แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไปเหนือกว่าการเมืองเหลือง/แดงสู่การปฏิวัติของประชาชนที่เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง

ที่มา ประชาไท



1. สิทธิการปฏิวัติของประชาชน

ท่ามกลางพล วัตรของการต่อสู้ทางการเมืองแบบเหลือง/แดงที่ยาวนานมาเกือบหนึ่งทศวรรษ สิ่งที่คงคุณค่าและสถิตสถาพรตลอดมาคือ การเข้าร่วมจากประชาชนทุกภาคส่วนแสดงออกซึ่งสิทธิการปฏิวัติ(Right of revolution) ในการรวมกำลังเพื่อโค่นรัฐบาลที่พวกเขาเชื่อว่าไร้ความชอบธรรมในการปกครอง ประเทศอย่างทั่วด้าน ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองอย่างฉับพลัน

การสำแดง พลังของพลเมืองนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ซึ่งจะนำไปสู่การ ปฏิวัติของประชาชน(People's revolution) สถานการณ์ดังกล่าวมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการคือ หนึ่ง รัฐบาลหมดความชอบธรรมและไม่อาจปกครองประเทศได้ สอง ประชาชนรวมตัวสำแดงพลังและเจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองเรือนแสน เรือนล้าน และ สาม กลไกของรัฐแตกแยกเป็นฝักฝ่าย ผละจากรัฐบาลและเข้าร่วมกับการปฏิวัติของประชาชน สถานการณ์จะจบลงด้วยชัยชนะของประชาชนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้าแทนที่ รัฐบาลเก่า หรือความพ่ายแพ้ของประชาชนซึ่งถูกปราบปรามโดยรัฐบาล เก่า                        

2. การปฏิวัติของประชาชนที่พึ่งพาอำนาจอื่น

ใน สถานการณ์ที่จะนำไปสู่การปฏิวัติของประชาชนนั้น หากประชาชนขาดการจัดตั้งตนเองขึ้นเป็นอำนาจใหม่ เช่น จัดตั้งเป็นสภาประชาชน และขาดข้อเสนอเพื่อการเปลี่ยนผ่านอำนาจการเมือง เช่น แนวทางการจัดตั้งและบริหารประเทศของรัฐบาลใหม่ ประชาชนก็จะพึ่งพาอำนาจอื่น เช่น แกนนำ ทหาร ระบบราชการ หรือกลุ่มอำนาจอื่นๆ ดังกรณีรัฐบาลสัญญา และสภาสนามม้าหลังเหตุการณ์14 ตุลาคม รัฐบาลอานันท์หลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และกรณีรัฐบาลสุรยุทธ์หลังเหตุการณ์โค่นรัฐบาลทักษิณปี 2549 ล่าสุดที่อียิปต์ได้รัฐบาลทหารถึงสองครั้งหลังการปฏิวัติของประชาชนในปี 2554 และ 2556   

การเมืองสีเหลืองคือ การเมืองที่ประชาชนพึ่งพาอำนาจอื่นให้เข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการ เมืองแทนประชาชน เช่น พึ่งพานายกฯพระราชทาน หรือพึ่งพาทหารทำรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549  ผลก็คือ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการปฏิวัติถูกแทนที่ด้วยข้า ราชการระดับสูง นักวิชาการ นักธุรกิจ และบุคคลในแวดวงระดับนำต่างๆซึ่งประชาชนไม่ได้มีส่วนเลือกให้ไปเป็นตัวแทนทำ หน้าที่ และไม่สามารถตรวจสอบ กำกับ หรือถอดถอนตัวแทนเหล่านั้นได้ ตรงกันข้ามพวกเขาถูกแต่งตั้งโดยกลุ่มทหารที่ทำการรัฐประหาร ดังนั้นการต่อสู้ทางการเมืองจึงไปไม่ถึงจุดหมาย แต่ค้างเติ่ง ครึ่งๆกลางๆ และกระทั่งหันเหออกไปจากเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชน

บัดนี้ การเมืองที่ประชาชนพึ่งพาอำนาจอื่นขาดความชอบธรรม และไม่ทำให้ดอกผลของการต่อสู้ตกอยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง ทางออกเดียวที่เป็นทางสายเอก คือ การเมืองภาคประชาชนที่พึ่งสติปัญญาของตนเองและด้วยความเป็นตัวของตัวเอง

3. การปฏิวัติของประชาชนที่พึ่งพาตนเองและเป็นตัวของตัวเอง

การ ไปให้เหนือกว่าการเมืองสีเหลือง คือ การส่งเสริมประชาธิปไตยทางตรง โดยให้ประชาชนที่เข้าร่วมต่อสู้ดำเนินการจัดตั้งองค์กรของตนเองในรูปแบบของ สภาประชาชน สมาชิกสภาประชาชนมาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมต่อสู้(ไม่ ใช่การขอพระราชทาน และไม่ใช่การกระทำแทนโดยแกนนำอย่างที่กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบ ทักษิณ-กปท.ได้เคยทำ)  ประชาชนในที่นี้คือ บุคคลในสาขาอาชีพต่างๆทั้งปวงที่เห็นด้วยกับการปฏิวัติโค่นรัฐบาลที่ปราศจาก ความชอบธรรม และมีการรวมตัวต่อสู้ในสถานที่ต่างๆ สมาชิกสภาประชาชนจะทำหน้าที่กำกับการต่อสู้ของประชาชน และผลักดันข้อเสนอหรือแนวทางในการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง

สภา ประชาชนต้องถูกกำกับ ดูแล ตรวจสอบ และกระทั่งถูกถอดถอนได้โดยประชาชนที่เป็นผู้เลือกเข้าไป สภาประชาชนอาจเกิดขึ้นในขอบเขตจังหวัด อำเภอ ตำบล เทศบาล และ/หรือสาขาอาชีพต่างๆ เช่น สภาคนทำงานสาธารณสุขสุราษฎร์ธานี สภาคนงานอุตสาหกรรมภาคตะวันออก สภาชาวนาจังหวัดสุรินทร์ สภาข้าราชการทหารทุกระดับชั้นของภาค 3 เป็นต้น

เมื่อประชาชนมีองค์กร จัดตั้งของตนเองเพื่อการปฏิวัติของประชาชนแล้ว ประชาชนยังจำเป็นต้องมีข้อเสนอและ/หรือแนวทางเพื่อแทนที่รัฐบาลเก่าที่ล้มไป นั่นคือ
1. จะต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้น โดยเลือกตั้งฝ่ายบริหารจำนวนหนึ่งไปทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในระยะเปลี่ยนผ่าน

2. เตรียมการให้มีการเลือกตั้งด้วยระบบที่ความเป็นธรรมและความเท่าเทียมเป็น ใหญ่ แทนที่ระบบเลือกตั้งที่ทุนเป็นใหญ่ กล่าวคือ ให้การเข้าร่วมการเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆตั้งอยู่บนการใช้งบประมาณ แผ่นดินที่เท่าเทียมกัน และเน้นการประชันขันแข่งกันในด้านแนวนโยบายพัฒนาประเทศที่มุ่งเพื่อผล ประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ โดยลงโทษหรือตัดสิทธิ์อย่างรุนแรงกับการใช้ทุนหรือกลไกรัฐเพื่อให้ได้คะแนน เสียง

3. ส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และการจัดตั้งตนเองในรูปแบบของสภาประชาชน สิทธิการชุมนุม การรวมตัว และสิทธิการปฏิวัติ ให้อยู่อย่างยั่งยืนเพื่อตรวจสอบ และปรับปรุงการทำงานของฝ่ายบริหาร และผู้แทนของประชาชน
นี่คือ ประชาธิปไตยทางตรงของประชาชนพลเมืองที่มีสำนึก ซึ่งเหนือกว่าประชาธิปไตยที่ทุนเป็นใหญ่ และไปพ้นจากการพึ่งพาอำนาจอื่น

4. การต่อสู้กับการต่อต้านการปฏิวัติของประชาชน

เมื่อ การปฏิวัติของประชาชนเกิดขึ้น รัฐบาลเก่าที่ถูกโค่นอำนาจไปย่อมหาหนทางดำเนินการต่อต้านการปฏิวัติของ ประชาชน(Counterrevolution) นั่นคือ การจัดตั้งมวลชนและกระทั่งกองกำลังโดยรัฐบาลเก่าเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลใหม่ และ/หรือภาคประชาชน เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐกลับคืนมา โดยเป็นการต่อสู้ทั้งด้วยความรุนแรงและด้วยการเคลื่อนไหวต่างๆที่อาศัยความ ได้เปรียบของทุน กลไกรัฐและพรรคพวก

การเมืองสีแดงคือ การต่อต้านการปฏิวัติของประชาชนที่พึ่งพาการรัฐประหารของทหารนั่นเอง ซึ่งมีเป้าหมายสุดท้ายคือ การได้กลับมามีอำนาจของกลุ่มทุนด้วยระบบประชาธิปไตยที่ทุนเป็นใหญ่ ในเป้าหมายนี้ มวลชนที่เข้าร่วมต่อสู้ไปกับขบวนการเสื้อแดงได้กลายเป็นเบี้ยทางการเมือง และถูกจัดตั้งให้ต้องขึ้นต่อการนำของกลุ่มแกนนำจนไม่สามารถจัดตั้งตนเอง และเคลื่อนไหวตรวจสอบ กำกับ และควบคุมพรรคการเมืองของกลุ่มทุนทักษิณและพรรคพวกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่กลุ่มทุนพรรคพวกนี้จะมุ่งทำแต่สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มตนยิ่ง กว่าอื่นใด ดังกรณีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม การคอรัปชั่นเชิงนโยบายในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของกลุ่มทุนพรรคพวกในประเทศและ ต่างประเทศ เป็นต้น

การไปให้เหนือกว่าการเมืองสีแดงคือ การรู้แจ้งเห็นจริงถึงประชาธิปไตยที่ทุนเป็นใหญ่ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ของแผ่นดินคือ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และความไร้ซึ่งประชาธิปไตยที่ภาคประชาชนจะมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ความขัดแย้งและต่อสู้กันนั้นไม่ใช่เพียงแค่การต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำเท่า นั้น แต่มีการต่อสู้ระหว่างชนชั้นปกครองกับประชาชนอีกด้วย

เมื่อ ตาสว่างได้ขนาดนี้แล้วจึงหันมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทางตรงของภาคประชาชน และส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคประชาชนต่อสู้ทางการเมืองด้วยความเป็นตัวของ ตัวเอง โดยพึ่งพากำลังและสติปัญญาของประชาชน

5. ไปเหนือกว่าการเมืองเหลือง/แดงสู่การปฏิวัติของประชาชนที่พึ่งพาตนเอง และด้วยความเป็นตัวของตัวเอง

การ ปฏิวัติของประชาชนเป็นภารกิจอันใหญ่หลวงที่ต้องอาศัยกำลังของทุกภาคส่วน และต้องแสวงหาแนวร่วมกับทุกกลุ่มที่เห็นด้วยมาสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยที่ประชาชนยังคงรักษาความเป็นอิสระในการรวมตัวจัดตั้งของตนไว้ได้ และรักษาสติปัญญาที่เป็นตัวของตัวเองไว้ได้ สิ่งนี้เป็นหน้าที่ของปัญญาชนและผู้นำประชาชนที่จะช่วยรักษาความเข้มแข็งของ ภาคประชาชนด้วยการให้ข้อเสนอแนะที่ถูกต้อง เหมาะสมและรู้ประมาณแก่สภาประชาชนที่กำลังต่อสู้ในสถานการณ์อันแหลมคม

นี่ คือทางสายเอก ที่จะนำพาประเทศก้าวข้ามการเมืองที่พึ่งพาแต่ขั้วอำนาจอื่น และทำให้ประชาชนกลายเป็นเพียงแค่หางเครื่องของชนชั้นนำในการต่อสู้ทางการ เมือง ไปสู่ประชาชนที่มีสำนึกพลเมืองซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำและผู้กำหนดชะตากรรม ของประเทศ โดยแสวงหาความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนที่เห็นด้วยในแนวทางประชาธิปไตยทาง ตรง และการสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชน

ประเทศชาติของเราผ่านการ ปฏิวัติของประชาชนมาแล้วหลายครั้งหลายคราและนำพาสังคมไปสู่ประชาธิปไตยของ ประชาชนมากขึ้นทุกขณะ การปฏิวัติของประชาชนจึงเป็นความเป็นจริงของชีวิตที่พวกเราควรใคร่ครวญให้จง หนักว่า การปฏิวัติของประชาชนครั้งต่อๆไปควรให้เกิดผลที่ดี ที่ตรง ที่สมควร และที่นำไปสู่การดับทุกข์ของประชาชนอย่างแท้จริงยิ่งๆขึ้นได้อย่างไร?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น