้ว
ยังเป็นการนำเอาการค้า การลงทุน
และการท่องเที่ยวทั่วทั้งภูมิภาคจีน-อาเซียนมายังประเทศไทยอีกด้วย
ทั้งการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักน้อยแต่มีมูลค่าสูง เช่น
ผักผลไม้และไม้ดอกเมืองหนาวจากภาคเหนือสู่ภาคกลางและภาคใต้ (ที่ถูก
“พวกในกะลา” เยาะเย้ยว่า “เอารถไฟความเร็วสูงไปขนผัก”) ไปยังมาเลเซีย
สิงคโปร์ การขนส่งผักผลไม้เมืองร้อนจากภาคใต้-ภาคกลางไปสู่ประเทศจีน
(ซึ่งการขนส่งปัจจุบัน ใช้ทางรถยนต์ มีอัตราการเน่าเสียสูงมากถึงร้อยละ 40)
การขนส่งสินค้ามูลค่าสูงอื่น ๆ รวมทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ
และนักลงทุนจำนวนหลายแสนคนต่อปีทั่วทั้งภูมิภาค
หากคำนวณผลตอบแทนจากโครงการรถไฟความเร็วสูงของไทย โดยคิดเฉพาะ
“ค่าตั๋วเดินทาง” ของคนไทยที่ใช้บริการเฉพาะในประเทศไทย
รถไฟความเร็วสูงของไทยจะขาดทุนอย่างแน่นอน แต่คนที่วิจารณ์ลืมไปว่า
นี่เป็นโครงข่ายนานาชาติทั่วภูมิภาคจีน-อาเซียน ซึ่งนอกจาก
“ค่าตั๋วเดินทาง” ของคนไทย-จีน-อาเซียนแล้ว ยังมีผลบวกข้างเคียงเป็นการค้า
การลงทุน
และการท่องเที่ยวที่ไหลผ่านเส้นทางรถไฟสายนี้ในแต่ละปีเป็นมูลค่าอีกมหาศาล
รัฐบาลพรรคไทยรักไทยได้เอ่ยถึงรถไฟความเร็วสูงเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2547-48
แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเนื่องจากวิกฤตการเมืองที่เริ่มต้นในปี 2548
และยืดเยื้อถึงปัจจุบัน ฉะนั้น ประเทศไทยได้เสียเวลาไปถึง 8 ปี บัดนี้
จึงถึงเวลาแล้ว และก็เป็นจังหวะที่ทั้งประเทศจีน พม่า ลาว และเวียดนาม
ก็มีความพร้อมมากขึ้นที่จะเริ่มโครงการนี้ประสานกัน
เพื่อให้กลุ่มเศรษฐกิจจีน-อาเซียนได้กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งที่ 3
ถัดจากสหภาพยุโรปและเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น