แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

(นอกเรื่อง) หนทางสู่ความฉิบหายของขบวนการประชาธิปไตย - See more at: http://blogazine.in.th/blogs/chaiyasitdhi/post/4445#sthash.TYTIHPBP.dpuf

ที่มา ประชาไท

 
"If a blind man leads a blind man, both will fall into a pit."— Matthew 15:13-14
"ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด, ทั่งคู่ย่อมเดินตกหลุม" - มัทธิว, 15:13-14


 


*เนื่อง จากมีภาระมาก และกอปรกับกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อเขียนบทความชุดยาวเกี่ยวกับแนวนโยบายการ พัฒนาวิทยาศาสตร์ของจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้ไม่ได้ผลิตบทความอื่นออกมาในระหว่างนี้ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้เขียนเห็นว่าควรขออนุญาต "นอกเรื่อง" และเขียนข้อความอย่างสั้น ทั้งเพื่อเตือนสติตนเอง และมิตรสหาย*
 


 
หนทางสู่ความฉิบหาย ก็คือสถานการณ์ที่ขบวนการไม่สามารถตรวจสอบตัวเองเพื่อดัดแปลงการต่อสู้ให้ เหมาะสมกับบริบทได้ หลักการนี้ไม่ใช่แค่สำหรับขบวนการประชาธิปไตย แต่กับทุกขบวนการนั่นแหละ 
 
เหมาพากองทัพแดงปลดปล่อยจีนทั่วประเทศ สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนจนสำเร็จ แต่เกือบจะทำให้ดอกผลของการปฏิวัติต้องพังทลายลงด้วยมือของเขาเอง 
 
การใช้ลัทธิบูชาตัวบุคคลอาจเป็นประโยชน์ในกรณีที่ผู้นำกำลังเดินไปใน ทิศที่ถูกต้อง ต้องการสั่งซ้ายหันขวาหันให้กับคนที่เดินตามหลังไป แต่ถ้าผู้นำกำลังเดินลงเหว ลัทธิบูชาตัวบุคคลยิ่งจะพาให้คนทั้งหลายเดินลงเหวเร็วยิ่งขึ้น เพราะผู้คนพากันมืดบอด ด้วยเชื่อว่าหลังจากลงเหวไปแล้ว อาจมีเบาะนุ่มที่ผู้นำได้เตรียมการล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดีแล้ว 
 
แล้วอันที่จริง การขึ้นสู่บทบาทนำของเหมา ก็เกิดมาจากการตรวจสอบตนเองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน(ในยุคที่ยังไม่มีลัทธิ บูชาตัวบุคคลเกิดขึ้น) เมื่อผู้นำชุดเดิมของพรรคฯ นำพาผู้คนพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ประชุมพรรคก็คัดเลือกเหมา(ที่เคยถูกลงโทษจากพรรค เพราะไม่ยอมเชื่อฟังแนวทางลุกฮือในเมือง ออกมาจัดตั้งกองทัพแดงในชนบท มีชาวนาเป็นมวลชนของพรรค) ขึ้นมาเป็นผู้นำชุดใหม่ เพราะเหมามีนโยบายที่แตกต่างจากผู้นำชุดเก่า และอาจะเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นมากกว่า 
 
จะเห็นว่าชัยชนะของขบวนการขนาดใหญ่นั้น เกิดขึ้นได้เพราะมีการดัดแปลงตนเองให้เข้ากับสถานการณ์ และในทางตรงกันข้าม ลัทธิบูชาตัวบุคคล ซึ่งทำให้การนำของพรรคไม่สามารถตรวจสอบดัดแปลงแก้ไขได้นั้นก็เกือบนำไปสู่ จุดจบของขบวนการนั้นเสียเอง  
 
ขบวนการเสื้อแดงกลุ่มที่อยู่ภายใต้การนำของทักษิณและเครือข่าย ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ตกอยู่ภายใต้ลัทธิบูชาตัวบุคคล ของเหมา แต่ที่แตกต่างอย่างมากประการหนึ่งก็คือพรรคเพื่อไทยไม่เคยชนะแบบที่พรรค คอมมิวนิสต์จีนชนะ บางคนอาจบอกว่าได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งก็ถือว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่ง ก็อาจจะต้องบอกว่า นั่นมันก็แค่การทำให้มีตัวตนอยู่ ลองคิดดูดีๆ ว่าตั้งแต่เริ่มเป็นรัฐบาลมา เพื่อไทยได้ทำอะไรในทางการเมืองที่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ผมไม่คิดว่ามี หรือถ้าจะบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีแค่หน้าที่ทางเศรษฐกิจ ก็ต้องถามว่าแล้วพรรคเพื่อไทยจะดัน พรบ. นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่งทำไม? 
 
ต้องไม่ลืมว่า ขบวนการเสื้อแดงเคลมตัวเองเป็นขบวนการประชาธิปไตย ขบวนการประชาธิปไตยยิ่งต้องมีการตรวจสอบตัวเองมากกว่าขบวนการเหมาอิสต์เป็น ร้อยเป็นพันเท่า 
 
อย่าให้คน(อย่างจรัล ดิษฐาอภิชัย) มาดูถูกพวกคุณว่าโง่ ไม่มีสติปัญญาตรวจสอบความผิดพลาดของผู้นำ แม่ทัพ ขบวนการประชาธิปไตยไม่ใช่กองทัพในสงครามธรรมดา มันเป็นสงครามที่มีอุดมการณ์เป็นที่ยึดเกาะ 
 
แม้แต่เหมาก็เคยวิจารณ์กองทัพแดงไว้ว่า "ถ้าไม่มีอุดมการณ์ กองทัพแดงก็เป็นแค่กองโจรธรรมดาอันหนึ่งเท่านั้นเอง"
 
แล้วขบวนการเสื้อแดงจะเป็น "ขบวนการประชาธิปไตย" หรือจะเป็นแค่ "กองโจรธรรมดาๆ อันหนึ่ง"

 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น