แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สงครามปกป้องอภิชนาธิปไตย vs สงครามปกป้องประชาธิปไตย

ที่มา Thai E-News

 โดย จรรยา ยิ้มประเสริฐ
ที่มาและอ่านฉบับเต็ม Time up Thailand 

สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน คือการต่อสู้ที่ยังไม่จบของสงครามชนชั้น ระหว่างฟากรอยัลลิสต์ชนชั้นสูงที่จัดตั้งชัดเจนโดยพรรคการเมืองประชาธิปัตย์ ที่ก่อตั้งเมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 ด้วยเป้าประสงค์หลัก คือ เพื่อการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งวิถีอภิสิทธิชนและสิทธิประโยชน์ของชนชั้นสูง คนเมืองมหานครกรุงเทพ - กับฟากคน “ใส่เสื้อแดง” ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนชั้นล่าง คนชนบทที่สุดทนกับการถูกทำนาบนหลังคน จากการถูกปล้นทรัพยากร และเข้าไม่ถึงงบประมาณและโครงการพัฒนาที่มีคุณภาพ ที่กว่า 70-80% ของงบประมาณแผ่นดิน ถูกดึงดูดไปหล่อเลี้ยงและเอาอกเอาใจให้กับวิถีการเมือง “คนชนบทเลือก คนกรุงเทพล้ม” กันมาหลายทศวรรษ

เมื่อมวลชน “ใส่เสื้อแดง” ของพรรคการเมืองรุ่นใหม่ ที่จัดตั้งโดยกลุ่มทุนตระกูลชินวัตรเมื่อต้นทศวรรษ 2540 - ที่แม้จะตั้งนายกรัฐมนตรีถึง 4 คน และถูกยุบพรรคกันมา 3 ครั้งในรอบเพียงสิบ 15 ปี จากพรรคไทยรักไทย สู่พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน - ยังไม่สลายไปและมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่สามารถนำชาติฝ่าวิกฤตการเมืองได้เมื่อผู้มีบทบาทนำในพรรคและนักการ เมืองส่วนใหญ่ในพรรค ยังเล่นการเมืองด้วยวิถี “เพื่อดำรงวิถีอภิสิทธิชน” โดยไม่ให้ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” กันอย่างจริงจังมาจนถึงปัจจุบัน โดยละเลยและเผิกเฉยต่อความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการ เมืองไทยของคนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปที่รักประชาธิปไตย

กระนั้น มวลชนคนชั้นล่างชาวไพร่ที่ต้องการสถานภาพ “ประชาชนพลเมือง” ที่ได้รับการยอมรับว่าเท่าเทียมกับคนเมืองมหานครเมืองหลวง ต่างก็แสดงพลังสีแดงเพื่อปกป้องรัฐบาลในทุกครั้งที่ฝ่ายรอยัลลิสต์ ประชาธิปัตย์ประท้วงเพื่อไล่รัฐบาลที่คนเสื้อแดงเลือก ...

และนี่คือสถานการณ์การเมืองในขณะนี้

นี่คือภาพการเมืองบนท้องถนนของประเทศไทย ที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงปัจจบุัน และก็ได้เดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่วัดกันที่พลังหนุนและความอึดของทั้งสองฝ่าย – ที่กำลังยึดถนนกลางเมืองหลวง และในศาลากลางจังหวัดฐานเสียงของแต่ละพรรคกันอีกครั้งมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้เพลี่ยงพล้ำในการผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษ กรรมที่ส่งผลย้อนกลับไปถึงปี 2547 เพื่อลบล้างผลพวงทางคดีทั้งหมดให้กับทักษิณ ชินวัตร นายทุนใหญ่และผู้มีอิทธิพลสูงสุดของพรรค อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

การต้านนิรโทษกรรมของทุกกลุ่มคนในสังคมตอนนี้ มีนัยยะสำคัญยิ่งต่อพัฒนาการการเมืองของไทย

การนิรโทษกรรมครั้งนี้ถ้าผ่านไปได้สำเร็จหมายความว่ามันเป็นการนิรโทษ กรรมครั้งที่ 24 ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยในช่วง 80 ปี ที่ส่วนใหญ่เป็นการนิรโทษกรรมให้กับคณะปฏิวัติ และให้กับทหารที่เข่นฆ่าสังหารประชาชนกันมาครั้งแล้วครั้งเล่า

การจัดตั้งมวลชนรอยัลลิสต์ของประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่รัฐบาลและคนทั้งประเทศต้องลุกขึ้นมาติดตามอย่างใกล้ชิด และการต่อสู้ทางการเมืองบนท้องถนนครั้งนี้ เป็นเรื่องของทุกฝ่ายที่ต้องจับตาดูการประลองกำลังกันด้วยจำนวนมวลชนที่ทั้ง 2 ค่ายพรรคการเมืองใหญ่ - ค่ายพรรคขุนนางอำมาตย์ประชาธิปัตย์ที่ร่วมด้วยบรรดาชนชั้นสูงและอภิสิทธิชน คนเมืองหลวง กับค่ายทุนการเมืองใหม่เพื่อไทยที่อิงคะแนนเสียงจากชนบท ที่ยังเป็นมวลชนคนชนบท “ชาวไพร่” ใส่เสื้อสีแดง

ทั้งนี้ทั้งสองค่ายก็ถูกตีขนาบ ตรวจสอบและวิจารณ์จากหลายกลุ่มหลายฝ่ายเช่นกัน ที่ต่างก็ทุ่มสุดตัวกับการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ เพื่อยื้อยุดแย่งชิง/หรือช่วยกันผลักดันกงล้อการเมือง ให้ขึ้นสู่ยอดเขาให้สำเร็จให้จงได้

การเมืองบนท้องถนนครั้งนี้สามารถชี้ชะตาบ้านเมืองได้ ถ้าทหารไม่เข้ามาทำการปฏิวัติ หรือศาลรัฐธรรมนูญไม่เข้ามาอุ้มประชาธิปัตย์เช่นที่เคยทำเมื่อเดือนธันวาคม 2551

สงครามชนชั้นในเมืองไทย ได้สร้างความเจ็บปวดมายาวนานเกินพอแล้ว และประเทศไทยควรจะหลุดออกมาจากสงครามชนชั้นได้ตั้งนานแล้ว ถ้าเห็นแก่ประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศอย่างแท้จริง ... ไพรสันติ จุ้มอังวะ คนงานเก็บเบอร์รี่ชาวชัยภูมิที่ใช้ชีวิตตั้งแต่อายุ 18 ปี  เดินทางทำงานในหลายประเทศเพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ได้สะท้อนภาพสงครามปกป้องอภิสิทธิชนของคนเมืองหลวงไว้อย่างชวนให้สะอึก

เปิดทีวีดูแทบทุกช่องมีแต่ข่าวความวุ่นวายทางการเมืองในเมืองหลวง การแก่งแย่งชิงดี แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งสี แบ่งข้าง นี่หรือประเทศไทย ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นแทบทุกปี ทุกรัฐบาลไป พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
อีกมุมหนึ่งของชนบท พวกเรากำลังดิ้นรน กระเสือกกระสนเพื่อปากท้อง เพื่อครอบครัว เพื่อความอยู่รอดกันอย่างปากกัดตีนถีบ ก่อนการเลือกตั้งแต่ละที พวกคุณก็บอกว่าจะแก้ไขจะปรับปรุง จะทำโน่น นี่นั่น สุดท้ายก็เข้าไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจของตัวเองและพวกพ้อง ปล่อยพวกเราประชาชนตาดำๆ สู้ชีวิตแสนยากเข็นต่อไป (ประชาไท, เสียงจากคนงานเก็บเบอร์รี่: ชีวิตต้องสู้ )
นี่ก็คือความจริงที่ทำคนไทยทั้งประเทศอึด อัดหายใจไม่ออก และต้องถูกผลักถูกดึงให้เดินหน้าและถอยหลังกันมาอย่างยาวนานตลอดประวัติ ศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่ถูกปฏิวัติเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มาจนถึงบัดนี้ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 เมื่อค่ายขุนนางสามารถโน้มน้าวใจทหารให้หนุนการปฏิวัติเพื่อโค่นอำนาจคณะผู้ ประศาสน์การประชาธิปไตยได้สำเร็จ

จำต้องพูดถึงพรรคขุนนางประชาธิปัตย์

พรรคประชาธิปัตย์ที่มีกำเนิดเมื่อวันจักรี 6 เมษายน 2489 ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวแทนของราชวงศ์และขุนนางอำมาตย์ในรัฐสภา ก็ได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันสมกับอุดมการณ์ของพรรค เพื่อเอาชนะคู่แข่งทางการเมืองด้วยไพ่เหนือกว่าในฐานะสมาชิกราชวงศ์และบุคคล ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ผู้พิทักษ์รักษาไว้ชื่อระบบ “อภิสิทธนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ที่กระทำทุกช่องทางเพื่อกุมบังเหียนการเมืองในประเทศ - ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์เหลี่ยม กลอุบาย ทั้งในสภาและนอกสภา มาตลอด 67 ปีที่ผ่านมา

เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ยั้งยืนยงและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่แทบจะไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากที่สุดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เอง และนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ไม่เคยชนะการเลือกตั้งได้เสียงข้างมากพอจะให้สามารถตั้งรัฐบาลได้ พรรคนี้จึงเป็นพรรคฝ่ายค้าน “ทุกรูปแบบ” ทั้งในสภา-นอกสภา ตามกติกา-นอกกติกา ไม่สนแม้จะออกหน้าสนับสนุนขบวนการล้มรัฐบาลพันธมิตรรอยัลลิสต์ หรือสนับสนุนให้ทหารทำรัฐประหาร 2549 และได้รับอานิสงส์อย่างหน้าชื่นตาบานเมื่อศาลรัฐธรรมนูญของชนชั้นสูงล้ม 3 พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลในปี 2551 เพื่อปูทางให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ พร้อมกับการประกาศใช้มาตรการ “เขตกระสุนจริง” เพื่อการปราบปรามคนเสื้อแดงในเดือนพฤษภาคม 2553 จนทำให้ผู้ประท้วงถูกยิงเสียชีวิตกว่า 100 คน และอีกร่วม 2,000 คนได้รับบาดเจ็บ โดยอีกกว่า 2,000 คนถูกจับกุม และยังคงอยู่ในคุก (ห้ามประกัน) จนถึงบัดนี้ร่วม 40 คน

เมื่อเลือกตั้งครั้งล่าสุด 3 กรกฎาคม 2554 พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้ง กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านตามระบอบการเลือกตั้งอีกครั้ง ตลอดสองปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ - เหมือนเช่นเคย – ทำหน้าที่อย่างเดียวคือ “ค้านทุกเรื่อง” และ “หาทางล้มรัฐบาล” ให้ได้ ...

ปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเริ่มอับจนหนทางมากขึ้นเรื่อยๆ และก็สู้อย่างคนอับจนหนทางราวกับหมาจนตรอกมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้โอกาสใช้เรื่อง “การค้านนิรโทษกรรมให้ทักษิณ” ปลุกระดมมวลชนคนเคยใส่เสื้อเหลืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มสุดตัว ... ขนขุนพลและแกนนำพรรคหลายคน ถึงขั้นลาออกจากตำแหน่งในพรรค มาเป็นผู้ดำเนินรายในเวทีประท้วงที่ตั้งกระจายอยู่หลายจุดรอบๆ ทำเนียบรัฐบาล ยิ่งกว่านั้นแกนนำพรรคคนสำคัญส่งหนังสือลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 9 คน เมื่อเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา

พรรคประชาธิปัตย์ตระหนักดีว่า การเล่มเกมการเมืองอิงแอบไม่ปล่อยกับ “ความรักและความเป็นเจ้าของสถาบันพระมหากษัตริย์”​ ของพรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธิชนคนชั้นสูงที่ออกหน้าโดยพรรคประชาธิปัตย์ อย่างเปิดเผยครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของพรรค ที่จะยังคงสามารถเล่นเกมการเมืองในนามสถาบันฯ ได้เช่นนี้

พวกเขาจึงมีเป้าหมายเดียวคือ ต้อง “ชนะ” เท่านั้น และความต้องการ “ชนะเท่านั้น” ครั้งนี้อาจจะเดิมพันด้วยรัฐประหาร ด้วยเลือดเนื้อของประชาชนบนท้องถนน และด้วยการชะงักงันทางการเมือง และการพาประเทศถอยหลังไปอีก 10 หรือ 20 ปี หรือ 100 ปี ... ซึ่งจะเป็นโศกนาฎกรรมอีกครั้งหนึ่งที่อีลีตเมืองไทยที่คุ้นชินกับการเมือง “อภิชนาธิปไตยใต้ร่มพระบรมโพธิสัมภาร” กระทำอย่างอำมหิตกับประเทศชาติและประชาชน โดยไม่ใส่ใจในความเสียหายทางตรงในด้านชีวิตเลือดเนื้อและทรัพย์สิน หรือในทางบรรยากาศการเมือง ทั้งในด้านการสั่นคลอนทางเสถียรภาพทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ที่จะเกิดขึ้นจากการชะงักงันของการเมืองเพียงเพื่อสนอง “อีโก้/อัตตา และโมหะจริต” ของพวกเขาเท่านั้น

บทเรียนฟินแลนด์ ประวัติศาสตร์ที่ชำระแล้ว

แน่นอนว่ามีบทเรียนการต่อสู้เพื่อยุติการเมืองเผด็จการ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ และอภิสิทธนาธิปไตย ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตลอดช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ที่นักวิชาการและคนไทยได้เรียนรู้และพยายามนำมาศึกษาเปรียบเทียบและเตือนสติ สังคม ไม่ว่าจะบทเรียนฝรั่งเศส อเมริกาอังกฤษ รัสเซีย  จีน เขมร เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เกาหลี เนปาล หรืออาร์เจนตินา หรือประเทศอื่นๆ

เนื่องจากผมอยู่ที่ฟินแลนด์แม้จะไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ฟินแลนด์ แต่จากการพูดคุยกับผู้คนและอ่านเอกสารประกอบพอสังเขป ก็เห็นว่าบทเรียนของฟินแลนด์ก็น่าสนใจเพื่อเป็นกรณีศึกษากับเมืองไทยในช่วง นี้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทเรียนของประเทศนี้ ได้มีการชำระประวัติศาสตร์กันเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังรอคอยประวัติศาสตร์ที่ชำระสะสาง

ประวัติศาสตร์ฟินแลนด์นี่ไม่ว่าจะฟังจากใครหรือจากการอ่านเอกสาร มันไม่ซับซ้อน และไม่ต้องอ่านเงื่อนงำอะไรมากเลย มันเป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกข้อเท็จจริงรอบด้าน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้คนทั้งประเทศต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวังและใช้ เหตุใช้ผล

การเป็นประเทศเล็กที่รอบล้อมด้วยประเทศใหญ่ ฟินแลนด์ตกอยู่ในอาณานิคมของสวีเดนหลายร้อยปี แต่สวีเดนก็ถูกรัสเซียตีให้ล่าถอยและเข้ามาผนวกเอาฟินแลนด์เป็นหนึ่งจังหวัด ของรัสเซียและส่งเจ้าเมืองจากรัสเซียมาปกครองได้ประมาณหนึ่งร้อยปี แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุ และเมื่อเลนินนำการปฎิวัติโค่นซาร์ได้สำเร็จในปี 1917 ก็เกิดสูญญากาศทางการปกครองที่ฟินแลนด์ สงครามกลางเมืองระหว่างชนชั้นล่างและชนชั้นสูงที่ฟินแลนด์ก็ปะทุขึ้น เพื่อแย่งชิงอำนาจนำทางการเมืองในประเทศพร้อมกับประกาศอิสรภาพจากรัสเซีย

การปะทุแห่งสงครามชนชั้นที่ฟินแลนด์ จนเป็นสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 27 มกราคม – 5 พฤษภาคม 2461 (1918) เมื่อฝ่ายซ้ายที่ประกอบไปด้วยขบวนการคนงานคนจนในเขตตอนใต้ของฟินแลนด์ นำโดยพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย” ได้จัดตั้งกองกำลังหรือเรียกว่า "ทหารแดง” ได้ปะทะกับกองกำลังจัดตั้งโดยฝ่ายขวาหรือที่เรียกว่า “ทหารขาว” ที่เป็นพวกชนชั้นสูงและเกษตรกรในเขตตอนเหนือของประเทศ ทั้งนี้ทหารแดงได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ส่วนทหารขาวได้รับการสนับสนุนจากเยอรมัน แต่เมื่อเยอรมันส่งกองกำลัง 13,000 คนพร้อมอาวุธเข้ามาช่วยฝ่ายขวา ก็ทำให้ฝ่ายแดงถูกตีพ่าย หลังการสู้รบเป็นเวลาประมาณ 4 เดือน แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็กลายเป็นโศกนาฎกรรมที่สร้างความเจ็บปวดให้กับคนใน ประเทศฟินแลนด์มาจนถึงบัดนี้ ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตจากการสู้รบร่วมสองหมื่นคน (ทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายแดงเสียชีวิตเยอะกว่าฝ่ายขาวมาก) และจากการเจ็บปวดและอดตายในช่วงถูกจับขังคุกอีกจำนวนมาก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 37,000คน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศในขณะนั้น 3 ล้านคน

เมื่อการสู้รบยุติ ทหารฝ่ายขาวและกองทัพเยอรมันได้จับกุมฝ่ายแดง 80,000 คน แต่เด็กเล็กและผู้หญิงจำนวนหนึ่งถูกปล่อยตัว เหลือที่ถูกคุมขังประมาณ 74,000 – 76,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกส่งเข้าคุกการเมืองที่อยู่กันอย่างแออัดและแน่นขนัดโดย ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกและอาหารเพียงพอ ทำให้มีนักโทษตายเป็นจำนวนมากจากการเจ็บป่วยและอดอยาก ส่งผลให้ผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองนี้ มีจำนวนสูงถึงเกือบสี่หมื่นคนดั่งเช่นที่กล่าวมาแล้ว

ผลทางกระบวนการยุติธรรมคือ ประมาณ 70,000 คนถูกตัดสินว่ามีความผิด ในจำนวนนั้น 555 คนมีความผิดถึงโทษประหาร และถูกประหารชีวิตจริงไปถึง 133 คน และศาลก็ได้เปิดเผยที่ศาลว่ามีผู้บริสุทธิ์ถูกคุมขังเช่นกัน

นักโทษส่วนใหญ่พ้นโทษหรือได้รับอภัยโทษภายในสิ้นปี 2461 หลังจากถูกดำเนินคดีการเมือง โดยยังเหลือที่ถูกคุมขัง ณ สิ้นปีจำนวน 6,100 คน และถูกขังอยู่จนถึงสิ้นปี 2462 จำนวน 4,000 คน (3,000 คนได้รับอภัยโทษในเดือนมกราคมปี 2463 และขณะเดียวกันก็มอบสิทธิพลเมืองกลับคืนให้กับนักโทษ 40,000 คน) 500 คน ได้รับการปล่อยตัวในปี 2466 และในปี 2470 นักโทษที่เหลืออยู่ 50 คนสุดท้ายได้รับการนิรโทษกรรมโดยรัฐบาลพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย

ในปี 2516 รัฐบาลฟินแลนด์ได้จ่ายค่าชดเชียให้กับอดีตนักโทษ 11,600 คน ที่ถูกคุมขังในช่วงสงครามกลางเมือง

อนึ่ง หลังจากฝ่ายขาวชนะสงครามก็ได้มีการเชิญเจ้าชาย Frederick Charles จากเยอรมันเพื่อมาเป็นกษัตริย์ปกครองฟินแลนด์ แต่ระยะเวลาทดลองเรียนรู้การเมืองภายใต้กษัตริย์ก็มีระยะเวลาเพียงช่วงสั้นๆ เจ้าชายก็สละราชบัลลังก์ พร้อมกับการประกาศวิถีการเมืองระบอบ “สาธารณรัฐ” ของรัฐสภาฟินแลนด์ในปี 1919 (2462) ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภาเดียว ที่มีการเลือกตั้งทุก 4 ปี โดยมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งทุก 6 ปี เป็นประมุขของประเทศ

ในปี 2000 ทางฟินแลนด์ได้มีการแก้กฎหมายลดทอนอำนาจประธานาธิบดีที่เพื่อให้ไม่ซ้ำซ้อน และคานอำนาจกับบทบาทของนายกรัฐมนตรีมากเกินไป

(ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Finnish_Civil_War, and  http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Finland)

สถาบันกษัตริย์ไทย

ในการชำระประวัติศาสตร์ มันมีข้ออ่อนไหวในสังคมปัจจุบันที่ทั้งสังคมจะต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไข ทั้งนี้เพราะสถานภาพระบอบการปกครองไทยภายใต้ระบอบ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปี 2490 นั้น ทำให้สถาบันพระประมุข – สถาบันกษัตริย์ของไทย - ได้รับการปกป้องและคุ้มครองอย่างแข็งขันด้วยรัฐธรรมนูญ “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” และด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “ผู้ ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

นอกจากนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยยังถูกปกป้องด้วย:
  • คณะองคมนตรี 19 คน (ที่มาจากอดีตประธานศาลและตุลาการ 6 คน อดีตนายพลทหารจากทุกเหล่าทัพ 7 คน จากเชื้อพระวงศ์และอดีตข้าราชการใกล้ชิด 6 คน) ทั้งนี้ทุกคนเป็นผู้ชายหมดและมีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี
  • ด้วยข้าราชบริพารกว่า 4,000 คน
  • ด้วยข้าราชการกว่าล้านคน
  • ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจอีกห้าแสนคน
  • ด้วยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่เป็นกลุ่มธุรกิจที่มั่งคั่งที่สุดในประเทศไทย
  • ด้วยกองทหารรักษาพระองค์กว่า 50,000 นาย
  • ด้วยกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
  • ด้วยรัฐสภาที่ไม่อาจจะกระทำการพิจารณาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้แม้แต่น้อย
  • ด้วยพสกนิกรจำนวนไม่น้อยที่ได้รับข้อมูลด้านเดียวมาตลอด 60 ปี จนเทิดทูนบูชาพระมหากษัตริย์กันอย่างล้นเกิน จนไม่สามารถจะรับฟ้งข้อมูลด้านอื่นโดยสงบสติอารมณ์ได้ต่อไป ...
    • ฯลฯ
การเมือง “พูดความจริงไม่ได้” ที่อาจจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 วันที่ในหลวงอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ถูกปลงพระชนม์​ ที่ยังคงเป็นปริศนาพูดไม่ได้เพราะกลัวว่าจะ “ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” มาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ได้สร้างคุณค่าใหม่ในสังคมไทย ให้บิดเบี้ยวและผิดเพี้ยนไปจากหลักศีลธรรม จริยธรรม และความยุติธรรมเช่นที่มันควรจะเป็น มาสู่การพ่วงท้ายเติมต่อคำว่า “แบบไทยๆ” เข้าไป เพื่อแสดงว่า “มันไม่สามารถเป็นจริงได้” ในบริบทของสังคมไทย​ ที่วิถีชนชั้นนั้นยั่งรากลึกและนำมาสู่การเสพติดจนยากจะปลดปล่อย

สังคมชนชั้นหลายมาตรฐาน ที่กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบพร้อมจะผ่อนปรนโทษฑัณฑ์ในสถานเบาที่สุดให้กับ ชนชั้นสูงด้วยความเชื่อว่า “เป็นคนดี” ไว้ก่อน แม้โกงก็มองไม่เห็น ส่วนคนยากจน กระบวนการยุติธรรมทั้งประเทศ พร้อมจะตัดสินโทษฑัณฑ์พวกเขาด้วย “บทลงโทษสูงสุด” ไว้ก่อน ทั้งนี้ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นคดียกเว้นที่ศาลพร้อมใจกันอ้างคำว่าเป็นคดีร้ายแรง  “นำมาซึ่งความเสื่อเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนจิตใจปวงชนผู้จงรักภักดี” 

การจะเริ่มชำระประวัติศาสตร์ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 หรือระงับการใช้จนกว่าจะมีการออกกฎหมายใหม่ ที่ไม่สามารถถูกใช้พร่ำเพรื่อและ/หรือเพื่อใช้กลั่นแกล้งกันทางการเมืองเช่น มาตรา 112 ในปัจจุบัน

เห็นใจกลุ่มรอยัลลิสต์ไทย แต่เราจำต้องพูดความจริงกันได้เพื่อพัฒนาสู่สังคมเหตุผล

กลุ่มรอยัลลิสต์เสื้อเหลืองตามที่เปิดเผยตัวมีทั้งราชนิกูลหลายสิบตระกูล ผู้พิพากษา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ดารา-นักร้อง สส.พรรคประชาธิปัตย์และมวลชน รวมทั้งคนจากภาคใต้ฐานเสียงของพรรคนี้ที่เดินทางขึ้นมาร่วม เป็นกลุ่มคนไทยที่ต้องการการเยียวยาอย่างจริงจัง และกำลังอยู่ในความหวาดผวาอย่างแท้จริงว่า “ความเป็นอภิสิทธิชน” ของตนเองกำลังจะถูกท้าทายหรือถูกทำให้ลดทอนลงไป ตามการเปลี่ยนผ่านพระราชอำนาจของสถาบันพระประมุขที่คืบคลานใกล้เข้ามา

พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกล่อหลอมทั้งจากประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ถูกชำระ จากการดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติ ตามรอยพระราชดำริ จากการฟังข่าวในพระราชสำนัก ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีทุกครั้งที่ดูหนังในโรงภาพยนตร์ และจากการมอบกราบให้กับพระบรมวงศานุวงศ์มาอย่างยาวนาน จนเชื่ออย่างสนิทใจในความเป็นข้า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม” โดยไม่เคยคิดที่จะตั้งคำถามหรือแม้แต่จะคิดตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น

คนไทยสีเหลือง คือกลุ่มคนที่ได้รับอภิสิทธิชนมายาวนานจากวิถีการเมือง “ข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่ถูกหล่อเลี้ยงและอุ้มชูด้วยงบประมาณและสิทธิประโยชน์อย่างมหาศาลในฐานะ ของคนเป็นข้าราชการ นักธุรกิจหัวเก่า คนบันเทิง คนเมืองหลวง หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิประโยชน์ของตัวเองอย่างจริงจังเช่นกัน

ดังนั้น คนเสื้อเหลืองจากเมืองหลวงจึงเป็นคู่ขัดแย้งกับคนเสื้อแดงจากชนบทอย่าง แท้จริง ในฐานะของผู้ปกป้องอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ของตัวเอง - ที่ไม่ต้องการให้กระจาย - ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็คือเพื่อการรักษาช่องว่าง "ความรวย-ความจน" ในสังคมไทยให้อยู่สูงติดอันดับโลก ดังนั้นในนิยามของอภิสิทธิชน การการะจายความมั่งคั่งและเท่าเทียมไม่สามารถจะกระจายให้คนในชนบทได้ ...

แต่มันถึงคราวจำเป็นที่จะต้องกระจาย เพราะคนเสื้อแดงในชนบทก็สุดทนกับวิถีชีวิตปากกัดตีนถีบที่อยู่ไกลปืนเที่ยง และไร้สวัสดิการใดๆ และก็ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิที่พึงมีของพวกเขาทั้งคู่ (เหลือง-แดง) จึงเป็นคู่กรณีหรือถูกทำให้เป็นคู่กรณีกันจากการเมืองเลือกค่าย ... แต่เพื่อความสันติสุข พวกเขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจระหว่างกัน ... และไม่มีทางอื่น นอกจากการต้องกระจายสิทธิประโยชน์เพื่อคนทั้งประเทศอย่างเท่าเทียม และต้องส่งเสริมและสร้างการเมืองให้เกิดความเข้าใจปัญหาระหว่างกัน เพื่อมิตรภาพระหว่างกัน เพื่อนำพาประเทศชาติเดินหน้าไปด้วยกัน และอย่างเท่าเทียมกัน
ภาระหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลไทยและสังคมไทย คือ จะต้องเตรียมหามาตรการเยียวยารอยัลลิสต์อย่างจริงจัง เพราะพวกเขาช่างน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง และช่างมีสภาพไม่ต่างจากพ่อแม่ของอดัมในหนัง “Blast from the past” ที่ติดกับดักในบ้านหลบภัยปรมาณูใต้ดินถึง 35 ปี ด้วยความเชื่อว่ามีสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกเกิดขึ้นจริง

การสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาธิปไตยไทยยังขึ้นอยู่กับพลังของคนเสื้อแดง

การเมืองประเทศไทยตลอด 80 ปีที่ผ่านมา เป็นการเมืองที่ผู้ก่อการวางระบบประชาธิปไตยทั้งหลายตระหนักดีถึงความรุนแรง ต่อชีวิตประชาชน จึงเลือกวิถีการเมืองไม่แตกหัก แต่ในความไม่แตกหัก ระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยของไทย ถูกทำลายกันนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่ถูกบีบให้ยุบสภา ก็ถูกทำรัฐประหาร หรือไม่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคซึ่งส่งผลให้รัฐบาลล้มไปด้วย
ทั้งนี้ระบบการเมืองไทยต้องมีการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งจากพระมหา กษัตริย์ที่ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ทำให้นับตั้งแต่ทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา รัฐบาลที่จะอยู่รอดปลอดภัยต่างก็ต้องสยบยอมกับอำนาจกระบอกปืน และเลือกดำรงวิถีการเมือง "ซื้อใจทหาร เอาใจข้าราชการ และห้ามตั้งคำถามกับสำนักพระราชวัง" ด้วยการโหมเทงบประมาณเพื่อการทหาร และโครงการเฉลิมพระเกียรติกันโดยไม่ตรึกตรองถึง “ความจำเป็น” และความสมเหตุสมผล” และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมในระยะยาว
เพื่อก้าวสู่การพัฒนาประเทศอย่างมีคุณภาพและยั้งยืน

 ประชาชนชาวไทยจึงมีภาระหน้าที่สำคัญยิ่ง ที่จะต้องร่วมกันนำการเมืองให้หลุดพ้นไปจากธรรมเนียมวิถีแบบเดิม และหลุดออกไปจากจุดล่อแหลมที่รัฐบาลที่เลือกมาจะถูกโค่นล้มอีกครั้งหนึ่งไป ได้อย่างสันติวิธี โดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ (อีกต่อไป) ร่วมกันทำหน้าที่พิสูจน์กับขั้วอำนาจนำในประเทศไทยว่า ประชาชนจะรักษา “หลักการประชาธิปไตย” และไม่ยอมให้รัฐบาลที่เลือกมา ถูกล้มอย่างง่ายดายด้วยทหาร ศาล หรือเกมการเมืองอันสกปรกของฝ่ายค้าน

ไม่มีใครสมควรตายเพราะสงครามกลางเมืองเพื่อชนชั้นสูงอีกแล้ว ประวัติศาสตร์ทั่วโลกมีให้เห็นมากมายถึงความเจ็บปวดสูญเสียจาก สงครามกลางเมือง - สงครามระหว่างชนชั้นล่างและชนชั้นอภิสิทธิชน - หรือดูจากบทเรียนฟินแลนด์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ประเทศไทยสามารถศึกษาบทเรียนรอบตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ได้

กลุ่มชนชั้นนำขั้วอำนาจเก่าในสังคมไทยที่ถูกท้าทายด้วยวิถีโลกาภิวัตน์ และนายทุนใหม่ จำเป็นต้องปรับตัวอย่างจริงจัง และไม่สามารถดำเนินนโยบายการเมืองสมมุติเทพอันโบราณกาลได้อีกต่อไป


การเมืองต่อไปนี้เป็นเรื่องความความอดทนอดกลั้นต่อความคิดต่าง เป็นเรื่องของการระมัดระวังอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรงกับม็อบการเมือง ไม่ว่าจะฝ่ายไหนทั้งสิ้น เป็นสภาวะที่คนที่มีสติในสังคมจะต้องลุกขึ้นมาเตือนสติให้ทั้งสังคม - ที่แม้ไม่ยอมรับ - ก็จำต้องเคารพในความต่างทางความคิด และสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ในขณะที่รัฐบาลก็จำต้องเร่งออกกฎหมายที่รับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และบริหารประเทศโดยรับฟังเสียงเรียกร้องและทัดทานจากประชาชนด้วยความใส่ใจ อย่างแท้จริง


ถ้ารัฐบาลที่มาจากครรลองประชาธิปไตยเลือกตั้งสามารถอยู่ได้ครบ 2 สมัยโดยไม่ถูกยุบหรือถูกรัฐประหาร ประเทศไทยจะเริ่มมีความหวังแห่งเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม และโลกก็จะเลิกปฏิบัติกับไทยราวกับเป็นเด็กเล็ก และเริ่มจริงจังกับประเทศไทยมากขึ้น
* * * * * * * * *

ดูเพิ่มเติม

จะปรองดองกันถามคนเสื้อแดงก่อนนะThaiE-News, 23 กันยายน 2553
“ดูเลือกตั้งฟินแลนด์ มองเลือกตั้งประเทศไทย”
60 ปีแห่งการกดขี่สิทธิและคุกคามเสรีภาพในประเทศไทย
-----------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น