'ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์' ระบุคำพูดอภิสิทธิ์
'ลงเลือกตั้งคือต่ออายุระบอบทักษิณ' ถือเป็นการยกตนข่มท่าน แบ่งแยกประชาชน
ยกตัวเองเป็นเทพ ชี้เลือกตั้งไม่ตอบโจทย์ทั้งหมดแต่เราคิดแทนประชาชนไม่ได้
จึงตัดสินใจลงเลือกตั้ง รู้ดีว่าไม่ประสบความสำเร็จ
แต่จำเป็นต้องรักษากติกาบ้านเมืองเอาไว้
(ที่มาของภาพ: เพจชูวิทย์ I'm No.5)
22 ธ.ค. 2556 - วันนี้ (22 ธ.ค.) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์บทความ
"ผมได้ไตร่ตรองถึงการลงเลือกตั้งครั้งนี้อย่างถี่ถ้วน ว่าจะลงหรือไม่ลง?"
ผ่านเฟซบุ๊กชูวิทย์ I'm No.5 มีรายละเอียดดังนี้
000
"ผมได้ไตร่ตรองถึงการลงเลือกตั้งครั้งนี้อย่างถี่ถ้วน ว่าจะลงหรือไม่ลง?
หากผมไม่ลงเลือกตั้งครั้งนี้
ไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ฝั่งคุณอภิสิทธิ์ หรือ กปปส.
หรือไปสนับสนุนให้คุณอภิสิทธิ์กระทำการนอกกติกา
เพราะผมไม่เห็นด้วยกับวิธีการแบบนี้
การที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้ง
และคุณอภิสิทธิ์บอกว่า
"พรรคที่ลงเลือกตั้งกลายเป็นผู้ต่ออายุให้ระบอบทักษิณ"
ถือเป็นคำพูดที่เห็นแก่ตัว ยกตนข่มท่าน แบ่งแยกประชาชน ยกตัวเองเป็นเทพ
และให้พรรคอื่นเป็นมาร พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ไม่ควรมีวิสัยมองผู้ที่คิดต่างจากตัวเองเป็นศัตรูเสียหมด
เพราะในระบอบประชาธิปไตย ย่อมต้องรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง
ไม่นำเอาความคิดเห็นของตัวเองมาตัดสินว่าถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว
สามารถทำงานร่วมกับผู้คนหลากความคิด หลายอุดมการณ์
เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่นำเอาความคิดเห็น
หรืออุดมการณ์ของตัวเองเป็นใหญ่
บดบังเหยียดหยามผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเองไปเสียหมด
แต่หากผมลงเลือกตั้งครั้งนี้
ไม่ได้หมายความว่าผมไปต่ออายุให้ระบอบทักษิณแต่อย่างใด
แม้ว่าผมเห็นว่าพรรคเพื่อไทยกระทำการโดยใช้เสียงส่วนมากหาประโยชน์ให้กับตัว
เอง มองข้ามศรัทธาของประชาชน ใช้อำนาจของฝ่ายบริหารที่มีมากเกินไป
สร้างความเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่โต้แย้ง กลับเข้าข้างเห็นดีเห็นงาม
คาดหวังผลประโยชน์ต่างตอบแทน
ช่วยหนุนรัฐบาลให้กระทำการหยามต่อความเชื่อมั่นของประชาชนให้ลดน้อยถอยลง
แต่ผมเห็นว่าบ้านเมืองต้องมีกฎกติกาใช้ยึด
ถือ เพื่อให้ทุกคนในสังคมปฏิบัติตาม
ไม่อย่างนั้นจะถือว่าการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ได้อย่างไร?
แม้ว่าการเลือกตั้งไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด
แต่อย่างน้อยยังได้ฟังเสียงของประชาชนซึ่งเป็นเสียงส่วนมากที่มีอำนาจอย่าง
แท้จริง เราไปคิดแทนประชาชนทั้งหมดไม่ได้
เพราะท้ายสุดนักการเมืองเป็นเพียงตัวแทน ไม่ใช่เจ้านายที่จะไปสั่งการ
เราจึงต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผ่านคะแนนเสียงในวันเลือกตั้ง
และนำไปปฏิบัติ
ผมจึงตัดสินใจว่าควรลงเลือกตั้ง
แม้จะรู้ดีว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
เพราะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์
อาจเกิดความวุ่นวายตั้งแต่วันรับสมัครไปจนถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
แต่ผมจำเป็นต้องรักษากฎกติกาของบ้านเมืองเอาไว้
จะทำตามอำเภอใจฝั่งใดฝั่งหนึ่งไม่ได้
หากท้ายสุด
ผลการเลือกตั้งออกมาว่าประชาชนโหวตโนมากกว่า
คุณสุเทพและคุณอภิสิทธิ์สามารถนำเอาความชอบธรรมจากคะแนนนี้
ไปอ้างอิงว่าเป็นเสียงส่วนมากอย่างแท้จริง
ที่ต้องการให้คุณอภิสิทธิ์กับคุณสุเทพนำการปฏิรูปตามที่เสนอ
แต่หากคนมาลงคะแนนเสียงมากกว่า
โดยเลือกพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้งในครั้งนี้
คุณอภิสิทธิ์จะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจไม่ลงเลือกตั้ง
และคุณสุเทพสมควรเลิกม็อบกลับบ้าน
มันเป็นวิถีทางเดียว ที่จะหาทางออกให้กับเรื่องนี้ได้"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น