แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

นายกฯ ยืนยันเจรจาภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ

ที่มา Voice TV


นายกรัฐมนตรี ระบุตนเองไม่ใช่นักโต้วาที แต่พร้อมเจรจากับแกนนำกลุ่มต่อต้าน ภายใต้กรอบของกฎหมาย และมองว่า องค์การสหประชาชาติ จะเข้ามาทำหน้าที่คนกลางนั้นเป็นเรื่องดี
 
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันการเจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ต้องอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ และตนไม่ใช่นักโต้วาที ส่วนองค์การสหประชาชาติ จะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเป็นสิ่งดี เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง
 
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ จากศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ไปยังจังหวัดปราจีนบุรี ติดตามการให้ความช่วยเหลือ นักเรียนที่ประสบอุบัติเหตุรถทัวร์ตกเขา โดยสั่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งจุดประสานงานให้ข้อมูล ให้กระทรวงคมนาคมเข้มงวดเรื่องกฎ ระเบียบ 
28 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 12:36 น.

นายกฯ FB ขอตายในสนามปชต. ดีกว่าปล่อยให้ใครมาทำลาย

ที่มา Voice TV

 นายกฯ FB ขอตายในสนามปชต. ดีกว่าปล่อยให้ใครมาทำลาย


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี    โพสต์ข้อความบนเพจเฟซบุ๊ก  Yingluck Shinawatra      ระบุ ขอตายในสนามปชต. ดีกว่าปล่อยให้ใครมาทำลาย โดยระบุข้อความทั้งหมดดังนี้ 


ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือในลักษณะของทหารทึ่บอกว่าทหารก็ต้องทำหน้าของตัวเองจนนาทีสุดท้าย ทหารต้องตายในพื้นที่ในสนามรบ วันนี้ในฐานะที่ดิฉันต้องรักษาประชาธิปไตยก็ขอตายในสนามประชาธิปไตย ดีกว่าปล่อยให้ใครมาทำลายระบอบประชาธิปไตยของเราค่ะ




28 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 14:21 น.

'นายกฯ' ขอ'สุเทพ' อย่าตั้งแง่ท้าดีเบต ชี้ต้องเจรจาในกรอบ รธน.

ที่มา Voice TV

'นายกฯ' ขอ'สุเทพ' อย่าตั้งแง่ท้าดีเบต ชี้ต้องเจรจาในกรอบ รธน.


 นายกฯ ขอ 'สุเทพ' อย่าตั้งแง่ท้าดีเบต หากจริงใจแก้ปัญหาต้องร่วมเจรจาใต้กรอบ รธน. วอนยึดกติกา ย้ำ ต้องมีหลายฝ่ายร่วมแก้
        
 
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยัน ตนไม่ได้ตั้งเงื่อนไข แต่ขอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. หากมีความจริงใจต่อกัน ให้มาพูดคุยกันในกรอบของรัฐธรรมนูญขออย่าตั้งเงื่อนไข ไม่จำเป็นที่จะต้องท้าทายดีเบตกันผ่านสื่อทีวี เพราะตนไม่ใช่นักโต้วาที ไม่มีความสามารถที่จะโต้ดีเบตกับ นายสุเทพ ได้
         
 
 ทั้งนี้ มองว่า ต่างฝ่ายต่างต่างแยกกันการแก้ไขปัญหา ก็จะเป็นไปได้ยากที่ต้องพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะต้องการทำหน้าที่ในการรักษากติกา ซึ่งตนต้องทำหน้าที่รักษากติกาตามกรอบรัฐธรรมนูญ ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกลาโหมหรือทหาร ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ต้องรักษาหน้าที่จนถึงนาทีสุดท้ายจนต้องตายในสนามรบ หากจะต้องตายตนก็พร้อมตายในสนามประชาธิปไตย โดยไม่ยอมให้ใครมาฉีกรัฐธรรมนูญ จะต้องทำหน้าที่ของตนเองเพื่อปกป้องประชาธิปไตย
 
          
พร้อมกันนี้ มองว่า เป็นเรื่องดีที่ เลขาธิการยูเอ็น จะมาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการแก้ไขปัญหาในประเทศ แต่ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้ามาพูดคุยกันก่อน และต้องมีหลายฝ่ายร่วมกันแก้ปัญหา โดยตนไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้ แต่ต้องมาจากการตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศ
 
 
ที่มา :  News   Center /   INN
ภาพ : VoiceTV
28 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 13:59 น.

ทีวีดิจิตอลหารือ กสทช.เริ่มออกอากาศ มิ.ย.นี้

ที่มา Voice TV


ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล ทั้ง 24 ช่อง ยื่นหนังสือต่อประธาน กสท. เพื่อขอความชัดเจนในการออกอากาศ รวมถึงการจัดเรตติ้ง และการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าถึงทีวีดิจิตอล โดยจะเริ่มทดลองออกอากาศอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้

สมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พร้อมผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล ทั้ง 24 ช่อง หารือร่วมกับ พันเอกนที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. เพื่อหาแนวทางแก้ไขอุปสรรคในการออกอากาศของทีวีดิจิตอล  

พันเอกนที ระบุเตรียมให้ผู้ประกอบการ ทดลองออกอากาศ  90 วัน หลังออกใบอนุญาตในเดือนมีนาคมนี้ แบ่งเป็น  3 ช่วง ช่องละ 1 เดือน คือ ทดลองออกอากาศบางชั่วโมง ทดลองออกอากาศตามหลักเกณฑ์ Must Carry  และทดลองออกอากาศก่อนเริ่มจริง   คาดว่า จะออกอากาศอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งระยะเวลา 90 วัน ถือว่าเหมาะสม และอยู่ระหว่างกระบวนการออกใบอนุญาต   

อย่างไรก็ตาม ยังติดขัดข้อกฎหมายกรณีการทดลองออกอากาศ สามารถมีโฆษณาได้หรือไม่ รวมทั้งระยะเวลาการนับใบอนุญาต และการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับสำนักงาน กสทช. ซึ่งจะหารือข้อกฎหมาย และจะมีความชัดเจนในเดือนมีนาคมนี้ เบื้องต้น คาดว่าอาจมีโฆษณาได้ และยังไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 

ส่วนการจัดเรียงช่องออกอากาศ ระหว่างระบบภาคพื้นดิน กับระบบเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียมที่ไม่ตรงกันนั้น กสทช. อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไข เพื่อให้หมายเลขช่อง 1 -36 เป็นทีวีดิจิตอลตรงกันทุกระบบ รวมทั้งการออกใบอนุญาตให้กับผู้จัดเรตติ้งทีวีดิจิตอล ในเดือนสิงหาคมนี้ ที่คาดว่าจะมีผู้ได้รับใบอนุญาตมากกว่า 1 ใบ เพื่อใช้วัดเรตติ้งสำหรับการลงโฆษณา

ขณะที่การแจกคูปองสนับสนุนการซื้อกล่องรับสัญญาณ หรือ Set Top Box และอุปกรณ์สำหรับการรับชมทีวีดิจิตอล ครัวเรือนละ 690 บาท 22 ล้านครัวเรือน กสทช.จะประกาศหลักเกณฑ์ในเดือนมีนาคมนี้ โดยประชาสัมพันธ์ตามพื้นที่ที่สามารถรับชมได้ก่อน

สำนักงาน กสทช. ยังให้ผู้ประกอบการทั้ง 17 ราย 24 ช่อง เข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการเปลี่ยนผ่านการออกอากาศไปสู่ระบบดิจิตอล โดยให้รายละ 1 ตำแหน่ง เพื่อเสนอความเห็น และมีความร่วมมือ ร่วมกัน
28 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 10:58 น.

ทีวีดิจิตอลหารือ กสทช.เริ่มออกอากาศ มิ.ย.นี้

กกต.สนับสนุน 'นายกฯ' เจรจา'สุเทพ'

ที่มา Voice TV


ประธาน กกต.สนับสนุนให้เกิดการเจรจาระหว่างผู้นำรัฐบาล และแกนนำกลุ่มต่อต้าน หากเหตุการณ์สงบ กกต.พร้อมจัดการเลือกตั้ง และสัปดาห์หน้าจะเชิญแกนนำจาก 2 ฝ่ายมาเจรจาอีกครั้ง
 
 
นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง เห็นด้วยกับการเจรจาระหว่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และ กกต.ยินดีช่วยให้ประเทศเกิดความสงบ แต่ละฝ่ายควรหาข้อยุติที่ไม่แพ้ และไม่ชนะ ยอมถอยกันคนละก้าว หากเหตุการณ์สงบ กกต.พร้อมจะจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว
 
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง  กล่าวว่าการเจรจาเป็นสัญญาณที่ดี และสัปดาห์หน้า ตนจะเป็นคนกลางเชิญตัวแทนระดับสูง ของ 2 ฝ่าย ที่มีส่วนตัดสินใจมาเจรจา และเรียกร้องให้แต่ละฝ่ายลดความรุนแรง
 
 
ประธาน กกต. เปิดเผยว่า ในวันจันทร์นี้ กกต.จะพิจารณาคำร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาการจัดการเลือกตั้ง 28 เขต ที่ไม่ที่ผู้สมัคร ยืนยัน กกต.ไม่ต้องการให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ
28 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 12:37 น.

กกต.สนับสนุน 'นายกฯ' เจรจา'สุเทพ'

กวีประชาไท: ลุงแปลก

ที่มา ประชาไท



บทกวี "สดุดีนักปฎิวัติ ; ลุงถาวร จุลเศวต"

ชาตะ 2475 มรณะ 14 ก.พ. 2557
เขียนโดย ส.ปรีชา นปช.

ถา โถมโรมรันสู้ อธรรม
วร ปัญญานำ เที่ยงแท้
จุล ถ้อยกลั่นกรองคำ เสนอนอบ
เศวต จิตสะอาดพร้อม เสมอต้นมนุษย์ชน


บทกวี"อาลัยวีรชน"

เขียนโดย กลางแนวรบ

กรรมาชีพชั้นชน
ก็คือคนตรากตรำงาน
ปฎิวัติตลอดกาล
สร้างตำนานวีรชน
ไร้บ้าน ไร้ทรัพย์สิน
สละสิ้นแม้ชีพตน
เพียงหวังสังคมคน
คือคนไทยได้เสรี
ถั่งโถมโหมไฟควัน
ลุกไหม้ลามเนิ่นนานปี
รุกรบทั่วธานี
ภายใต้ธงพรรคนำทาง
ลุงแปลกนำสหาย
ร่วมเป็นตายไม่ละวาง
จุดยืนไม่เลือนลาง
สมญานาม "ลุงถาวร"
"ถาวร จุลเศวต"
บอกหมายเหตุแห่งนาคร
บทเรียนทุกขั้นตอน
แกร่งหยัดยืนพลิกฟื้นไทย
บัดนี้ชีพท่านสิ้น
นอนบนดินกลางเนาไพร
ปล่อยวางทุกอย่างไป
สมศักดิ์ศรี "วีรชน"
ร้อยพจน์บทกวี
สดุดีลุงคนจน
น้อมส่งยอดขุนพล
ขึ้นสู่สวรรคาลัย
22 ก.พ. 57


บทกวี "คือคนหยัดยืนยง"

เขียนโดย ยุทธศิลป์ จันทร์อำไพ

คารวะลุงถาวร นักปฎิวัติแห่ง พคท.

คือคนหยัดยืนยง
เจตจำนงค์การต่อสู้
ต่อกรกับศัตรู
เพื่อเชิดชูอุดมการณ์
เคลื่อนไหวปลุกมวลชน
เลิกจำนนหมอบกราบกราน
หลอมรวมเป็นสายธาร
ขบวนการ พคท.
สร้างสรรค์ประวัติศาสตร์
สร้างอำนาจประชาไทย
ยากเข็ญ และยาวไกล
จักได้ชัยในปลายทาง
รุกรบเลื่องลือลั่น
สร้างที่มั่นขึ้นต้านทาน
อำนาจเผด็จการ
ล้วนสามานย์ ต้องฝ่าฟัน
เคลื่อนพลผจญศึก
โดยสำนึกทางชนชั้น
รุกรบเข้าโรมรัน
สร้างที่มั่น-มีพรรคนำ
ศักดิ์ศรีมนุษย์ชน
ใช่จำนนต่ออธรรม
เหยียดหยามว่าเราต่ำ
เขาตอกย้ำและย่ำยี
ถึงเวลาลุกขี้นสู้
เข้ากอบกู้สิทธิ์ เสรี
ขจัดเหล่าไพรี
บดขยี้ให้แหลกไป
มาเถิด มาร่วมสร้าง
แผ้วถางทางสู่วันใหม่
ประชาธิปไตย
ประชาชนจักเป็นใหญ่... ในแผ่นดิน

19 กุมภาพันธ์ 2557


บันทึกถึง “ลุงแปลก”ถาวร จุลเศวต โดย  ยุทธศิลป์ จันทร์อำไพ

ถาวร จุลเศวต เกิดเมื่อวันที่ 10   ธันวาคม  พ.ศ. 2475  ณ บ้านปาก ตำบลหูล่อง  อำเภอปากพนัง  จังหวัดนครศรีธรรมราช  มีชื่อเดิมว่าล้อม  ขาวรอด ถาวรเป็น อดีตนักศึกษา มธก. คณะนิติศาสตร์
ผมได้พบกับลุง เมื่อราวๆ ต้นปี 2552 ในการเคลื่อนไหวปัญหาที่ดินทำกินฯ ซึ่งลุงได้ช่วยชักชวน สหายรุ่นลูกหลานมาช่วยผลักดันภารกิจอย่างเอาการเอางาน ลุงแปลกเข้าพำนักอยู่ในพื้นที่การต่อสู้ ที่ ต.ไทรทอง อ. ชัยบุรี จ. สุราษฎร์ฯ ประมาณ กลางปี 52- ปี 54 ต่อมาในปี 55 ได้ไปอยู่กับสหาย ที่ อ.บางขัน จ.นครศรีฯ และเข้าร่วมการผลักดันให้ร้ฐนำที่ดินสวน ยางพารา ประมาณ 1,200 ไร่ มาปฎิรูปให้มวลชน ซึ่งสหายรุ่นลูกคนดังกล่าวเป็นแกนนำ

ลุง เสียชีวิตในพื้นที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ซึ่งถูกยึดครองโดยมวลชน ที่ ชุมชนทุ่งทับควาย (สมาชิกของ สกต.) ต.วังหิน อ.บางขัน จ.นครศรีฯ ด้วยโรคมะเร็งตับ มีน้องสาว แท้ของลุง และสหายคือคุณเชิง คุณแกน คุณสำเนียง ตลอดทั้งสมาชิกชุมชน เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งช่วงอยู่ รพ.มหาราช จนหมอบอกให้มารอวันสิ้นใจที่บ้าน รวมเวลาป่วย ประมาณ 1 เดือน

ลุง ถาวร (หรือ ลุงแปลก ซึ่ง เป็นชื่อที่มวลชนตั้งให้เพราะชอบทำอะไร แปลกๆ ในสายตาของเขา) ลุงแปลก เคลื่อนไหวอยู่ที่เขต 33 เหนือน้ำตกกระโรม รอยต่อ อ.ลานสะกา-อ.พรหมคีรี จ.นครศรีฯ มีภารกิจต้องเดินทางมาประชุมที่ค่าย 508 หรือช่องช้าง อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ฯ เป็นระยะๆ โดยเดินผ่านสันเย็น เทือกเขาหลวงนครศรีฯ กว่าจะมาถึงที่ประชุมก็ต้องนอนกลางทาง 1 คืน บางครั้งก็ไปดูแลความเรียบร้อยของงานทาง อ.ร่อนพิบูลย์ ด้วย (อดีตทหารพิทักษ์ ที่ดูแลลุงในช่วงปี 2520-2521เป็นผู้บอกเล่า)
ลุงแปลก เป็นนักประสานสร้างแนวร่วม แม้แต่กับนักเลงผู้มีอิทธิพล ในท้องถิ่น ทั้งนี้ก็อาศัยทั้งบารมีของพรรคฯ และทักษะ บุคลิกภาพเฉพาะตัว การบริหารคนแต่ละคนให้เกิดประโยชน์กับงานที่พรรคฯ มอบหมาย
อดีตทหารพิทักษ์คนที่ผมได้พูดคุยด้วย ได้สรุปอุปนิสัยของลุงแปลก ดังนี้ 1. ปฏิบัติตนตามวินัย10 ข้อ ของ ทปท. อย่างเคร่งครัด 2. เป็นคนประหยัด ทำตัวไม่ให้เป็นภาระผู้อื่น เสื้อผ้าปะชุนเอง อยู่ง่าย กินง่าย 3. เป็นคนที่เตรียมพร้อมสูง
สำหรับผมเองเท่าที่ได้รู้จักกับลุง เห็นว่าลุงเป็นคนที่จริงใจ เอื้อเฟื้อ ดูแลเอาใจใส่มิตรสหาย สูงมาก และแม้จะอยู่ในวัยชราแต่ก็มีความอดทน สนใจในการศึกษาแลกเปลี่ยนทางการเมืองสูง สามารถอดตาหลับขับตานอน เพื่อได้ร่วมพูดคุยเรื่องการเมือง และการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลชน ลุงมีความสนใจพิเศษเกี่ยวกับข่าวสารความเป็นไปทางสากลทั้งด้านเศรษฐกิจและ การเมือง

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คำสั่งศาลแพ่งคือจุดเปลี่ยน

ที่มา ประชาไท



คำสั่งศาลแพ่งที่ให้รัฐบาลระงับมาตรการทั้ง 9 ประการภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นับเป็นจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ระหว่างพวกเผด็จการกับฝ่าย ประชาธิปไตย

ก่อนหน้านี้ แม้ฝ่ายจารีตนิยมจะใช้ตุลาการเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรและเครือข่ายมาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยในช่วงปี 2549-50 ถึงรัฐบาลพรรคพลังประชาชนในปี 2551 แต่องค์กรเหล่านั้น ก็ยังเป็นเพียงองค์กรเฉพาะในรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ บุคลากรก็มีสถานะเป็น “กรรมการ” หรือ “ตุลาการ” ที่ไม่ใช่ “ผู้พิพากษา”

องค์กรตุลาการ เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้อมกรอบและจำกัดบทบาทของพรรคการเมืองและนักการ เมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจเพียงยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ลงโทษเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่มิได้มีบทบาทครอบคลุมไปถึงสวัสดิภาพและการดำเนินชีวิตโดยตรงของประชาชน ทั่วไป การที่พวกจารีตนิยมใช้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือไปทำลายพรรคการเมืองฝ่าย ประชาธิปไตยถึงจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนที่เลือกนักการเมืองและพรรค การเมืองนั้น ๆ เข้ามา แต่ก็ยังไม่กระทบถึงสิทธิ์ในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนโดยตรง

ผล ที่ตามมาในเวลานั้นก็คือ “ความเสื่อม” ในสถานะความน่าเชื่อถือขององค์กรเหล่านี้ ทำให้ประชาชนได้เห็นเนื้อแท้ขององค์กรเหล่านี้ว่า เป็นเพียงมือเท้าของพวกจารีตนิยมในทำลายพรรคฝ่ายประชาธิปไตยและรักษาไว้ซึ่ง สถานะอภิสิทธิ์ชนของพวกเขาเท่านั้น แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่กระทบศาลยุติธรรม ซึ่งในขณะนั้นยังมิได้แสดงบทบาททางการเมืองอย่างเด่นชัดนอกเหนือไปจาก “คดีการเมือง” เช่น คดีป.อาญาม.112 ซึ่งยังถูกมองว่า “เป็นกรณีพิเศษ” เท่านั้น

แต่ในการรุกครั้งใหญ่ของพวกจารีตนิยมในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน ศาลยุติธรรมก็ได้มีบทบาทอย่างเด่นชัดในการระงับการใช้อำนาจโดยเจ้าหน้าที่ ตำรวจตาม พรก.ฉุกเฉินในกรณีเฉพาะหลายครั้งด้วยกัน กระทั่ง คำสั่งศาลแพ่งที่ห้ามรัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรการ 9 ข้อภายใต้ พรก.ฉุกเฉินนั้น ถึงแม้จะมิได้ยกเลิก พรก. แต่รัฐบาลและตำรวจก็ไม่สามารถใช้อำนาจตาม พรก.ได้อีกต่อไป จึงเท่ากับมีผลในทางปฏิบัติเสมือนยกเลิก พรก.ฉุกเฉินไปแล้วนั่นเอง ทั้งหมดนี้มีผลสะเทือนถึงรากฐานทางนิติรัฐของสังคมไทยโดยตรง เพราะศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่ในการตีความและบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครอง สิทธิ์เสรีภาพในชีวิตประจำวันของประชาชน ยึดหลักการนิติรัฐที่ทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ก็เพื่อให้ผู้ปกครองและประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมอย่างสันติ

นัย หนึ่ง ศาลยุติธรรรมคือ “ปราการด่านสุดท้าย” ของสังคมที่ซึ่งผู้ปกครองและประชาชนจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ศาลเป็นหลักยึดทางกฎหมายที่ทำให้ประชาชน “ยินยอมพร้อมใจ” ที่จะอยู่ใต้การปกครอง หากพ้นไปจาก “ปราการด่านสุดท้าย” นี้แล้ว สังคมก็คือ บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไร้กฎหมาย ที่ผู้ปกครองกดขี่ประชาชนได้ตามอำเภอใจนั่นเอง

หากว่า ศาลยุติธรรมในประเทศใด ๆ ก็ตามมีบทบาทเด่นชัดทางการเมือง ศาลในประเทศนั้นก็จะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจในหมู่ประชาชนไป สิ่งที่ตามมาก็คือ ศาลของประเทศนั้นก็จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในที่สุด ถึงแม้ว่าศาลจะมีสถานะพิเศษที่ได้รับการคุ้มครองจาก “การดูหมิ่น” ก็ตาม

ใน สถานการณ์ปัจจุบันที่พวกจารีตนิยมใช้กลุ่มมวลชนอันธพาลติดอาวุธบนท้องถนน ประสานกับกลุ่มทหาร สื่อมวลชนและองค์กรวิชาชีพที่เป็นเครือข่ายอุปถัมป์ เคลื่อนไหวล้มล้างนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

พร ก.ฉุกเฉินก็คืออาวุธทางกฎหมายที่รัฐบาลจะใช้ในการรับมือกับการกระทำรุนแรง ของกลุ่มอันธพาลติดอาวุธ และปกป้องสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ บัดนี้ รัฐบาลก็ไม่มีเครื่องมือที่จะใช้ป้องกันตนและปกป้องประชาชนได้อีกต่อไป นับแต่นี้ไป กลุ่มอันธพาลจะยิ่งใช้มาตรการรุนแรงที่ละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนทั่วไป เพื่อล้มล้างรัฐบาลได้โดยปราศจากการขัดขวางแต่อย่างใด

นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐบาลจึงกำลังตกอยู่ในสถานะที่สุ่มเสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง ที่จะถูกกระทำด้วยมาตรการรุนแรงต่าง ๆ จากกลุ่มอันธพาลติดอาวุธ ณ เวลาและสถานที่ที่พวกนั้นต้องการ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ดำเนินมาตรการขัดขวางเนื่องจากขาดการคุ้มครอง ทางกฎหมาย

ประเทศไทยได้มาถึงจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง เมื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มอันธพาลบนถนนรู้สึกว่า ตนมิได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ตามกฎหมาย เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมไม่สามารถอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ได้อีกต่อไป และกลับตกอยู่สภาพที่ “เป็ดง่อยที่ถูกรัฐประหารโดยตุลาการและกลุ่มมวลชนติดอาวุธ”

ใน สถานการณ์อันคับขันเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีจะต้องเสริมสร้างสภาวะผู้นำของตนออกมาให้ชัดเจนโดยเร็ว ยุติความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะประนีประนอมและรอคอยความเมตตาจากพวกจารีตนิยม จุดมุ่งหมายของคนพวกนั้นคือการทำลายพ.ต.ท.ทักษิณและนายกฯยิ่งลักษณ์ ตระกูลชินวัตร ตลอดจนเครือข่ายทั้งหมดอย่างถึงที่สุด “สัญญาณบวก” ใด ๆ ล้วนหลอกลวงที่จะตามมาด้วยการฟาดฟันที่รุนแรงยิ่งขึ้น เหมือนที่เป็นมาแล้วทุกครั้งในอดีต ตระกูลชินวัตรมีแต่ตั้งหน้าสู้อย่างเด็ดเดี่ยวโดยอาศัยพลังสนับสนุนของ ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น จึงจะอยู่รอดได้

ขณะนี้ กรุงเทพฯได้กลายเป็นฐานที่มั่นทางทหารและการเมืองของพวกจารีตนิยมอย่างเต็ม รูปแบบ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ดำรงอยู่ในกรุงเทพฯเสมือนเป็น “กวางน้อย” ในทุ่งโล่งที่ล้อมรอบไปด้วยฝูงสิงโตกระหายเลือด รอวันที่จะถูกปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ และกองทัพรุมขย้ำ นายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลจะต้อง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว แหวกวงล้อมอำมหิตนี้ออกไปโดยเร่งด่วน ย้ายศูนย์บัญชาการของรัฐบาลสู่ฐานที่มั่นในภูมิภาค แล้วเร่งดำเนินการเสริมสร้างอำนาจรัฐของตนบนฐานการสนับสนุนของมวลชนอันเข้ม แข็งในพื้นที่

นายกรัฐมนตรีต้องยืนหยัดไม่ยอมรับอำนาจและ การชี้ขาดของ ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรตุลาการใด ๆ ที่มิได้มาจากอำนาจอธิปไตยของปวงชน และนายกรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งไปก็ด้วยขั้นตอนที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น

รัฐบาล ต้องเร่งสร้างเสริมอาสาสมัครปกป้องประชาธิปไตยขึ้นทั่วประเทศ เปิดกว้างให้มวลชนในทุกพื้นที่ได้เข้าร่วมอย่างกว้างขวางและเป็นจำนวนมากที่ สุดในฐานะเป็นกองสนับสนุน เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการต่อสู้ต่อต้านการรุกของพวกเผด็จการในกรุงเทพฯที่จะ กระทำต่อฝ่ายประชาธิปไตย ยิ่งรัฐบาลยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคได้ยืดเยื้อนานเท่าไร แรงสนับสนุนจากมวลชนและมิตรต่างชาติก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น พวกเผด็จการก็ยิ่งขาดความชอบธรรมและก็จะค่อย ๆ อ่อนกำลังลงและพ่ายแพ้ไป

มี แต่การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ลุกขึ้นยืนแล้วสู้กับการรุกของฝ่ายเผด็จการ อาศัยความสนับสนุนอันแข็งขันจากประชาชนทั่วประเทศและเพื่อนมิตรนานาประเทศ เท่านั้น ฝ่ายประชาธิปไตยจึงจะอยู่รอดและได้รับชัยชนะในที่สุด

สัมภาษณ์ประจักษ์ ก้องกีรติ: ขบวนการประชาชนต่อต้านประชาธิปไตย และแนวโน้มความรุนแรง

ที่มา ประชาไท

Fri, 2014-02-28 12:54

สัมภาษณ์: พิณผกา งามสม/ทวีพร คุ้มเมธา

วีดีโอ: บัณฑิต เอื้อวัฒนานุกูล



ประชาไทคุยกับประจักษ์ ก้องกีรติ ในฐานะนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องความรุนแรงในการเมืองไทย เพื่อให้เขาประเมินความรุนแรงจากนี้ไป ซึ่งเขาเห็นว่าทางออกอย่างสันตินั้นตีบตัน เพราะขบวนการฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยนั้นสู้อย่างเทหมดหน้าตัก ไม่เปิดทางถอยให้ตัวเอง พร้อมทั้งจะฉวยใช้โอกาสนี้ในการจัดระเบียบการเมืองใหม่ทั้งหมด ที่นอกจากจะทำลายทักษิณแล้ว ต่อไปนี้จะคอนโทรลอำนาจของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อตอบโจทย์ว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้นักเลือกตั้งและเสียงส่วนใหญ่ของ ประชาชนมีอำนาจมากเกินไป แล้วก็จะทำให้ฝ่ายของตนมีอำนาจอยู่ในระบบและอยู่ได้ยาว
ประชาไทยังถามเขาถึงประเด็น ไทยเหนือ-ไทยใต้ที่เป็นกระแสอยู่ในสังคมซึ่งเขาเห็นว่าเป็นไปได้ยากในความ เป็นจริง กระแสแบ่งแยกประเทศนั้นเป็นได้อย่างมากที่สุดขณะนี้คือการสะท้อนอารมณ์ของคน ในสังคม
ทำความเข้าใจกับมวลชน กปปส. ก่อนที่อาจารย์เคยตั้งข้อสังเกตว่ามวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอาจจะ ไม่ใช่ตัวสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยก็ได้ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มมวลชนขนาดใหญ่อาจจะมีสภาพของการต่อต้าน ประชาธิปไตยก็ได้ กปปส. อยู่ในเงื่อนไขไหน
ก็เข้าข่ายเงื่อนไขนี้นี่แหละ คือไม่ใช่ว่าขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนทุกขบวนการจะเป็น Democratic Movement หรือขบวนการที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวภาคประชาชน ปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมไทยคือ คำนี้มันไปถูกทำให้โรแมนติกว่าภาคประชาชนคือความสวยงาม คืออำนาจของผู้ไร้อำนาจ คือการแสดงเจตนารมณ์ของประชาชน ทุกอย่างดูงดงาม แต่ว่าจากบทเรียนของต่างประเทศ การเคลื่อนไหวของประชาชนมันอาจจะไม่เป็นประชาธิปไตยเสมอไป  คืออาจจะใช้พื้นที่ของประชาสังคมนี่แหละ เคลื่อนไหวในนามของประชาชนแต่ว่าเพื่อโค่นล้มทำลายประชาธิปไตย หรือจำกัดพื้นที่ของประชาธิปไตย
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมัน มีความซับซ้อนกว่านั้นใช่ไหม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็อาจจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาเช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน การคอร์รัปชั่นหรืออะไรก็ตามแต่ คำว่าประชาธิปไตยมันซับซ้อนขึ้นแล้ว จุดนี้หรือเปล่าที่ทำให้มวลชนก็ต้องเลือกว่าจะเอาประชาธิปไตย เอาหลักการ หรือจะเอารัฐบาลที่ดี
ใช่ ถูกต้อง ประเด็นนี้ไม่ปฏิเสธหรอกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลายประเทศในโลกมันมี ปัญหาประเด็นเรื่องความชอบธรรมของประชาธิปไตยแบบตัวแทนมันกำลังถูกตั้งคำถาม ทั่วโลก สิ่งที่เรียกว่า Representative Democracy คือประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งแต่ปรากฏว่าทำงานไม่ตอบสนองประชาชน ถูกคอนโทรลโดยกลุ่มทุน โดยชนชั้นนำ หรือว่าใช้อำนาจแบบบิดเบือน พูดง่ายๆ โจทย์เหล่านี้ที่ถูกหยิบยกมาพูดในสังคมไทยมันไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะของสังคม ไทย มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
แต่ว่าในขณะเดียวกันวิธีที่จะต่อสู้กับประชาธิปไตยแบบนี้มันก็ต้องเป็น วิธีการที่เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่า ถ้าโจทย์เราคือทำให้ประชาธิปไตยมันมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รัฐถูกตรวจสอบได้ เพราะถึงที่สุดประชาธิปไตยมันคือการเพิ่มอำนาจของประชาชน และลดอำนาจรัฐ
แต่ถ้าประชาชนเคลื่อนไหวในลักษณะที่มันต่อต้านประชาธิปไตยเสียเอง ในกระบวนการนั้นกลายเป็นว่าในสังคมนั้นคือต่อสู้เสร็จประชาธิปไตยมันกลับ ยิ่งน้อยลง แทนที่จะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น การที่บอกว่ารัฐบาลเป็นเผด็จการทรราชเสียงข้างมากกดขี่เสียงข้างน้อย แต่พอต่อสู้เสร็จ เป้าหมายของคุณคือไปสถาปนาเผด็จการเสียงข้างน้อยขึ้นมาเลยอย่างเป็นทางการ นี่กลายเป็นว่ายิ่งหนักข้อยิ่งกว่าเดิมนะ ที่เราพูดถึงปัญหาเมื่อตอนต้นก็คือปัญหานี้แหละ ว่าเพื่อต่อสู้จำกัดอำนาจของรัฐบาลที่มันไม่ชอบธรรม คุณก็ต้องมีวิธีการต่อสู้ที่มันชอบธรรมยิ่งกว่ารัฐบาล คุณก็ต้องเดินอยู่บนหนทางประชาธิปไตย และยิ่งไม่ใช่การต่อสู้เพื่อทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแต่เอาอำนาจไป ให้ชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่ง ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันก็เป็นการเมืองแบบน้ำเน่า
มองว่าข้อเรียกร้องของ กปปส. และการเคลื่อนไหวขณะนี้หลุดลอยไปจากหลักการประชาธิปไตย
เอา ตั้งแต่เรื่องข้อเสนอสภาประชาชนซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่จะมีอำนาจอยู่ตั้ง 18 เดือน ซึ่งอย่างนี้มันก็ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้วไง เพราะว่าที่มาของอำนาจมันไม่ชอบธรรม เวลาคุณโจมตีรัฐบาลทักษิณบอกว่าใช้อำนาจไม่ชอบธรรม มันมีส่วนถูก แต่อย่างน้อยที่มาของรัฐบาลในโลกนี้ในปัจจุบันมันก็ต้องชอบธรรมด้วย คือมันต้องมาจากการเลือกตั้งซึ่งประชาชนทั้งประเทศมีส่วนร่วม
ทีนี้การที่ตั้งสภาประชาชนแล้วมีอำนาจ ใช้อำนาจนิติบัญญัติ บริหารเลย 18 เดือน โดยประชาชนทั้งประเทศไม่ได้มีส่วนร่วม ในแง่นี้มันก็ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว หรือยังไม่ต้องพูดถึงปัญหารูปธรรมที่มันเกิดขึ้นก็คือ เช่น การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ แล้วกลุ่มผู้ชุมนุมใช้สิทธิไปขัดขวางการเลือกตั้งของคนอื่น อันนี้มันคือการทำลายกระบวนการประชาธิปไตยเลยไง และลิดรอนสิทธิของคนอื่น อันนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยของ กปปส.
คือข้อเรียกร้องหลายอย่างของ กปปส. ก็ชอบธรรมนะ และหลายๆ อย่างก็น่าสนับสนุน เช่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายนักวิชาการก็เสนอมาตั้งนานแล้ว เรียกร้องมาตั้งนานแล้ว คือมันมีข้อเรียกร้องปลีกย่อยบางข้อที่น่ารับฟังและมีความเป็นประชาธิปไตย แต่เป้าหมายใหญ่และวิธีการต่อสู้ตอนนี้มันออกห่างจากความเป็นประชาธิปไตยไป เยอะมากแล้ว
ตอนนี้ มวลชนกปปส. แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่เอาประชาธิปไตย มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
จริงๆ มันเป็นปรากฏการณ์ใหม่นะ เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ น่าจะเรียกได้ว่า กปปส. เป็นขบวนการเคลื่อนไหวขบวนการแรกที่เดินมาถึงจุดที่ต่อต้านประชาธิปไตย ต่อต้านระบบประชาธิปไตย เป็นขบวนการแรกของไทย ไม่ใช่แค่ต่อต้านรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือนโยบายอันหนึ่ง แต่ว่าต่อต้านกระบวนการประชาธิปไตยแล้วก็ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาเอง ก็สะท้อนออกมาในทางรูปธรรมก็คือปฏิเสธการเลือกตั้งในฐานะกระบวนการขึ้นสู่ อำนาจ
คือขบวนการที่ผ่านมาในอดีต ที่เราเคยมีมันเป็นขบวนการที่ต่อต้านรัฐบาล หรือต่อต้านนโยบายบางอย่างที่ไม่ชอบธรรม ต่อต้านโครงการบางอย่าง แต่ไม่เคยถึงขั้นลุกออกมาต่อต้านตัวระบอบประชาธิปไตยบอกว่าฉันไม่เอาแล้วการ เลือกตั้ง คืออย่างตอนขบวนการชาวบ้านสมัยก่อน สมัชชาคนจน เขายอมรับความชอบธรรมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ยอมรับประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่เขารู้สึกว่ารัฐบาลตัวแทนมันไม่ได้เรื่อง ไม่สนใจไม่เห็นหัวคนจน เขาก็ออกมาประท้วงให้รัฐบาลแก้ปัญหา แต่เขาไม่ได้ต้องการโค่นล้มรัฐบาล และไม่ได้ปฏิเสธการเลือกตั้ง
หรืออย่างตอนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแม้จะมีบางอย่างเหมือนหรือ คล้ายกับ กปปส. คือพูดง่ายๆ กปปส. เป็นภาคต่อของพันธมิตร เป็นน้องฝาแฝด แต่เป็นน้องฝาแฝดที่ไปไกลกว่าพี่ตัวเอง เพราะว่าอย่างตอนพันธมิตรฯ ท้ายที่สุดตอนนั้นก็คือจะเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ได้ปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด ก็จนกระทั่งตอนหลังแกนนำพันธมิตรฯ บางคนยังมาจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ลงไปแข่งขันในระบบ ใช่ไหม หรืออย่างตอนการเลือกตั้งครั้งก่อน คือครั้งปี 2554 วันที่ 3 ก.ค. ตอนนั้นพันธมิตรฯ ก็รณรงค์ให้คนไปโหวตโน ก็คือยอมรับกระบวนการเลือกตั้งแต่ขอไม่เลือกพรรคไหนเลย ไม่ชอบ นักการเมืองมันเลว แต่ว่ายังรณรงค์ให้คนไปใช้สิทธิ ไปโหวตโน แต่ กปปส. นี่ ไปไกลกว่าในแง่นี้ก็คือว่าไม่ต้องไปร่วมเลย ไม่ต้องโหวตโนด้วยซ้ำ คือโนโหวต อย่าไปร่วมอะไรกับกระบวนการเลือกตั้งนี้ กระทั่งใช้สิทธิไปขัดขวางไม่ให้คนอื่นเลือกได้ อย่างในภาคใต้ ก็คือไปปิดไปรษณีย์ ไปปิดไม่ให้มีการลำเลียงหีบบัตรไปยังหน่วยต่างๆ จนคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายเขตเลยเลือกตั้งไม่ได้ บัตรส่งมาไม่ถึง คนในสามจังหวัดอยู่กับความรุนแรงมาตั้งหลายปี 7-8 ปียังใช้สิทธิเลือกตั้งได้ตลอด ไม่เคยถูกขัดขวาง ขนาดขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ยังไม่เคยมาขัดขวางการเลือกตั้งอ่ะ (หัวเราะ) คิดดู นั่นคือเขาจะแบ่งแยกประเทศเลยนะ ต่อสู้กับรัฐไทยเลย ไม่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐไทย แต่เขาไม่มาลิดรอนสิทธิของคนอื่น คนทั่วไปไง
ทีนี้ กปปส. ก็ประหลาด เป็นขบวนการที่ประหลาดในแง่นี้ คือบอกว่าเป็นขวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ว่าขัดขวางไม่ให้ประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น ฉะนั้นจริงๆ เรากำลังเจอกับอะไรที่มันใหม่มากและมันอันตราย มันน่ากังวลต่ออนาคตของประชาธิปไตยไทย เพราะเรากำลังมีมวลชนที่หลายแสนคน สมมติ หรือถ้าเชื่อตามที่คุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) แกอ้าง...เอ้อ 10 ล้าน (หัวเราะ) เอาเป็นว่าหลายแสนคนแล้วกัน ที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ต่อต้านทักษิณหรือรัฐบาลเพื่อไทย แต่บอกว่าระบอบประชาธิปไตยตอนนี้แบบที่เป็นอยู่ ที่สากลโลกเขาใช้เนี่ย-ไม่เอา การเลือกตั้งเนี่ย-ไม่เอา
กลไกต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระก็กำลังอยู่ในแนวทางที่จะเติมเต็มความต้องการของ กปปส. อยู่ แต่มันต้องไปถึงจุดไหนนึงจะเป็นที่พอใจของกปปส. แค่ไหน กปปส. ถึงจะหยุดได้
ก็คือเมื่อเขายึดอำนาจรัฐได้ ตั้งรัฎฐาธิปัตย์ได้ แล้วมีอำนาจในมือในการจัดระเบียบการเมืองใหม่ที่ทำให้เสียงข้างน้อยมีอำนาจ มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  นั้นคือเป้าหมาย
ซึ่งโมเดลนี้เคยเกิดขึ้นแล้วอย่าง น้อย 3 ครั้งหลังรัฐประหารเป็นต้นมา คือใช้ทั้งการรัฐประหาร ใช้กลไกตุลาการ กลไกองค์กรอิสระ ยุบพรรค ตัดสิทธิ ส.ส. ปลดนายกรัฐมนตรี แล้วก็ทำให้ประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลได้ แล้วที่สุดโมเดลแบบนี้ก็ต้องไปสู่การเลือกตั้งอยู่ดี แล้วก็พบว่ามันล้มเหลว ที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับการเลือกตั้ง แล้วครั้งนี้จะแตกต่างไปอย่างไร
ใช่ ที่พูดมานั้นถูกต้อง ในแง่นี้ก็คือว่าการเคลื่อนไหวนี้มันมีลักษณะที่สายตาสั้นเหมือนกันนะ คือมองไม่เห็นว่าจริงๆ แล้วยึดอำนาจไป คุณก็ปกครองไม่ได้ คุณก็บริหารไม่ได้ เพราะมันไม่มีความชอบธรรม แล้วคุณเผชิญกับฝ่ายค้านที่เขามีมวลชนที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐ ไทยแล้ว มีคนเป็นล้านๆ จะบริหารยังไง มันปกครองไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามันก็ต้องกลับมาสู่เกมการเลือกตั้ง เหมือนที่ คมช. ก็ต้องยึดอำนาจไปเสร็จ อีกปีนึงก็ต้องมาจัดการเลือกตั้ง แล้วใช้กลไกทุกวิถีทางแล้วในการจะช่วยพรรคประชาธิปัตย์ตอนนั้นกระทั่งว่าการ เลือกตั้งปี 2550 เป็นการเลือกตั้งภายใต้กฎอัยการศึก จังหวัดในอิสาน ในภาคเหนือเป็นเขตภายใต้กฎอัยการศึกเพื่อจะลิดรอนสิทธิของประชาชนและไม่ให้ หัวคะแนนฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวได้ ก็ยังแพ้การเลือกตั้งนะ นั่นใช้อำนาจเต็มรูปทุกอย่างแล้วเพื่อช่วยพรรคที่คุณต้องการให้เป็นรัฐบาล ก็ยังแพ้ หรืออย่างยุบพรรคปลดอะไรทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้ง ทีนี้ ในแง่นี้มันก็น่าเสียดายที่ฝ่ายชนชั้นนำมองไม่เห็นตรงนี้ว่าคุณทำไปมันก็วน กลับไปที่เดิมที่เราเคยเดินมาแล้ว แล้วในที่สุดภายใต้สภาวะปัจจุบันที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ปฏิรูป ไม่ปรับปรุงอะไรเลย อย่างที่เราเคยคุยกันคราวที่แล้ว ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็จะแพ้การเลือกตั้งอีก แล้วยังไง ก็คือ ฝ่ายทักษิณ ฝ่ายยิ่งลักษณ์ก็ชนะการเลือกตั้งกลับมา คุณก็จะต้องปลุกระดมมวลชนออกมาเคลื่อนไหวโค่นล้มอีกรอบ ก็วนลูปอยู่อย่างนี้
แต่ในแง่นี้สมมติว่าถ้าเรามองว่าเขาก็คงมองเห็นตรงนี้ ฝ่ายชนชั้นนำก็คงจะมองเห็นตรงนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่ามันก็ต้องมีการเตรียมการที่จะทำอะไรมากกว่าที่ทำหลังการ ปฏิวัติปี 2549 ก็คือเขาอาจจะสรุปบทเรียนว่าความผิดพลาดของการรัฐประหารปีที่แล้ว เขาหน่อมแน้มเกินไป คำที่พวกพันธมิตรฯ เขาวิจารณ์คมช. ก็คือหน่อมแน้มเกินไป ได้อำนาจรัฐไปอยู่ในมือแล้วไม่รู้จักใช้ ในการกำจัดและปราบปรามฝ่ายตรงกันข้าม ทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามอ่อนแอ ซึ่งถ้าเขาสรุปบทเรียนอย่างนี้จริงๆ ก็หมายความว่าถ้าครั้งนี้เขายึดอำนาจได้ก็คงต้องทำต่างจากคราวที่แล้ว ก็คือต้องเป็นเผด็จการมากกว่าคราวที่แล้ว ต้องร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นเผด็จการมากกว่าปี 2550 ถ้าเขาไม่อยากวนกลับไปที่เดิม ซึ่งนั่นก็น่ากลัว
การต้องพาตัวเองไปสู่จุดที่วางโมเดลไว้ให้ได้ คือการมีสภาประชาชน หรืออะไรก็ตาม ที่เขาสามารถจะควบคุมอำนาจรัฐได้
คุม อำนาจได้ และจำกัดอำนาจของเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ โจทย์ใหญ่ของเขาก็คือจะทำอย่างไรถึงจะสู้กับ Majoritarian Democracy ประชาธิปไตยแบบที่ทั่วโลกเขาใช้ ก็คือเสียงส่วนใหญ่มีอำนาจ
ทีนี้องค์ประกอบของ กปปส. ก็คือเขาเป็นเสียงส่วนน้อยในระบอบเลือกตั้ง ก็คือชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ และในเมืองต่างๆ กับในภาคใต้ ทั้งสองกลุ่มนี้มีปัญหาและความเข้าใจตรงกันก็คือ เลือกตั้งทีไรก็คือแพ้ เพราะทั้งสองกลุ่มเป็นเสียงส่วนน้อยชองประเทศ ทีนี้จะทำอย่างไรที่จะออกแบบระเบียบการเมืองใหม่ที่จะทำให้เสียงส่วนน้อย สามารถมีอำนาจได้ คือมันก็ต้องใช้มายากลเยอะมาก คือเล่นกลในการออกแบบระบบเลือกตั้งที่มันบิดเบือนมากที่จะทำให้เสียงส่วน น้อยขึ้นมามีอำนาจ
แปลว่าต้องมีองค์ประกอบอื่นด้วย ไม่ใช่เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ ที่ทำให้ กปปส. เคลื่อนมาถึงจุดนี้ได้
แน่นอนลำพัง ดารา เซเลป ไม่มีทางที่จะทำให้ม็อบมาได้ถึงขนาดนี้ มันไม่มีทาง ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว คือจริงๆ ม็อบนี้ประกอบด้วยประมาณ 4 องค์ประกอบหลัก ที่ทำให้มันมีพลังมากและยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน
หนึ่งก็คือ ผู้ชุมนุม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มจากรพันธมิตรฯ เก่า บวกกับชนชั้นกลางในเมืองและก็ฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ ซึ่งทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็น Minority Voter เป็นผู้เลือกตั้งเสียงส่วนน้อยในเกมการเลือกตั้ง
อีกกลุ่มคือ ผู้นำการประท้วง ซึ่งดูไปตั้งแต่ต้นก็คือนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่แพ้การเลือกตั้งมาโดยตลอด ในแง่นี้ความต้องการเขาบรรจบกัน แรงจูงใจในการประท้วง ก็คือนักการเมืองกับผู้เลือกตั้งที่เป็นพรรคเสียงข้างน้อย ฉะนั้นนักการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์เขาก็ไม่พอใจระบอบที่เป็นอยู่ เขาก็ต้องการเปลี่ยนให้มีระเบียบการเมืองใหม่ที่จะทำให้พรรคของเขาสามารถมี อำนาจได้มากกว่าเดิม โดยไม่ต้องเล่นภายใต้กติกาที่เป็นอยู่ เพราะไม่เช่นนั้นก็คือแพ้ตลอดกาล มันเหมือนประชาธิปัตย์ยอมแพ้แล้วกับระบบที่เป็นอยู่ ไม่เล่นแล้วกับกติกาอันนี้ที่ทั่วโลกเขาเล่นกัน เพราะว่าเล่นกี่ครั้งก็แพ้ ฉะนั้นก็คือเทหมดหน้าตัก โดยหวังว่าถ้าชนะครั้งนี้ได้จะสามารถจัดระเบียบการเมืองใหม่
กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มชนชั้นนำ คือกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังคุณสุเทพที่เป็นเครือข่ายชนชั้นนำที่มหึมามาก สาวไปแล้วเราจะเห็นเป็นใยแมงมุม ซึ่งใหญ่โตมหึมา ประกอบด้วยทั้งชนชั้นนำเก่า เทคโนแครต นายกสภามหาวิทยาลัย ตุลาการ องค์กรอิสระทั้งหลาย นักธุรกิจชั้นนำจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นนำที่เคยมีส่วนร่วมในการคุม ประเทศนี้อยู่ แล้ววันหนึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 การขึ้นมาของทักษิณ การขึ้นมาของมวลชนแบบใหม่ที่มาสนับสนุนทักษิณมันได้เปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ ของการเมืองไทยไป และอำนาจคนกลุ่มนี้ถูกริดรอน ฉะนั้นเขาก็ต้องการทำลายทั้งหมดนี้ ทำลายประชาธิปไตยเสียงส่วนใหญ่ เพื่อรื้อฟื้นอำนาจเขากลับคืนมา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เมืองไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่สุด ตั้งแต่หลัง 2475 เป็นต้นมา ในสภาวะแบบนี้ ชนชั้นนำกลุ่มนี้ก็มีเดิมพันสูงไง คือมันไม่ใช่แค่เรื่องพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้หรือชนะเลือกตั้งเท่านั้น คือสำหรับคนอย่างสุเทพ หรือคนของพรรคประชาธิปัตย์ เดิมพันที่เขามาเคลื่อนไหวคือพรรคแพ้หรือชนะเลือกตั้ง ประชาชนที่มาชุมนุมก็อาจจะเป็นเรื่องเกลียดชังทักษิณ เกลียดชังการคอร์รัปชั่น เกลียดชังการใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่สำหรับชนชั้นนำ เดิมพันเขาสูงกว่านี้ ถึงที่สุดชนชั้นนำเขาไม่ได้แคร์มากหรอกว่าประชาธิปัตย์จะแพ้หรือชนะเลือก ตั้ง แต่สิ่งที่เขาต้องการคือในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จะทำอย่างไรที่จะสร้าง ระเบียบการเมืองใหม่ขึ้นมา ที่จะสามารถการันตีว่าสถานะและผลประโยชน์ของเขาจะถูกค้ำจุนได้ต่อไปในช่วง เปลี่ยนผ่านนี้ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล
คือเวลาเราพูดเรื่องโมเดลเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ มีการแก้โครงสร้าง แต่จะไปถึงจุดนั้น มันต้องผ่านความรุนแรงไปก่อนหรือเปล่า
ใช่ เพราะว่าจะทำสิ่งนั้นได้ ก็ต้องยึดอำนาจรัฐ เพราฉะนั้นคณะบุคคล Man of the state นั่นน่ะ ภาษาไทยเขาเรียกตัวเองว่ากลุ่มรัฐบุคคล สภาผู้เฒ่าเนี่ย กลุ่มนี้เขารู้ว่าไอ้ที่เคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้มันยังเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก มันต้องยึดอำนาจรัฐ มันต้องเป็นรัฎฐาธิปัตย์ด้วยตัวเองมันถึงจะมีอำนาจไปจัดระเบียบการเมืองใหม่ ได้ ซึ่งจะไปสู่จัดนั้นได้มันต้องมีการรัฐประหารโดยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะโดยทหาร หรือว่าโดยตุลาการ
ตอนนี้เราถึงจุดที่มีคนตายไปกว่า 20 คนแล้ว นับจาก กปปส. เริ่มเคลื่อนไหวมา ตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของเส้นทางไปสู่เป้าหมายของ กปปส.
ผมว่า เขามาถึงกลางทางแล้ว คือภารกิจนี้ในแง่หนึ่งคือการเข็นครกขึ้นภูเขาเพราะมันเป็นความพยายามที่จะ เปลี่ยนโครงสร้างการเมืองของประเทศด้วยวิถีทางที่ไมเป็นประชาธิปไตยและนอก รัฐธรรมนูญ ซึ่งในแง่หนึ่งมันทำไม่ได้ ฉะนั้น เพื่อจะให้โปรเจ็กต์นี้บรรลุ เขาต้องละเมิดกติกาหลายอย่างมาก และต้องทำอะไรพิสดารหลายอย่างมาก ถึงจะบรรลุเป้าหมายได้ มันก็คือการเข็นครกขึ้นภูเขา มันยากมาก จริงๆ ไม่ใช่ง่ายนะ คือฝั่งรัฐบาลก็เผชิญโจทย์ที่ยาก แต่จริงๆ รัฐบาลก็ยังเกาะกับหลักการประชาธิปไตยสากลเอาไว้ ก็สู้โดยยันหลักการอันนี้ไป แต่แน่นอนว่ายาก แต่จริงๆ ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยกำลังทำภารกิจที่มันยากยิ่งกว่า เพราะว่ามันต้องออกนอกกติกาเยอะมาก จะทำอย่างไรไม่ให้ต่างชาติบอยคอต หรือต่อต้าน ทำอย่างไรให้ประชาชนในประเทศรับได้ ไม่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านสิ่งที่เขากำลังจะทำ ฉะนั้นจริงๆ มันทำอะไรที่ฝืนวิสัยมาก แต่เขาก็ทำมาเยอะแล้ว แล้วตอนนี้ก็คือเข็นมาถึงครึ่งทางแล้ว แต่ว่ามันปิดเกมไม่ได้ไง คือลำพังมวลชนในโลกนี้มันไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลได้ด้วยตัวเอง มันต้องมีคนมาปิดเกม เหมือนเตะตะกร้อ คือมวลชนมีหน้าที่เตะลูกชงขึ้นไปหน้าเน็ต แล้วก็มีคนมาปิดเกม ซึ่งที่ผ่านมาในเมืองไทยก็คือทหารเป็นคนมาปิดเกมให้ด้วยการรัฐประหาร
แต่พลเอกประยุทธ์ ก็เพิ่งออกมาพูดว่าจะไม่ปิดเกมเร็วๆ นี้
ใช่ ก็ค่อนข้างหนักแน่น และจริงๆ คือก็เข้าใจได้ เพราะทหารก็คงรู้ว่าถ้ารัฐประหารแล้วมันจบไม่สวย คือคุณประยุทธ์แกก็จะเกษียณตุลาคมนี้แล้ว แกก็อยากจบชีวิตแบบสบายๆ สวยงาม มากกว่าที่จะต้องมาแบกภารกิจอันนี้ซึ่งแกก็รู้ว่ามันหนักหน่วงมาก เพราะการรัฐประหาร 2549 มันยังไม่มีเสื้อแดงไง มันไม่มีใครออกมาต่อต้าน แต่ตอนนี้ ถ้าคุณจะทำรัฐประหารคราวนี้มันเป็นการรัฐประหารในบริบทที่มีมวลชนพร้อมจะออก มาต่อต้านแล้ว เสื้อแดงก็ออกมาชุมนุมแล้วไง ประกาศให้รู้ว่าถ้ารัฐประหารเขาก็พร้อมจะออกมาแน่ ทีนี้การยึดอำนาจมันไม่เคยยากหรอก เมืองไทยมันไม่เคยยาก เมื่อไหร่ที่มีการยุดอำนาจแทบไม่เคยมีการนองเลือดในประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ หลัง 2475 เป็นต้นมา เพราะคุณคุมกองทัพได้หมด คุณเคลื่อนรถถังออกมา คุณไปยึดทำเนียบ ไปยึดสถานีวิทยุ ไปยึดสถานีโทรทัศน์ คุณก็ยึดได้ แต่หลังจากนั้นคุณจะปกครองได้หรือเปล่า อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันนี้มันยากกว่าปี 2549 เป็นสิบเท่า เพราะว่าความแยกมันลงไปลึกถึงระดับครอบครัวแล้ว กระทั่งในกองทัพเองก็มีทหารแตงโม ฉะนั้นคุณจะคอนโทรลได้หรือเปล่า แค่ในกองทัพคุณเอง ยังไม่ต้องพูดถึงตำรวจกับทหาร มันก็มีความตึงเครียดกันอยู่แล้ว แล้วก็ขบวนการมวลชนอีกเป็นล้านๆ ในภาคเหนือกับภาคอิสาน กองทัพจะเป็นอย่างไรถ้ามีมวลชนออกมาต่อต้านในทุกจังหวัด ฉะนั้นทหารก็รู้ ทหารก็มีสายข่าวอยู่ทุกจังหวัด ทำงานมวลชน ฉะนั้นเขาก็รู้สภาพการณ์นี้ทำให้จนถึงวันนี้ยังไม่มีการรัฐประหารโดยกองทัพ ไง เพราะว่าไม่อยากเอาคอมาขึ้นเขียง
แต่ถ้าเราเชื่อ ว่าการประกาศของ กปปส. ว่า นี่เป็นสงครามครั้งสุดท้าย มันก็ดูจะเป็นคำประกาศี่หนักแน่นกว่าคำประกาศของพันธมิตรฯ มันอาจจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายจริงๆ ฉะนั้น กปปส. จะต้องพยายามทุกวิถีทางให้ปิดเกมให้ได้ แล้วจากจุดนี้ เดินมาถึงครึ่งทางแล้วยังไม่มีคนมาช่วยปิดเกม จะต้องมีความรุนแรง ภาวะที่ควบคุมไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นถัดจากนี้ไป จะมีอีกมากใช่ไหม
ใช่ เพื่อที่จะกดดันให้ทหารต้องออกมารัฐประหาร เขาก็ต้องสร้างสถานการณ์ให้มันดูปั่นป่วนวุ่นวายมากที่สุด ให้เกิดสภาวะรัฐล้มเหลวมากที่สุด ให้เห็นสภาพว่ารัฐบาลนี้ปกครองอะไรไม่ได้แล้ว และประเทศเกิดความระส่ำระสาย ชีวิตของประชาชนทั่วไปไม่มีความปลอดภัย
เหมือนเป็น conspiracy ว่า ความรุนแรงน่าจะมาจากฝ่าย กปปส.
ไม่จำเป็น ผมคิดว่าความรุนแรงมากจากหลายส่วน มีกลุ่มก่อความรุนแรงมากกว่าหนึ่งกลุ่ม ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน ผู้เชี่ยวชาญในการใช้ความรุนแรงมีเยอะในประเทศนี้มันหาไม่ยากหรอก
เพื่อจะตอบคำถาม จากที่ผมทำวิจัยเอาแค่ว่าเวลาเลือกตั้งแต่ละครั้ง ตำรวจจะรวบรวมรายชื่อบัญชีมือปืนทั่วประเทศ จนกระทั่งครั้งล่าสุดก็ยังมีมือปืนรับจ้างทั่วประเทศประมาณ 800-900 คนที่เราสามารถไปจ้างได้ มีเงิน 50,000 บาท ไปจ้างมือปืนมายิงนายก อบต.ได้
ฉะนั้น แค่มือปืนรับจ้างอย่างเดียว 800-900 คนทั่วประเทศ นี่ยังไม่นับผู้เชี่ยวชาญความรุนแรงที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อย่าง ตำรวจ ทหาร ถึงที่สุดโดยคำนิยาม ก็คือผู้เชี่ยวชาญที่ถูกฝึกมาให้ใช้ความรุนแรง ซึ่งในภาวะที่รัฐแตกระส่ำระสายขนาดนี้ ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปทำงานกับม็อบต่างๆ ที่ไปแฝงตัวไปเป็นการ์ด เป็นกองกำลังเสริม ฉะนั้น ในแง่นี้ไม่ยากหรอกที่ฝ่ายไหนจะใช้ความรุนแรง ทุกกลุ่มมีศักยภาพพอๆ กัน ถ้าอยากจะสร้างสถานการณ์
ทีนี้ ความรุนแรงตอนนี้มีทั้งจาก คนที่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดการรัฐประหาร อันนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแน่ เป็นการจงใจทำให้เกิดความรุนแรง มันมีแบบอย่างมาแล้วจากครั้งก่อนๆ ก็ต้องสร้างสถานการณ์วุ่นวาย แต่แน่นอนความรุนแรงอาจมาจากคนอีกส่วนหนึ่งที่รู้สึกคับแค้นใจ ต้องการแก้แค้นทางการเมือง
อยากให้อธิบายเพิ่มเติมว่าในช่วงเปลี่ยนผ่าน เสียงข้างมากเป็นภัยต่อชนชั้นนำอย่างไร
จริงๆ แล้วประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมาก ตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่ต้น มันเป็นภัยคุกคามต่อ ชนชั้นนำอยู่แล้ว เพราะเดิมชนชั้นนำปกครองด้วยการที่คนเราไม่เท่ากัน มีอำนาจไม่เท่านั้น ดังนั้น คนหยิบมือเดียวก็ปกครองประเทศได้
ฉะนั้น ตอนที่การเลือกตั้งถือกำเนิดขึ้นมา การเลือกตั้งเองในฐานะกระบวนการมันเป็นภัยคุกคามอยู่แล้ว เพราะอยู่ดีๆ คนธรรมดามามีสิทธิเลือกว่า ใครควรขึ้นมาปกครอง แต่เดิมการปกครองเป็นเรื่องของชนชั้นนำเขาเลือกกันเอง ส่งทอดกันในตระกูล ส่งทอดกันในชนเผ่า ฉะนั้น ตั้งแต่ต้นการเลือกตั้งมันเลยคุกคามในแง่นี้ อยู่ดีๆ คนธรรมดามายุ่งอะไรกับเรื่องที่เป็นของชนชั้นนำ
เพราะฉะนั้น ชนชั้นนำก็ต้องพยายามควบคุมจำนวนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หลักการ ‘หนึ่งคนหนึ่งเสียง’ เลยใช้เวลากว่าจะพัฒนามาได้ อย่างเช่น ผู้หญิงในยุโรปหลายประเทศมาได้สิทธิหลังผู้หญิงไทย คือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นแล้ว ผู้หญิงในยุโรปบางประเทศเพิ่งจะได้สิทธิเลือกตั้งเท่ากับผู้ชาย ของไทยเราก้าวหน้าตั้งแต่ 2475 คณะราษฎรก็ให้สิทธิเท่าเทียมกัน
หรือคนดำในอเมริกา เพิ่งได้สิทธิเลือกตั้งในทศวรรษ 1960 เพราะว่า ‘one man one vote’ ปุ๊บ มันยิ่งเป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นนำไง ทุกคนมีสิทธิได้รับการเลือกตั้งหมด ในแง่นี้อำนาจในการควบคุมว่าใครควรปกครองประเทศ มันหลุดออกไปจากมือของเจ้าที่ดิน เจ้านาย ของชนชั้นขุนนาง มันน่ากลัวมาก ซึ่งเขาก็เลยยื้อจนถึงวินาทีสุดท้ายกว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้ หลายประเทศก็ต้องเกิดสงครามกลางเมืองสู้รบกัน
แต่ท้ายที่สุดชนชั้นนำในยุโรปก็มาถึงจุดที่เรียนรู้ว่า วิธีที่ดีที่สุดที่ปกป้องอำนาจของตัวเองก็คือ หยุดยั้งกระบวนการเหล่านี้ไม่ได้กระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการขยายสิทธิเลือกตั้ง สิทธิทางการเมืองของคนส่วนใหญ่ วิธีที่ชนชั้นนำประเทศอื่นทำก็คือ ปรับตัวมาเล่นในเกมประชาธิปไตย ก็ตั้งพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมขึ้นมา มาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองในระบบ
จริงๆ ชนชั้นนำไทยก็ทำมาแล้วด้วยการตั้งพรรคประชาธิปัตย์
ถูกต้อง
ทำไมในระยะเปลี่ยนผ่าน ชนชั้นถึงกลัวเป็นพิเศษ และการมีพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เพียงพอหรือ
กลัวเป็นพิเศษคือ ในสภาวะเปลี่ยนผ่านนี้เดิมพันมันสูง เพราะว่าจักรวาลวิทยาทางการเมืองทั้งหมดกำลังจะเปลี่ยนในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ มันไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนระบอบการเมือง หรือการเปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น แต่มันคือการเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองทั้งหมด ทั้งโครงสร้างภายในระบบเลือกตั้ง และโครงสร้างนอกระบบเลือกตั้ง
ในแง่หนึ่ง จะมีชนชั้นนำจำนวนหนึ่งที่จะสูญเสียอำนาจ สูญเสียอภิสิทธิ์ที่เขาเคยได้ภายใต้ระเบียบการเมืองเก่า (political order) เวลาผมพูดถึงระเบียบการเมือง  ผมหมายถึงอะไรที่กว้างกว่าแค่รัฐสภา พรรคการเมือง และรัฐบาลนะ เพราะการเมืองไทยมีสถาบันอื่นๆ อีกจำนวนมากที่อยู่นอกกระบวนการเลือกตั้ง และทั้งหมดนี้จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ ฉะนั้น ยิ่งเป็นภัยคุกคามมาก
พูดง่ายๆ นอกจากภัยคุกคามจากข้างล่างแล้ว ชนชั้นนำกำลังขัดแย้งกันอย่างหนัก แตกแยกกันอย่างหนัก แล้วก็ต้องช่วงชิงการนำกันอย่างหนัก มันเคยเกิดขึ้นในอดีตสมัย ร.5 เกิดขึ้นสมัยรอยต่อรัชกาลที่ 7 มา 2475 แล้วหลังจากนั้นค่อนข้างนิ่งมาเป็นเวลานาน แต่ตอนนี้มันกำลังจะเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง
ในแง่นี้คือว่า เพื่อจะควบคุมอำนาจในช่วงนี้ต้องควบคุมประชาธิปไตยเสียงข้างมากด้วย เพราะมีชนชั้นนำจำนวนหนึ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวเข้ากับ ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก วิธีการเดียวที่เขาทำคือ ต้องมาตัดกิ่ง ตัดตอนประชาธิปไตยเสียงข้างมากให้อ่อนแอลง
ประชาธิปไตยเสียงข้างมากก็จะเล่นเส้นสายกับจักรวาลวิทยาใหม่ด้วย
แน่นอน ในส่วนที่เป็นชนชั้นนำไง พูดง่ายๆ อย่างคุณทักษิณ ด้วยความที่ภูมิหลังแกเป็นนักธุรกิจ ถึงแม้แกจะมีความชอบธรรม ถึงแม้จะประสบความสำเร็จมากในการใช้นโยบายหาเสียงแล้วชนะมาในเกมประชาธิปไตย แบบเสียงข้างมาก แต่ถ้าชนชั้นนำอยากจะต่อรองกับแกจริง แกก็ยินดีจะต่อรอง แกเป็นพ่อค้าแกก็ยินดีอยู่แล้ว อะไรที่ยื่นหมูยื่นแมว ผมคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์ก็มีวิธีคิดที่ไม่ต่างกันมาก ด้วยความที่มาจากภาคธุรกิจเหมือนกัน คือยินดีที่จะรอมชอม ประนีประนอม มากกว่าที่จะยึดหลักการประชาธิปไตยไว้เป๊ะๆ
จริงๆ แบบนี้ดีหรือไม่ดี
ไม่ดี เพราะประชาชนพัฒนาไปแล้ว เขาก้าวหน้าไปแล้ว เจริญเติบโตไปแล้ว และทำให้ถึงที่สุดแล้วพรรคการเมืองไทยก็ไม่พัฒนา ถ้าชนชั้นนำที่คุมพรรคการเมืองยังอยู่ในโหมดที่ว่าพร้อมที่จะสละหลักการ ประชาธิปไตย เพื่อรอมชอมกับชนชั้นนำเก่าได้ คุณก็ไม่พยายามทำให้พรรคการเมืองของคุณเป็นพรรคการเมืองมวลชนมากขึ้น มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เหนียวแน่นมากขึ้น
ปัญหา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เป็นชนวนของความขัดแย้งครั้งนี้ก็มาจากเรื่องนี้ ที่จริงมีมวลชนจำนวนหนึ่งที่ก้าวหน้าไปแล้ว เขาคิดถึงเรื่องความยุติธรรม ประชาธิปไตย เสรีภาพที่ไปไกลแล้ว เขาถึงรับไม่ได้กับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ไง แต่ตัวชนชั้นนำในพรรคเพื่อไทย หรือคุณทักษิณเองที่ผลักดัน พ.ร.บ.นี้ยังมองการเมืองแบบเก่าๆ ว่าผลักดันกฎหมายอันหนึ่งว่า ถ้าชนชั้นนำทุกฝ่ายได้ประโยชน์ วิน-วินหมด ให้ทุกคนรอด ท้ายที่สุดประชาชนก็เห็นด้วยกับเราเอง ไม่คัดค้านหรอก
คิดว่าตกลงกันในหมู่ชนชั้นนำก็พอ แล้วก็จะสงบ แต่ปรากฏว่าไม่แล้วไง การเมืองไทยมันเคลื่อนไปจากการเมืองแบบชนชั้นนำแค่ 5 คน 10 คนแล้ว
สมมติว่ามองอีกแบบหนึ่ง มองในเชิงนักธุรกิจอย่างคุณทักษิณ หรือคุณยิ่งลักษณ์ ที่คิดว่าทำข้อตกลงได้กับชนชั้นนำเก่า เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หลีกเลี่ยงความขัดแย้งรุนแรง อาจจะมองเป็นเรื่องที่ดีกว่าไปปะทะโดยอาศัยฐานมวลชนที่ก้าวหน้าไปแล้ว เขาอาจจะมองโลกในแง่ดีแบบนั้น
ทีนี้ การเมืองในโหมดนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อชนชั้นนำอีกฝ่ายหนึ่งเขายินดีที่จะ รอมชอมด้วย คุณยิ่งลักษณ์คงคิดว่าแกทำอย่างนั้นได้ 2 ปีที่ผ่านมาแกเลยเล่นการเมืองในโหมดปรองดองมาตลอด พยายามเกี้ยเซียะกับชนชั้นนำ แต่ตอนนี้มันชี้ให้เห็นแล้วว่า ชนชั้นนำฝ่ายนั้นเขาพร้อมที่จะรุกคืบตลอดเวลา เขาไม่ได้อยู่ในโหมดปรองดอง
ถ้าเป็นอย่างนี้ จะข้ามไปถามเรื่องความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปในระยะใกล้และระยะไกล ถึงจุดนี้เรายังพอมีทางออกที่จะไม่ต้องเผชิญกับความรุนแรงได้ไหม
คือจริงๆ มันยาก ถ้าจะยุติความรุนแรงได้ รัฐบาลต้องรักษากฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนนี้รัฐบาลอยู่ในสภาพที่บังคับใช้กลไกรัฐได้น้อยมาก และรัฐบาลก็รู้ว่าถ้าสลายการชุมนุมและเกิดการปะทะเมื่อไหร่ หรือแม้กระทั่งเสื้อแดงเคลื่อนออกมาและเกิดการปะทะเมื่อไหร่ เกิดการสูญเสีย ก็จะยิ่งเป็นเหตุผลให้ทหารออกมารัฐประหารได้อย่างชอบธรรมมากขึ้น
ฉะนั้น รัฐบาลก็ทำอะไรได้น้อยมากในการที่จะยุติความรุนแรงนี้ จริงๆ ไม่มีวิธีทางอื่นนอกจากที่จะต้องสร้าง ‘กระบวนการเจรจา’ ไมว่าจะทำในรูปแบบใดก็ตาม พอถึงจุดนี้ก็คือ ม็อบนี้ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ จะสลายตัวไปได้โดยสมัครใจด้วยตัวมันเอง ด้วยการที่เขาไม่รู้สึกว่าได้อะไรกลับบ้านไปบ้าง เราคาดหวังอย่างนั้นไม่ได้ ลำบาก จริงๆ ก็ไม่ง่าย หนทางค่อนข้างตีบตัน
เพราะว่า พูดง่ายๆ ชนชั้นนำที่กำลังเข็นครกขึ้นภูเขา เขาได้ทุ่มหมดหน้าตักแล้ว เขาถอยลำบากเพราะได้เปิดหน้าไพ่ออกมาหมดแล้ว และเขาได้เข็นทุกองค์กรที่มีเครดิตออกมาหมดแล้ว จนตอนนี้เสื่อมกันหมดแล้ว องค์กร สถาบันต่างๆ ใช้เครดิตกันจนหมดหน้าตักแล้ว ยอมทำทุกอย่าง กระทั่งคนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก บางคนก็ไปผัดกับข้าวในม็อบ
ทีนี้ พอเปิดหน้ากันออกมาหมดแล้ว ม็อบนี้พูดง่ายๆ คือ คิดในโหมดแตกหัก คิดว่าจะชนะอย่างเดียวโดยไม่เผื่อทางลง คิดแต่โหมดจะเข็นครกขึ้นสู่จุดสูงสุดบนภูให้ได้ ซึ่งตรงนี้มันลำบากเวลาเจอหรือเผชิญหน้ากับม็อบที่ไม่พยายามหาทางลงให้ตัว เอง ปรกติทุกม็อบต้องหาทางลงให้กับตัวเอง ก่อนหน้านี้มีจุดไหนที่คุณจะยอม ที่คุณจะต่อรองเอาให้ได้แค่นี้ รู้ว่าไม่ได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ จะเอา 80 จะเอา 50 มันต้องมีจุดที่เจรจากับฝ่ายตรงกันข้าม
แต่ม็อบนี้ จนทุกวันนี้คุณสุเทพไม่เคย ไม่ยอม ไม่แสดงท่าทีว่าจะเจรจา เพราะเขาเชื่อในพลังอันมหึมาของชนชั้นนำที่อยู่เบื้องหลังเขา ว่าจะเข็นไปจนถึงที่สุดให้เขาชนะได้
ทีนี้ ถ้าจะพูดแบบมีความหวังหน่อย จากบทเรียนของรัฐบาลประเทศอื่นๆ ที่เคยเผชิญปัญหาพวกนี้มา อย่างละตินอเมริกาที่เคยเผชิญปัญหากับพวกฝ่ายขวาที่ต่อต้านประชาธิปไตยและ ใช้ความรุนแรง รัฐก็ต้องรู้วิธีที่จะแยกสลายองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ออกจากกัน
คือ ตอนนี้ความเข้มแข้งเกิดจากการที่องค์ประกอบ 4 อันนี้มันมารวมกัน รัฐบาลก็ต้องหาวิธีที่จะแยกสลาย ในส่วนที่เป็นการ์ด พวกฮาร์ดคอร์ที่ใช้ความรุนแรง รัฐก็ต้องใช้ไม้แข็ง แต่ก็เผชิญปัญหาว่าตำรวจอยู่ในช่วงเสียขวัญกำลังใจ ทหารก็เกียร์ว่างไม่ทำอะไร มันก็เลยยาก แต่ถ้าจัดการกับส่วนนี้ไม่ได้ก็ลำบาก
พวกการ์ดทั้งหลาย มือปืนป๊อปคอร์น ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ม็อบนี้ไม่สันติ อหิงสา แต่ม็อบนี้ใช้ยุทธวิธีในการแบ่งงานกันทำ คือ เคลมว่าตัวเองสันติ อหิงสา ด้วยการที่บอกว่า เห็นไหมผู้ชุมนุมนั่งชุมนุมกันด้วยความสงบเรียบร้อยน่ารัก ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ขณะเดียวกัน ก็ปล่อยให้มือปืนป๊อปคอร์นออกไปเพ่นพ่าน ไปใช้ความรุนแรงกับคนอื่น
ถ้าโจทย์เราคือทำยังไงจึงจะยุติความรุนแรง ไม่ให้กลายเป็นชนวน ก็ต้องจัดการกับพวกฮาร์ดคอร์ มือปืนป๊อปคอร์น เพราะอันนี้ผิดกฎหมายชัดเจนและสร้างปัญหาให้คนอื่น คือรัฐดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่สามารถจัดการกับกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงนอกกฎหมาย อันนี้เป็นสิ่งพื้นฐานของรัฐเลย รัฐเกิดมาด้วยการที่รักษากฎหมาย คุ้มครองความปลอดภัยให้กับชีวิตของประชาชน และไม่อนุญาตให้กลุ่มอื่นมาใช้ความรุนแรงได้ตามอำเภอใจ
แต่ก็ยาก เพราะกลุ่มฮาร์ดคอร์ไม่ใช่แบบชาวบ้านตาสีตาสา แล้วยังอยู่ในเงื่อนไขอีกว่ามือปืนป๊อปคอร์นมาจากไหน
ก็เป็นผู้เชี่ยวในการใช้ความรุนแรงที่ถูกฝึกมาอย่างดี คืออันนั้นเป็นโจทย์ของรัฐบาล ไม่อย่างนั้นจะดำรงรักษาสภาพความเป็นรัฐไว้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็จะค่อยๆ จากรัฐบาลล้มเหลวจะกลายเป็นรัฐล้มเหลวในที่สุด ตอนนี้ยังเป็นแค่รัฐบาลล้มเหลว แต่ถ้าถึงจุดที่ความรุนแรงเกิดขึ้นไปทุกหย่อมหญ้า แล้วประชาชนบาดเจ็บเสียชีวิต และคุณปกป้องคุ้มครองไม่ได้ นั่นก็คือ fail state รัฐล้มเหลว ฉะนั้นปัญหานี้ก็ต้องคิดให้จริงจัง ทำยังไงที่จะแยกสลายกลุ่มเหล่านี้ออกมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
พูดถึงที่สุด การเมืองไทยมันอยู่ต่อไปแบบนี้ไม่ได้ และกติกาที่ใช้อยู่ปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ของทั้งฝ่ายไหนทั้งสิ้น จริงๆ รัฐธรรมนูญ 50 ฉบับปัจจุบันเป็นที่น่ารังเกียจของทุกฝ่าย รัฐบาลก็เคยอยากแก้ ผู้ชุมนุมกับ กปปส.ก็ไม่อยากเอา คือท้ายที่สุดมันก็ต้องแก้ ไม่อย่างนั้น รัฐบาลต้องตระหนักความเป็นจริงข้อหนึ่งว่า ถึงชนะศึกรอบนี้ไปได้ หรือกระทั่งจัดการเลือกให้สำเร็จเรียบร้อยไปได้ ตั้งสภาตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมา แล้วไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย ก็ปกครองไม่ได้ ฝ่ายสุเทพชนะก็ปกครองไม่ได้ ฝ่ายคุณยิ่งลักษณ์ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ก็ปกครองไมได้อยู่ดี
ถ้าทางออกริบหรี่ที่มีอยู่คือการ ตั้งวงเจรจาขึ้นมาให้ได้ แต่ถ้ารัฐบาลนี้จัดการเจรจา กปปส.ก็จะไม่เข้ามาร่วม ถ้าไทยเดินตามอย่างอิยิปต์ที่นายกรักษาการเพิ่งลาออกจะเป็นไปได้ไหม แล้วให้นายกคนกลางมาจัดการเจรจา
คำถามแรกเลยคือ ใครจะมาเป็นคนกลาง ประเทศนี้ยังมีคนกลางอยู่หรือเปล่า มันคงไม่มี ยกเว้นว่าคนกลางก็คือคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย หูหนวก ตาบอด มองไม่เห็นอะไรเลย ไม่เคยได้ยิน อันนั้นคนกลาง เราก็ต้องหาคนแบบนั้นมา
คนกลางที่ว่าอาจจะได้รับการยอมรับจาก กปปส.แต่ฝั่งเสื้อแดงคงไม่ยอมรับแน่ๆ
ในแง่นั้นก็คือไม่กลางไง ถ้ารับได้แค่ข้างเดียวก็คือไม่กลาง โมเดลนายกคนกลางไม่น่าจะใช่ทางออก มันกลับจะเป็นชนวนของความขัดแย้งด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ถูกรองรับด้วยรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ต้นก็มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมละ
ทีนี้ การปฏิรูปอะไรก็ตามหรือการออกแบบกฎกติกาใหม่ ถ้ามันจะแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ได้สำเร็จจริง มันต้องมีกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยมากๆ มารองรับ ไม่อย่างนั้นพอทำเสร็จแล้ว ออกกติกาใหม่มาก็ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
อยากให้วิเคราะห์ทางเลือกต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้ เช่น เกิดรัฐประหาร หรือเกิดอะไรบางอย่างที่ทำให้ กปปส.ได้อำนาจรัฐไป คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เราก็จะเผชิญกับระบอบเผด็จการที่เผด็จการมาก เพราะเขาต้องทำมากกว่าปี 2549 เพื่อให้ปกครองได้ ก็หมายความว่ายินดีที่ใช้กำลังปราบปรามการต่อต้านจากประชาชน อาจจะต้องใช้การจับกุมแกนนำมวลชน แกนนำปัญญาชน นักการเมืองบางส่วน เพื่อไม่ให้คนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านได้ ไม่ต้องพูดถึงสิทธิเสรีภาพทั่วไปในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน การควบคุมสื่อก็คงเป็นไปอย่างเข้มงวดมากกว่าเดิม
ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว คิดว่าคนเสื้อแดงจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
คนเสื้อแดงก็คงไม่ยอมแน่นอน เพราะเขารู้ว่าถ้ายอมครั้งนี้ อำนาจของประชาชนก็จะถูกทำลายไปเป็นระยะยาวภายใต้ระเบียบการเมืองใหม่ ถ้ามันสถาปนาขึ้นมาได้ ฉะนั้น คงมีการต่อต้านกระจายไปทั่วทุกจุด มันอาจจะไม่มีสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบหรอก ผมไม่คิดว่าจะมีสงครามกลางเมืองแบบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) สู้กับรัฐบาลหลัง 6 ตุลา แบบที่หนีไปอยู่ในป่าจัดตั้งกองกำลัง มีคนเป็นหมื่นๆ คน ติดอาวุธ แล้วออกมาสู้กับรัฐบาล
แต่ว่า มันจะเป็นความรุนแรงที่อยู่ในเมือง เป็นความรุนแรงแบบที่หลักสี่ เป็นความรุนแรงแบบที่เห็นที่ตราด แบบที่บิ๊กซีราชประสงค์ ก็คือจะเกิดขึ้นเป็นจุดๆ ไม่มีแบบแผน เป็นกลุ่มย่อย เป็นเซลย่อยๆ เต็มไปหมด ซึ่งควบคุมไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นความรุนแรงแบบไร้แบบแผน ไม่มีการจัดตั้ง แล้วทุกคนมีสิทธิตกเป็นลูกหลง
เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าจะเกิดสงครามหรือความรุนแรงหลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจไปแล้ว ผมมองว่าจะคล้ายๆ กับภาคใต้ ก็เป็นการก่อการร้ายในเมือง มีการวางระเบิด มีการลอบยิง กระจายไปทั่ว ซึ่งในแง่นี้จะน่ากลัวกว่าสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบอีก เพราะสงครามกลางเมืองที่เป็นไปตามแบบแผนเต็มรูปแบบ ถ้าเราเป็นพลเรือน เราก็ไม่เกี่ยวข้องและค่อนข้างปลอดภัย เพราะไม่ตกเป็นเหยื่อ ก็ไปสู้กันระหว่างคนที่ติดอาวุธ เจ้าหน้าที่รัฐกับกองกำลังมวลชนที่ติดอาวุธ และการสู้รบก็จะอยู่ในโซนที่ชัดเจน เช่น อย่าง พคท.ก็สู้ในเขตป่าเขา เขตชนบทที่ห่างไกลจากใจกลางเมือง ไกลจากศูนย์กลางเศรษฐกิจ แต่ความรุนแรงรอบใหม่นี้ ทุกคนจะได้รับผลกระทบ รวมทั้งนักธุรกิจด้วย
คิดอย่างไรกับข้อเสนอเรื่องไทยเหนือไทยใต้
คิด ว่าเป็นแค่วาทกรรมทางการเมือง ตอนนี้เป็นการแสดงออกซึ่งความอัดอั้นตันใจ ความไม่พอใจทางการเมืองแต่ว่าในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นได้ยาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในทางการเมือง เอาแค่ข้อเท็จจริงง่ายๆ เลยในรอบสองสามทศวรรษที่ผ่านมาในโลกนี้ มันมีประเทศที่เกิดใหม่จริงๆ ที่แยกตัวออกไปนับได้ไม่ถึง 5 ประเทศ อย่างกรณีติมอร์ตะวันออกซึ่งต้องเป็นกรณีที่พิเศษมากๆ เป็นมรดกตกค้างมาจากสมัยอาณานิคม แล้วกจะต้องมีการยอมรับจากชุมชนระหว่าประเทศ แล้วเกิดมาจนถึงทุกวันนี้ติมอร์ตะวันออกก็ยังเป็นประเทศที่มีปัญหาเยอะแยะ มากมาย ยากจนมากที่สุดประเทศในโลก ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความไร้เสถียรภาพ ปัญหาทางสังคมทุกอย่างเต็มไปหมด ฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะที่อยู่ดีๆ ประเทศจะแยกออกมาได้ หรืออย่างซูดานเหนือซูดานใต้ตอนนี้ก็กลับไปรบกันอีกรอบแล้ว แล้วก็เกิดวิกฤตที่มันไม่จบสิ้น ฉะนั้นของไทย เวลาพูดเรื่องแบบนี้เราอย่าไปพูดเป็นเรื่องเล่นๆ เราต้องนึกถึงสภาพความเป็นจริงที่มันจะเกิดขึ้นด้วย เศรษฐกิจจะอยู่รอดไหม คุณเลี้ยงตัวเองได้ไหมในฐานะภูมิภาคเล็กๆ แล้วกลายเป็นประเทศประเทศหนึ่ง สองก็คือในทางสังคมวัฒนธรรมจริงๆ ตอนนี้คนไทยที่อยู่ในภูมิคต่างๆ มันผสมปนเปกันไปหมดระหว่างเหลืองและแดง มันไม่ใช่ว่า เหนือ-อิสานมีแต่แดงร้อยเปอร์เซ็นต์นะ หรือในภาคใต้มีแต่เหลืองร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือในกรุงเทพฯ มันไม่ได้มีแต่ กปปส. ร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่นี้แบ่งแยกแล้วคุณจะทำยังไงล่ะ มันก็ยังไปเผชิญกับปัญหาคนส่วนน้อยที่จะถูกกดขี่ในแต่ละภูมิภาคอย่างรุนแรง ยิ่งเป็นปัญหามากกว่าทุกวันนี้อีก แล้วถ้าวันนั้นเกิดขึ้นจริง คนเสื้อเหลืองในเหนือ-อิสานจะอยู่อย่างไร ไม่ต้องลุกขึ้นมาประท้วงแบ่งแยกประเทศย่อยอีกเหรอ หรือคนเสื้อแดงในภาคใต้จะอยู่ยังไง


รายงาน: เสียงจากผู้บาดเจ็บ กปปส. เหตุการณ์ ‘ผ่านฟ้า’

ที่มา ประชาไท



เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสังคมไทย เริ่มตระหนักว่า ‘สงครามกลางเมือง’ อาจไม่ไกลเกินเอื้อม โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุกราดยิงที่จ.ตราด -ระเบิดที่ห้างบิ๊กซี ราชดำริ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองเหตุการณ์รวม 5 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 4 คน
ก่อนหน้านั้น 19 ก.พ.ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาออกมาให้ยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ หากแต่รัฐไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้ ก่อนหน้าคำพิพากษา 1 วัน เกิดเหตุปะทะรุนแรงที่สะพานผ่านฟ้าฯ ระหว่างตำรวจท่เข้ารื้อถอนเต๊นท์ผู้ชุมนุมกลุ่มกองทัพธรรม กับผู้ชุมนุมและการ์ด ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย รวมถึงปัจจุบันรวม 6 ราย เป็นตำรวจ 2 ราย (ในจำนวนนี้เสียชีวิตภายหลังเหตุการณ์ 1 ราย)  ผู้ชุมนุม 4 รายและมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ยังคงเป็นเงื่อนปมที่สำคัญ ท่ามกลางข้อสันนิษฐานมากกมาย และท่ามกลางความรุนแรงใหม่ๆ ที่โถมทับเข้ามาเรื่อยๆ
หลังเหตุการณ์ 1 วัน ประชาไทเดินทางไปยังโรงพยาบาล 2 แห่ง ร่วมกับอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมสื่อมวลชนอีก 2-3 สำนัก เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ
ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่าบาดเจ็บจากกระสุนตามจุดต่างๆ ของร่างกาย หลายรายกระดูกแตกและต้องรักษายาวนาน
ณ วันที่ 19 ก.พ. โรงพยาบาลกลางมีผู้บาดเจ็บที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 2 ราย โรงพยาบาลวชิรพยาบาลมีผู้บาดเจ็บ 5 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ชุมนุม ขณะที่โรงพยาบาลตำรวจ มีตำรวจที่บาดเจ็บ 24 ราย (ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ)
โดยสรุป จากปากคำผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บเกือบทั้งหมดพบว่า ได้รับบาดเจ็บบริเวณถนนราชดำเนิน ในช่วงที่ตำรวจควบคุมฝูงชนกำลังล่าถอยหลังโดนระเบิดจนแตกกระจาย โดยผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นการ์ดบ้าง เป็นผู้ชุมุนุมธรรมดาบ้าง ได้ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการไล่ตามการถอยร่นของตำรวจ
ผู้บาดเจ็บมาจากหลากหลายจังหวัด หลากหลายภูมิภาค แต่ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มาคนเดียว ไม่ได้มาเป็นหมู่คณะ
ทั้งหมดระบุว่าเห็นว่าตำรวจมีอาวุธปืน และเชื่อว่ามีการใช้กระสุนจริง โดยเฉพาะจากการบาดเจ็บของพวกเขาซึ่งแนวกระสุนน่าจะมาจากฝั่งตรงข้ามคือ ตำรวจชุดคุ้มกันที่อยู่ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะที่มีอยู่รายหนึ่ง ยืนยันว่า แม้ไม่เห็นการใช้อาวุธของผู้ชุมนุม แต่ระหว่างที่ชุลมุนก่อนระเบิดลงนั้น ได้ยินเสียงปืนจากทั้งฝั่งตำรวจและการ์ดผู้ชุมนุม นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บบางคนที่ระบุว่าหลังระเบิดลงและเห็นตำรวจบาด เจ็บ เขาได้เข้าไปช่วยลำเลียงตำรวจที่บาดเจ็บด้วย
(อ่านปากคำตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บในวันพรุ่งนี้)
                                                                                              
กลุ่ม ส.ว. นำโดยคำนูญ สิทธิสมาน เข้าเยี่ยมอาการกฤษดา เพ็งจำรัส
กฤษดา เพ็งจำรัส อายุ 35 ปี  เขาเป็นการ์ดกองทัพธรรม โดยพื้นเพเป็นคนอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา มาร่วมชุมนุมกับ กปปส. เกือบ 2 เดือนแล้ว เขามีอาชีพเป็นช่างฝีมือ ทำกนกตามวัดต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อปี 2547
“เหตุการณ์ที่นั่นหนักกว่านี้เยอะ อันนี้ชิลๆ (หัวเราะ) เวลาเราขี่มอเตอร์ไซด์จอดรถขี่ไฟแดงยังกลัวเลย ไม่รู้ว่าจะมาจากทางไหน แต่มาที่นี่เรายังเห็นว่าตำรวจมาตรงไหน”
กฤษดาเล่าว่า เขาถูกยิงเวลาประมาณบ่ายโมง บริเวณถนนราชดำเนิน ใกล้เทเวศประกันภัย และระบุว่าได้รับบาดเจ็บโดนกระสุนเข้าที่แขนซ้าย อกซ้าย และขาทั้ง 2 ข้าง เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากตำรวจส่วนหน้าถูกระเบิดบริเวณสะพานผ่านฟ้าและกำลัง ล่าถอย เมื่อตามไล่ตำรวจที่ถอยไประยะหนึ่ง เขาและผู้ชุมนุมประมาณ 30 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่พอๆ กับตำรวจที่อยู่ด้านตรงข้าม ช่วยกันทำบังบังเกอร์กันตำรวจไม่ให้ตีกลับ โดยกระเถิบตามแนวตำรวจไปเรื่อยๆ พวกเขาลากแผงเหล็กมาวางต่อกัน จังหวะที่โดนยิงนั้นเขาวางแผงเหล็กแล้วกำลังจะหันหลังกลับ
“ก่อนจะยิงเข้ามา เหตุการณ์สงบอยู่ ตำรวจก็ถอยร่นไปจนถึงอนุสาวรีย์ฯ แล้ว เราก็ย้ายแนวบังเกอร์ตามตำรวจไปเรื่อยๆ กันไม่ให้ตำรวจตีกลับ ก่อนจะย้ายก็คิดอยู่ว่าจะโดนยิงไหม แต่คิดว่าคงแค่กระสุนยาง ไม่น่าเป็นกระสุนจริงเพราะอยู่ในที่โล่งด้วย ถ้ากระสุนจริงมันจะน่าเกลียดเกินไป เราแค่ไปทำบังเกอร์ไม่ได้ไปทำร้ายอะไรเขา ตอนที่ตำรวจหลบอยู่หลังรถห้องขังนี่เห็นบางส่วนถือเอ็ม 16 ผมเป็นคนไปตามช่างภาพมาถ่ายด้วย เขาอาจเล็งผมไว้แล้ว” เขากล่าว
กฤษดาเล่าถึงความรับรู้ของเขาว่า ตำวจชุดเจรจามาคุยกับแซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำกองทัพธรรม ตั้งแต่ 8 โมงเช้าเพื่อจะขอคืนพื้นที่ แต่เมื่อไม่ประสบผลกลับไป ตำรวจชุดที่สองก็เข้ามาและไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย ทำการบุกเพื่อรื้อเต๊นท์ทันที
“คนมาเริ่มนั่งสวดมนต์ประมาณ 9 โมง ผมเป็นการ์ดคอยทำหน้าที่คอยห้ามผู้ชุมนุมที่ห้ามอารมณ์ไม่อยู่จะไปตีตำรวจ เราต้องคอยห้ามปราม ก่อนหน้านั้นตอนกลางคืน ชุดหัวหน้าการ์ดเรียกประชุมกันหมด แผนเราคือ นั่งสวดมนต์ ถ้ามีแก๊สน้ำตาลง เราจะพามวลชนเข้าไปวังแดง ทหารจะคอยเปิดประตูไว้ให้ หน้าที่การ์ดคือพามวลชนไปวังแดง”  เขากล่าว
กฤษดาเล่าว่า เวลาประมาณ 10.00 น. ตำรวจเริ่มนำแทรกเตอร์มาดันกระสอบทราย เมื่อเริ่มเข้ามาข้างในได้ก็เริ่มจะปะทะกัน ขณะที่กำลังฝั่ง คปท.ก็เข้ามาช่วยเสริม โดยเป็นด่านหน้าปะทะกับตำรวจ เมื่อฝั่งตำรวจเห็นว่าเริ่มมีกำลังเยอะขึ้นก็ยิงแก๊สน้ำตาใส่เพื่อกระจายมวล ชนออกไป ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สักพักจึงมีเสียงปืนดังขึ้น
เขากล่าวด้วยว่า ตรงสะพานผ่านฟ้าฯ ที่ตำรวจโดนระเบิดนั้น มีตำรวจ 2 คนถือปืนคล้ายเอ็ม 16 มาแล้วกระโดดไปอยู่ใต้สะพาน ตอนนั้นเริ่มมีคนเจ็บและช่วยหามคนเจ็บออก ส่วนพวกนั่งสวดมนต์ก็โดนแก๊สน้ำตาที่หน้าเวทีก็ต้องออกจากพื้นที่
“ก่อนหน้าระเบิดลง มีเสียงปืนดัง แล้วก็มีปะทัดยักษ์ 2-3 ลูกก่อน ระเบิดลงฝั่งตำรวจที่อยู่ตรงผ่านฟ้าประมาณ 100 คน พอระเบิดลงตำรวจ 50-60 คนก็ถอยกลับไป ที่ยังอยู่ก็ล้อมตำรวจที่บาดเจ็บอยู่ ตอนนั้นเราก็สั่งหยุดกันหมด ให้ตำรวจเอาผู้บาดเจ็บออก เราก็ช่วยกันห้ามเผื่อมีมวลชนเข้าไปทำร้ายตำรวจซ้ำ ผู้ชุมนุมของเรา 4-5 คนช่วยยกตำรวจออกมา เรียกว่าพักรบก่อน (หัวเราะ)”
“ตอนขว้างระเบิดผมไม่เห็น ผมอยู่มุมหน้าเวที เห็นแต่ตำรวจลุกยืนขึ้นมาแล้วก็ระเบิดตูม ผมอยู่ห่าง 30-40 เมตร ตอนนั้นประมาณเที่ยง จากนั้นเขาก็สั่งถอยกัน ระเบิดมาจากไหนเราก็ไม่รู้เหมือนกัน บางคนก็บอกว่าติดตาข่ายมั่ง อะไรมั่ง เราก็ไม่รู้ความจริง แต่ตำรวจคงไม่ขว้างระเบิดสังหารเข้ามาแบบนั้นหรอก เราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร”
เมื่อถามถึงเหตุผลที่มาร่วมชุมนุม กฤษดากล่าวว่า คนใต้ที่ขึ้นมาชุมนุมเยอะเพราะโดยพื้นฐานนิสัยจะสนใจการเมืองอยู่แล้ว สำหรับเขาก็มีการพูดคุยกับเพื่อนที่ติดตามการเมืองโดยตลอด
“ที่มาครั้งนี้ที่รับไม่ได้คือเรื่องการโกง ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ โกงก็โกงกันหมด แต่นี่โกงเยอะเกิน เหมือนกับโกงเราด้วย เลยต้องออกมาต่อสู้” กฤษดากล่าว

อภิพันธ์ นาคราช
อภิพันธ์ นาคราช ชายหนุ่มชาวอยุธยาอายุ 30 ปี  เขาประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่ อ.วังน้อย มาชุมนุมกับ กปปส.ตั้งแต่ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยร่วมกับพันธมิตรฯ หรือกลุ่มการเมืองใดๆ
“ตอนแรกผมเป็น กปปส.อยู่อยุธยา แล้วมาเป็นการ์ดแจ้งวัฒนะ”
“อยุธยาเสื้อแดงเยอะ แดงทุกพื้นที่ก็จริง แต่ก็ไม่มีปัญหากัน เขาก็ยอมรับกัน ผมมาอยู่กับอาชีวะกู้ชาติ ไม่ได้เรียนอาชีวะแต่มาเจอกันที่แจ้งวัฒนะเลยรวมเต๊นท์เป็นเต๊นท์เดียวกัน”
เขาอธิบายว่าอาชีวะกู้ชาติ คือ นักเรียนอาชีวะจากหลากหลายสถาบันมารวมกัน โดยแบ่งเป็นหลายกลุ่มย่อย กลุ่มของเขาจะมีอยู่ประมาณ 20-30 คน ตั้งแต่มาชุมนุมอภิพันธ์ก็เป็นการ์ดอยู่เวทีแจ้งวัฒนะตลอด วันเกิดเหตุเขามากับกลุ่มอาชีวะออกจากแจ้งวัฒนะ ถึงสะพานผ่านฟ้าประมาณเที่ยง ขณะที่ตำรวจกำลังเข้ารื้อเวทีพอดี
“ตำรวจจะเขาจะตั้งแนว แต่จะมีคนใส่ชุดดำๆ เสื้อกันกระสุนเลวิ่งเลาะข้างสะพานมา แล้วอยู่ข้างหลังแนวที่จะมาสลายการชุมนุม ระหว่างนั้นเขายิงแก๊สน้ำตากันเยอะ เราเอาหินขว้าง สักพักเขาสวนกลับมาด้วยกระสุนยาง พอเสียงปืนกระสุนยางดังปุ๊บ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าตรงไหนแน่ คราวนี้ก็ยิงใส่กันทั้งสองฝ่าย น่าจะเป็นการ์ดในที่ชุมนุมกับตำรวจ การ์ดมีอาวุธหรือเปล่า ผมไม่เห็นด้วยตา แต่ได้ยินเสียงปืนยิงสวนกันไปมา สักพักแล้วก็มีเสียงดังขึ้นมา น่าจะเป็นเสียงระเบิด จากนั้นตำรวจก็ล้มลงไป แล้วตำรวจก็ถอย ผมกับมวลชนก็ดันกันเข้าไป จากนั้นมันจะเป็นทางตรงวิ่งไปอนุสาวรีย์ พอถึงเส้นนั้น ตำรวจก็ใช้กระสุนจริง”
“บรรยากาศตอนนั้นมันไม่ใช่การชุมนุมแล้ว มันเป็นสนามรบแล้ว”
เขายอมรับตามตรงว่า ไม่เห็นการใช้อาวุธของฝ่ายผู้ชุมนุม เพียงแต่ได้ยินเสียงปืนมาจากทางผู้ชุมนุมด้วย และเห็นฝั่งตำรวจยิงสวนไปพลาง หมอบหลบไปพลาง เมื่อตำรวจถอยหลัง เขาก็ดันต่อไป ในช่วงนี้ผู้ชุมนุมที่ถูกยิงล้วนโดนกระสุนจริง
“ผมถูกยิง ตอนที่มวลชนช่วยกันไล่ตำรวจถอยร่น ผมอยู่เลยซอยแรกหลังสะพานผ่านฟ้า (ธนาคารกรุงเทพ)  ไปสัก 10 เมตร โดนสองนัด ขาขวาหนึ่ง ที่ท้องหนึ่ง”
“ผมคิดว่าตำรวจนี่เขาไม่ได้ทำเพื่ออุดมการณ์อะไรหรอก ตอนเขาหนี เขาทิ้งหมด วิ่งหนีพูดง่ายๆ ว่า หางจุกตูดเลย ผมเอาเกราะที่ตำรวจใช้มาบัง เชื่อไหมเป็นรูหมดเลย เพราะโดนลูกกระสุนจริง ใครโดนร่วงก็หาม ทำไมตำรวจต้องยิงใส่ประชาชนขนาดนี้ เป็นคนไทยเหมือนกัน”
“ถามว่าทำไมต้องวิ่งตาม มันเป็นมวลชน ถ้าถามผมคนเดียวผมก็ตอบพี่ได้ แต่เข้าใจอารมณ์มวลชนไหม ไปกันเยอะแบบนี้มันคุมไม่ได้” อภิพันธ์กล่าวทิ้งท้าย

กิตติ สืบแก้ว
กิตติ สืบบัวแก้ว ชาวอำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบฯ อายุ 41  ปี ทำอาชีพค้าขายอยู่ใน อ.เมืองประจวบเพิ่งมาชุมนุมกับ กปปส. แบบไปๆ กลับๆ รวมแล้ว 6 ครั้ง ก่อนหน้านี้เคยมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งหนึ่ง โดยเหตุผลที่มาร่วมชุมนุมนั้นเพื่อต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม และการคอรัปชั่น
เขาถูกยิงตรงถนนราชดำเนิน ใกล้อนุสาวรีย์ขณะอยู่ตรงข้ามกับเทเวศประกันภัย ในเวลาประมาณก่อนเที่ยงเล็กน้อย เขาบอกว่าในวันเกิดเหตุเพิ่งเดินทางมาจากบางสะพานเพียงคนเดียว ถึงผ่านฟ้าฯ ราว 10 โมง  ระหว่างเดินกินข้าวบริเวณใกล้เคียง ได้ข่าวว่ากองทัพธรรมถูกสลายเลยไปช่วยยันกับตำรวจ
“เห็นตำรวจเยอะ เป็นพัน ที่ทำเป็นชั้นๆ ถือโล่มีประมาณร้อยได้ เห็นตำรวจถือปืนด้วย แต่ไม่รู้ปืนจริงหรือปืนยิงกระสุนยาง ผมเองก็แยกไม่ออก”
“ผมไปช่วยตำรวจตรงเต๊นท์กองทัพธรรมที่โดนระเบิด มันเสียง บึบ! ผมไม่เห็นตอนระเบิด เขายิงแก๊สน้ำตา ผมก็ถอย หันอีกทีมีเสียงระเบิดแล้ว ตำรวจก็กระจายเลย ผมอยู่ห่างตรงนั้นไปทางอีกซีกหนึ่ง แล้วพวกเราหลายคนก็เข้าไปช่วยหามตำรวจที่บาดเจ็บออกมา มี 3 คน จากนั้นตำรวจก็ถอย เราก็รุกเข้าไป ไล่ไปเรื่อยๆ ด่าตำรวจว่าโหดร้าย เพราะก่อนจะบึ้ม ฝ่ายผมก็เจ็บอยู่ 2-3 คน มีผู้หญิงโดนยิงหัวเข่ารึอะไรด้วย” กิตติเล่า
“เรายิกเขาไปเรื่อยๆ ตำรวจวิ่งไปเลย แล้วทีหลังก็ไปตั้งแถวใหม่ เขามีจุดบัญชาการเขาละมัง มีรถมีอะไร เห็นตำรวจเล็งอยู่เรื่อย ยิงมั่ง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันปืนแบบไหนมั่ง”
กิตติโดนยิงใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิไตย เนื่องจากกลุ่มของเขาค่อนข้างบางเบา กระจายตัวอยู่บริเวณใกล้กัน ไม่เกิน 30
“ตอนตำรวจถอยเรารุกคืบเข้าไปแล้วตำรวจก็ยิงปุงปังๆ เราก็กำลังจะถอยแล้ว เตรียมจะวิ่งหนี หาที่กำบังก็โดนยิง ผมก็ล้มพอดีมือแตะกำบังพอดี พวกอยู่ในกำบังก็ดึงผมเข้าไป ลากเข้าไป แล้วเอาไปส่งรถโรงพยาบาล ตอนโดนทรุดเลย ยกขาไม่ได้เลย นึกไว้แล้วว่าโดนกระดูกแน่ๆ” กิตติกล่าวและว่าหมอบอกว่ากระสุนโดนกระดูก ต้องใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาล 15-20 วัน
สุรพล วานิชทัศน์
สุรพล วานิชทัศน์ อายุ 57 ปี เป็นชาวมุสลิมในกรุงเทพ แต่โยกย้านไปตั้งถิ่นฐานและทำงานที่พัทยา จังหวัดชลบุรี นานแล้ว โดยเขารับจ้างตัดต้นไม้ และรับจ้างทั่วไป ที่ผ่านมาเคยมาร่วมชุมนุมตั้งแต่สมัยพันธมิตรฯ ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา อันที่จริงเขาร่วมชุมนุมตั้งแต่สมัย 14 ตุลา 16 ในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนและตามเพื่อนอาชีวะไปร่วมชุมนุม  -ปี 47-49 เป็นพันธมิตรมาโดยตลอด สำหรับการชุมนุมของ กปสส. เขาก็ร่วมมา 3 เดือน โดยปักหลักอยู่สวนลุมพินี โดยวันเหตุเขาเดินทางมาร่วมชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ เพราะได้ข่าวว่าตำรวจจะเข้าสลาย ช่วงสายๆ เมื่อเดินทางถึงเวทีกองทัพธรรมแล้วก็เห็นตำรวจเยอะพอสมควร มีการชี้แจงจากฝั่งตำรวจเพียงว่าจะขอคืนพื้นที่ จากนั้นก็เริ่มกดดันหนัก มวลชนบางส่วนใช้ขวดน้ำปาใส่ ตำรวจก็ตอบโต้โดยใช้แก๊สน้ำตา ที่
“ตอนนั้นมันชุลมุนหลายจุด ตอนแรกมีคนอยู่ใต้(ข้าง)สะพานผ่านฟ้าเยอะมาก รู้สึกจะใส่ชุดสีดำ ผมอยู่ด้านธนาคารกรุงเทพฯ เห็นชุดดำประมาณ 5-6 คน วินาทีที่ผมเห็น แน่นอนว่ามาจากฝ่ายตำรวจ มวลชนคนอื่นไม่ค่อยได้มายืนหรอก ผมเป็นคนจัดแนวลูกยางไม่ให้ตำรวจเข้ามาสะดวก ผมไปวางๆๆ ลูกยาง แผงเหล็ก ตอนนั้นผมก็ไม่มีกล้อง คนที่เป็นตำรวจคนอื่นมีคำว่า POLICE อยู่ แต่พวกชุดดำไม่มีคำนั้นอยู่ ...พอเห็นตรงนั้นปุ๊บก็จะเกิดเสียงระเบิด เสียงอะไรแล้ว แต่ระหว่างที่เห็นชุดดำ มันก็มีเสียงปืน เสียงอะไรกันตลอด เขาไม่ได้พกอะไรมากมาย มีพวกมีโล่ แล้วพวกที่ประทับปืนก็อยู่หลังโล่”
“พอได้ยินเสียงระเบิดทุกคนก็หลบ แล้วเห็นตำรวจที่ล้ม ไม่รู้ระเบิดมาจากไหน ตรงนั้นกองทัพธรรมเขาเอาโต๊ะอาหารใหญ่ๆ ไปกั้นไว้แล้ว ตำรวจอยู่หลังโต๊ะอาหาร ไม่รู้ระเบิดมาจากไหน แต่ได้ยินเสียงชัดมาก...พอระเบิดลง เห็นตำรวจบาดเจ็บ 3-4 คน ผมเป็นคนเดียวที่เข้าไปช่วย ถือเปลตำรวจโดนที่หน้าเยอะเหมือนกัน แล้ววิ่งออกไป ช่วยตำรวจสองคน ช่วยผู้หญิงและชายอย่างละคน เป็นผู้ชุมนุมของกองทัพธรรม ระหว่างที่วิ่งไปพวกพยาบาลก็สวนมา”
“ตอนนั้นตำรวจไม่มีใครหันเลย เหมือนเขากำลังนั่งงง นั่งตะลึงกันหมดเลย จุดที่เขาตะลึงกันอยู่ใกล้แดนกองทัพธรรมด้วย เขาก็ไม่กล้าลุก อาจเจ็บด้วยอะไรด้วย เขาไม่ได้ลุก นานมากเลย เขาไม่ได้รีบลุกนะ”
อนุกรรมการสิทธิฯ ถามว่าที่บริเวณนั้นตำรวจยิงฝ่ายเดียวหรือทางการ์ดยิงไปด้วย เขาตอบว่า ทางฝ่ายนี้จะยิงไปด้วยหรือเปล่าไม่เห็น และเขาก็ไม่เห็นใครมีอาวุธปืน
“ผมไม่เห็นมีใครมีปืน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าซีกด้านวัดปรินายกวรวิหาร จะมีหรือเปล่า แต่ตรงจุดผมอยู่ผมไม่เห็น ผมไม่ได้สังเกตจุดอื่น”
ส่วนตัวของสุรพลนั้นโดนยิงขาขวาในจังหวะที่กำลังนำเอายางไปปิดเส้นทางบนถนนราชดำเนิน หลังจากตำรวจเริ่มล่าถอย
===============
นี่คือเสียงส่วนหนึ่งของผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บในวันดังกล่าว น้ำเสียงของพวกเขาไม่มีร่องรอยความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม (ตำรวจ) ให้เห็นนัก และล้วนยืนยันว่าหากหายดีแล้วและการชุมนุมยังมีอยู่ก็จะเข้าร่วมอีกด้วย ปณิธาน ความเชื่ออันแรงกล้าว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมได้

ศาลอาญายกคำร้องเพิกถอนหมายจับ 19 แกนนำ กปปส.

ที่มา ประชาไท


ศาลอาญายกคำร้องเพิกถอนหมายจับ 19 แกนนำ กปปส.ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ระบุขณะออกหมายจับแกนนำ กปปส. ทั้ง 19 ราย ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ แม้ต่อมาศาลแพ่งจะมีคำสั่งห้าม ศรส. กระทำการตามประกาศใน 9 ข้อ แต่ศาลแพ่งไม่ได้สั่งเพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกทั้งจำเลยในคดีศาลแพ่งยังสามารถอุทธรณ์คดีและฎีกาได้อีก
27 ก.พ. 2557 มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่ห้องพิจารณาคดี 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำสั่ง ที่นายวิโรจน์ ภูมิศิริสวัสดิ์ ทนาย กปปส. ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาเพิกถอนหมายจับแกนนำ กปปส. 19 ราย ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. 2.นายสาธิต วงศ์หนองเตย 3.นายชุมพล จุลใส 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5.นายอิสสระ สมชัย 6.นายวิทยา แก้วภราดัย 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 11.นายนิติธร ล้ำเหลือ 12.นายอุทัย ยอดมณี 13.เรือตรี แซมดิน เลิศบุศย์ 14.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 15.นายรัชต์ยุตม์ หรืออมร ศิรโยธินภักดี 16.นายกิตติชัย ใสสะอาด 17.นายสำราญ รอดเพชร 18.นายพานสุวรรณ ณ แก้ว และ 19.นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ที่ถูกศาลออกหมายจับข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 11 (1) และมาตรา 12 วันที่ 5 กุมภาพันธ์

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะที่ศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องสงสัยทั้ง 19 รายนั้น ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้นการออกหมายจับดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายทุกประการ แม้ต่อมาศาลแพ่งจะมีคำพิพากษาในคดีที่ นายถาวร เสนเนียม ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์กับพวกรวม 3 คน ให้เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯแล้วก็ตาม แต่ศาลแพ่งก็ไม่ได้มีคำสั่งให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้าย แรงแต่อย่างใด

ส่วนที่คำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวจะสั่งห้ามมิให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กับพวกห้ามนำประกาศและข้อกำหนดรวม 9 ข้อ ซึ่งรวมถึงการให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัย จะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือผู้ใช้ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุน การกระทำเช่นว่านั้น อันเป็นที่มาของการที่ผู้ร้องขอออกหมายจับดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อปรากฏคำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด คู่ความสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ และฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งศาลอุทธรณ์ หรือฎีกา อาจพิพากษายืนกลับ แก้ไขคำพิพากษาได้ หรือหากไม่มีการอุทธรณ์คดีก็จะถึงที่สุดเมื่อระยะเวลาแห่งการอุทธรณ์ได้ล่วง พ้นไป

ส่วนที่ศาลอาญามีคำสั่งที่ ฉฉ.11/2557 ฉบับลงวันที่ 24 ก.พ. 2557 ให้ยกคำร้องของพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในคดีที่ขอหมายจับ 13 แกนนำ กปปส. โดยกล่าวถึงการที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความ ร้ายแรงว่าเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังเปลี่ยนแปลงนั้น เป็นเพียงเหตุผลประกอบดุลพินิจที่เห็นสมควรยังไม่ออกหมายจับเท่านั้น ในชั้นนี้จึงยังไม่มีเหตุเพิกถอนหมายจับนายสุเทพกับพวกดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ภายหลังฟังคำสั่ง นายวิโรจน์ ทนายความ กปปส. กล่าวว่า เตรียมจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่เพิกถอนหมายจับครั้งนี้  เพราะว่าเมื่อศาลแพ่งมีคำวินิจฉัยห้ามใช้ประกาศและข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จึงต้องส่งคำร้องเพื่อให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่คำวินิจฉัยที่ออกมาครั้งนี้พวกตนก็น้อมรับ


แย้งเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ฉวยโอกาสหวังผลทางการเมือง

ที่มา ประชาไท


เครือข่ายบุคลากรด้านการขนส่งสาธารณะแย้งข้อเสนอทาการเมืองของเครือ ข่ายบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ว่าข้อเสนอละเมิดหลักการ สร้างปัญหาเพิ่ม เสนอรัฐบาลดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม เร่งรัดการจับกุมผู้ใช้ความรุนแรงในสถานที่ชุมนุมมาดำเนินคดี พร้อมกับรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ
จดหมายเปิดผนึกใจถึงใจ
จากเครือข่ายบุคลากรด้านการขนส่งสาธารณะถึงเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข

ตามที่ “เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข” ได้ออกแถลงการณ์และจัดกิจกรรมใส่ชุดดำเพื่อประณามความรุนแรงทางการเมืองที่ เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2557 เราในนามของ “เครือข่ายบุคลากรด้านการขนส่งสาธารณะ” ซึ่งมีความรู้สึกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่ต่างจากท่านทั้งหลาย ขอร่วมไว้อาลัยต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น และขอประณามผู้สั่งการ ผู้กระทำเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น รวมถึงทุกฝ่ายที่มีแนวคิดที่จะใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ
สำหรับในส่วนของข้อเรียกร้องที่ “เครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข” เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกนั้น เราเห็นว่า

1.ข้อ เรียกร้องดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมได้ว่า “ฉวยโอกาสหวังผลทางการเมือง นำความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง” ข้อเรียกร้องดังกล่าวอาจจะนำมาซึ่งความแตกแยกขัดแย้งในวงกว้างมากกว่าความ สุขสันติอย่างที่เราปรารถนาอยากเห็น

2.ในปัจจุบันการทำหน้าที่ของรัฐบาลเป็นรัฐบาลรักษาการ การลาออกของรัฐบาลรักษาการจะนำมาซึ่งปัญหาอื่นๆที่จะตามมาอีกมากมาย

เรา เห็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่เราเห็นควรเรียกร้องคือ มาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่การชุมนุมทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ ชุมนุม,การช่วยกันผลักดันให้การเลือกตั้งแล้วเสร็จ,การผลักดันให้มีการเปิด สภาผู้แทนราษฎรและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ประเทศได้มีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั่วประเทศ มาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่ต่อไปในอนาคตอย่างสันติ

พร้อมกันนี้ เราขอแสดงความคิดเห็นและข้อเรียกร้องของเราต่อรัฐบาลรักษาการและแกนนำผู้ชุมนุมดังต่อไปนี้

1.เรา ขอเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการเพิ่มมาตราการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ ชุมนุมในพื้นที่การชุมนุม โดยเน้นการเฝ้าระวัง,ระงับเหตุ และจับกุมผู้ก่อเหตุความรุนแรง

2.เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการ ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุความรุนแรงที่ผ่านมาให้ได้โดยเร็วที่สุด พร้อมรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการให้สังคมได้รับรู้โดยทั่วกันอย่างใกล้ ชิด

3.เราขอเรียกร้องให้แกนนำผู้ชุมนุมให้ความร่วมมือกับรัฐบาล รักษาการและเจ้าหน้าที่รัฐในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม และดูแลการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ

สุดท้ายนี้เราขอชี้แจง ว่าเนื่องด้วยบรรยากาศความรุนแรงทางการเมือง ที่ไม่เอื้อให้มีการแสดงความคิดเห็นทางเมืองที่แตกต่าง ด้วยความไม่ปรารถนาที่จะเห็นการเคลื่อนไหวที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากกว่านี้ ซึ่งจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ และสุดท้ายเราไม่ต้องการเอาอาชีพและความคิดเห็นทางการเมืองมาเป็นเงื่อนไขใน การให้บริการสาธารณะ เราจึงของดการแสดงออกทางกิจกรรมหรือทางสัญลักษณ์ใดๆ เพื่อแทนความไว้อาลัยอย่างบริสุทธิ์ใจ

ขอดวงวิญญาณของผู้จากไปจงสงบสุขสันติ ขอจิตใจของผู้สูญเสียจงมีแต่ความเข้มแข็ง

เครือข่ายบุคลากรด้านการขนส่งสาธารณะ

โฆษก กอ.รมน.แจงเหตุ ‘ผบ.ทบ.’ ย้ำผู้ว่าฯ จับตาม็อบ

ที่มา ประชาไท


มทภ.2. เรียกถก ผู้ว่าฯ อีสาน 11 จังหวัด รับมือสถานการณ์ความรุนแรงการเมือง ยันไม่จับตาพื้นที่ใดเป็นพิเศษ ปัดนำเรื่อง นปช.แยกแผ่นดินหารือ ด้านเกษตรกรชาวนาอีสาน คนยื่นสารจี้ตรวจสอบ นปช.แบ่งแยกประเทศไทย พร้อมมอบดอกไม้ฝากให้กำลัง ผบ.ทบ.
 
เนชั่นรายงาน 27 ก.พ.2557 พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษก กอ.รมน. กล่าวในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสปริงนิวส์ ถึงกรณี ผบ.ทบ.ย้ำให้ผู้ว่าฯ จับตาม็อบทุกกลุ่ม ซึ่งถือเป็นการกระชับอำนาจ ว่า เนื่องจากแต่ละภาค แต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัดแตกต่างกัน ผบ.ทบ.จึงอยากให้ผู้ว่าฯช่วยสอดส่อง และทำความเข้าใจ เพราะผู้ว่าฯ รู้อยู่แล้วว่ากลไกภาครัฐ เอกชน ในพื้นที่มีความเห็นอย่างไร จึงอยากให้ผู้ว่าฯ วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์ ว่าเห็นร่วมกันอย่างไร และให้รายงานมายัง ผอ.รมน.ภาค 1-4 ในทุกวัน เพื่อรายงานต่อไปยัง ผบ.ทบ.

"รองผอ.รมน.สามารถดำเนิน การได้อยู่แล้ว และเอกสารทุกอย่างให้รายงาน ผอ.รมน. ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติประจำตามอำนาจกฎหมายอยู่แล้ว โดยพื้นที่ ผอ.รมน.ภาค 3 จะมีการเรียกจังหวัดในภาคเหนือเพื่อทำความเข้าใจกัน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเริ่มมีแผ่นป้ายขอแยกประเทศแล้ว และบนเวทีมีการพูดจากันเลยเถิดไป" โฆษก กอ.รมน. กล่าว

ส่วนกำลังพล หน่วยซีลเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับม็อบ และอารักขาแกนนำม็อบนั้น พ.อ.บรรพต กล่าวว่า ทราบเมื่อวานว่าเพิ่งจับกุม และอยู่ระหว่างสอบสวน เป็นกำลังพลอยู่ในหน่วยราชการจริง และใช้เวลานอกราชการรับจ้างเป็นการ์ด ซึ่งทุกหน่วยก็มี ไม่เฉพาะหน่วยซีลที่ใช้เวลานอกราชการไปทำงาน ส่วนคดีพกพาอาวุธ ทำร่างกาย จะเป็นคดีปกติไม่มีการยกเว้นใดๆ และไม่เฉพาะกรณีม็อบเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ก็มี เช่น มาเฟียพัทยา ที่ใช้บัตร กอ.รมน.ไปทำงานไซด์ไลน์ แต่ไม่ได้รับราชการแล้ว

พ.อ.บรรพต กล่าวถึงกรณีส่วนชายชุดดำด้วยว่า ยังไม่อาจชี้ไปได้ว่าเป็นกำลังพล เพราะทุกคนก็แต่งชุดดำ ใส่หมวกปิดบังใบหน้าและระยะหลังก็มีการใส่ถุงป๊อปคอร์น เชื่อว่ากลุ่มที่มาเป็นหน่วย เป็นกองกำลังไม่มี แต่เป็นเรื่องรายบุคคล เพราะในพื้นที่ประเทศของเราหากทำอย่างนั้นจะยุ่งยาก แม้แต่การรวมตัวกันเป็นทีมงานก็จะเกิดเบาะแสให้จับกุม ดังนั้น เป็นเรื่องของรายบุคคลมากกว่า และคงไม่มีใครคิดจะทำเพราะยุ่งยาก มีปัญหาทุกอย่าง เช่น ในพื้นที่ตะวันออกมีปัญหากลุ่มผู้มีอิทธิพลมานานแล้ว และกลุ่มผู้มีอิทธิพลจะมีซุ้มมือปืน ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมรับรู้มานานแล้ว ตนมองว่าเป็นเรื่องแบบนี้ของซุ้มที่ทำตามค่าจ้าง มากกว่าเป็นเรื่องกองกำลัง ซึ่ง รมว.มหาดไทย โดยตำแหน่งก็เป็นกรรมการใน กอ.รมน.ด้วย ไม่ใช่ กอ.รมน.มีอำนาจ กอ.รมน.มีหน้าที่เพียงบูรณาการงานเท่านั้น
 
 
มทภ.2 เรียกถก ผู้ว่าฯ อีสาน 11 จังหวัด รับมือสถานการณ์ความรุนแรงการเมือง
 
ข่าวสดรายงาน เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2557 ว่า พล.ท.ชาญชัย  ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.ภาคที่ 2 ) ได้เรียกผู้ว่าราชการาจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานตอนบน  ได้แก่ กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, นครพนม,มหาสารคาม, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี และ จ.เลย ในฐานะ ผอ.กอรมน.จังหวัดประชุมหารือร่วมกันที่ จ.ขอนแก่น
 
ตามนโยบายและคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ.รมน.ที่มีคำสั่งให้ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยกันติดตามสอดส่องการยุยง ปลุกปั่นให้คนในสังคมเพิ่มความเกลียดชัง แบ่งฝ่าย บางครั้งเลยเถิดพาดพิงสถาบัน เพราะยิ่งจะทำให้ความขัดแย้งลุกลามขยายขอบเขตออกไปเป็นวงกว้าง อันเป็นการเพิ่มปัญหาใหม่ขึ้นมาทับซ้อนกับปัญหาทางการเมืองที่มีอยู่แล้ว โดยแต่ละจังหวัดขอให้พยายามทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ให้ยึดมั่นตามกรอบของกฎหมายเป็นหลัก และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ รวมทั้งบูรณาการหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่เข้าทำการป้องกัน ป้องปราม ระงับ ยับยั้ง ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยไม่ละเว้น
 
“การหารือในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นอย่างดี ที่จะลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น กรณีมีการใช้อาวุธสงครามมาก่อเหตุความวุ่นวาย อย่างไรก็ตามการพูดคุยกันครั้งนี้ ไม่ได้เชิญตัวแทนของกลุ่ม กปปส. หรือ กลุ่ม นปช. ในพื้นที่อีสานตอนบนมาร่วมหารือ ผมไม่ต้องการให้เกิดการใช้กำลังรุนแรงต่อสู้กัน โดยไม่ได้จับตาพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นกรณีพิเศษ แต่ขอให้มั่นใจว่าทำให้เกิดความเรียบร้อยในทุกจังหวัด  นอกจากนี้ ในที่ประชุมไม่ได้มีการหยิบหยกหรือพูดคุยกัน กรณี นปช.ประกาศ แบ่งแยกประเทศในการชุมนุมใหญ่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 ก.พ.)” แหล่งข่าวกองทัพภาคที่ 2 กล่าว
 
 
ชาวนาอีสานจี้ มทภ.2 สอบ นปช.แบ่งแยกประเทศไทย
 
ด้านไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น.วันนี้ 27 ก.พ.57 ที่ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 จ.นครราชสีมา ได้มีกลุ่มเกษตรชาวนาภาคอีสาน นำโดยนายนคร ศรีวิพัฒน์ เลขาธิการสมัชชาเกษตรกรรายย่อย เดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 โดยมี พ.อ.ชินกาจ รัตนจิตติ รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 เป็นตัวแทนรับหนังสือ พร้อมมอบดอกกุหลาบ
 
ทั้งนี้แกนนำเกษตรกรชาวนาภาคอีสาน ได้อ่านสารมีใจความว่า เกษตรชาวนารายย่อยแห่งประเทศไทยนัดหมายประชุมใหญ่สามัยประจำปี เป็นการจัดอย่างสันติ เพื่อหารือถึงปัญหาที่มีอยู่หลายเรื่อง เดิมจะจัดประชุมที่บริเวณสามแยกบ้านวัด อ.คงฯ ระหว่างวันที่ 25-26 ก.พ. 2557 แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มอันธพาลของคนเสื้อแดงไปปักหลัก เพื่อขัดขวางข่มขู่ไม่ให้ พี่น้องเครือข่ายสมัชชาเกษตรกรรายย่อยใช้พื้นที่ดังกล่าว จากการขัดขวางของอันธพาลของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้พี่น้องเกษตรกรชาวนาต้องไปหาสถานที่ปลอดภัยจากการข่มขู่คุกคาม จึงไปจัดที่ศูนย์สาธิตวิสาหกิจ ชุมชนบ้านสระตะหมก อ.โชคชัย

ถือว่าเป็นการขัดขวางเกษตรกร ซึ่งประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย จาก นปช.ประกาศจะแบ่งแยกประเทศไทย ในเวทีการประชุมแกนนำ นปช.ทั่วประเทศและมีแกนนำ นปช.บางคน ได้ประกาศจะกำจัดกลุ่มคนที่ไม่เข้าข้างรัฐบาลโดยจะใช้ความรุนแรงกับประชาชน ที่เห็นต่าง และยังประกาศว่าจะปลด พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ผบ.ทบ.
 
จากสถานการณ์ดังกล่าวเครือข่ายสมัชชาเกษตรกรฯ แห่งประเทศไทย จึงขอส่งสารถึง พล.ท.ชายชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่รับผิดชอบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  1.ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชน ที่อาจถูกข่มขู่คุกคาม ทำอันตรายจากกลุ่มอันธพาลของคนเสื้อแดง ดังปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปอยู่ในขณะนี้ 2.ช่วยตรวจสอบ เฝ้าระวังกลุ่มคนที่ประกาศว่าจะแบ่งแยกประเทศไทย เพราะเราไม่ต้องการให้แบ่งแยกประเทศ
 
3.พวกเราขอมอบดอกไม้เพื่อให้กำลังใจกับท่านที่จะช่วยคุ้มครองประชาชน ที่ถูก ข่มขู่คุกคามทำอันตราย จากการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ไปขัดผลประโยชน์ของกลุ่ม นปช. และ 4.พวกเราฝากบอกไปยังท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกว่า ประชาชน ขอให้กำลังใจที่ถูกแกนนำ นปช. โคราช ที่ประกาศปลดท่าน และประชาชนดีใจที่ท่านเข้าข้างประชาชน และปกป้องประเทศไทยมิให้ใครมาแบ่งแยก
 
จากนั้น กลุ่มเกษตรกรชาวนาได้เดินทางไปยังลานอนุสาวรีย์ท้าวสุร นารี(คุณย่าโม) ร่วมกับเวที กปปส.โคราช และกราบไหว้คุณย่าโม ก่อนเดินทางกลับไปยังที่ศูนย์สาธิตฯ ต.ละลมใหม่พัฒนา อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ต่อไปอย่างสงบ
 
 

สุเทพเห็นด้วยกับข้อเสนอเจรจาของยิ่งลักษณ์เพราะเห็นแก่ประเทศไทย

ที่มา ประชาไท


ยิ่งลักษณ์เสนอเจรจาเลขาธิการ กปปส. โดยให้อยู่ในกรอบ รธน. ให้ยุติชุมนุมและยอมให้มีการเลือกตั้ง ขณะที่สุเทพบอกรัฐบาลคงถึงทางตันแล้วจึงขอเจรจา โดยเห็นแก่ประเทศไทยจึงยอมเจรจาด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเจรจาต่อหน้าประชาชน มีการถ่ายทอดสด ถ้ายิ่งลักษณ์ไม่พร้อมให้ทักษิณมาแทนได้
สุเทพ เทือกสุบรรณ ระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 27 ก.พ. (ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)

ุสุเทพยอมเจรจากับรัฐบาลเพราะเห็นแก่ประเทศไทย แต่ขอให้ถ่ายทอดสด ยิ่งลักษณ์ไม่พร้อมทักษิณแทนได้
28 ก.พ. 2557 - สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า เมื่อวานนี้ (27 ก.พ.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.กล่าวปราศรัยที่เวทีลุมพินี ถึงเรื่องที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ว่าอยากให้มีการเจรจาถ้านายสุทพเห็นแก่ประเทศไทย โดยมองว่า การขอเจรจาของนายกรัฐมนตรี แสดงถึงท่าทีที่รัฐบาลถึงทางตัน เพราะนายกรัฐมนตรีร้องขอเจรจา ซึ่งตนเห็นแก่ประเทศไทย จึงมาขออนุญาติจากประชาชน เพื่อเจรจากับนางสาวยิ่งลักษณ์ และพร้อมเป็นตัวแทนประชาชน
สุเทพกล่าวต่อไปว่า แต่การเจรจาต้องทำต่อหน้าประชาชน ต้องเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์และตนเองเท่านั้น หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่พร้อมเจรจา จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเจรจาแทนได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ไหน เมื่อไหร่ ตนเองยินดีและพร้อมเจรจา แต่ต้องถ่ายทอดสื่อโทรทัศน์และวิทยุทุกช่อง เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจพร้อมกัน โดยการเจรจาครั้งนี้ ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าด้วยเรื่อง การปฎิรูปประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ จากการยื่นเรื่องถึง พล.ต.อ.อลุดย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวานนี้ (26 ก.พ.) ให้เร่งรัดคดีเด็กเสียชีวิตและเชิญให้ พล.ต.อ.อลุดย์ เข้ามาตรวจสถานที่ชุมนมเวทีต่างๆ ของ กปปส. ภายใน 3 วัน หากไม่มาและคดีไม่มีความคืบหน้า จะแต่งตั้งคนของ กปปส.ทำงานกันเอง นอกจากนี้ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะถึง คาดว่าจะมีการทำบุญใหญ่ให้วิญญาณผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ความรุนแรงด้วย

ยิ่งลักษณ์ระบุเห็นด้วยกับแนวทางเจรจา แต่ต้องยึดกรอบรัฐธรรมนูญ
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางวัน สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเห็นด้วยกับแนวทางการเจรจา แต่ต้องเป็นการพูดคุย ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ต้องยุติการชุมนุม เพื่อให้การเลือกตั้งเดินหน้าได้ อีกทั้งต้องกำหนดกรอบประเด็นการพูดคุยที่ชัดเจน หากเป็นการคุยนอกกรอบรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้ที่มีความรู้หลายฝ่ายเข้ามาพูดคุย และร่วมกันตัดสินใจ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์มากกว่า เพราะตนเองไม่สามารถตัดสินใจแทนคนทั้งประเทศได้ อีกทั้งเห็นว่า การยึดหลักประชาธิปไตย ไม่ได้คำนึงว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องชนะ แต่สิ่งที่ต้องการเห็น คือประคับประคองประเทศชาติต่อไปได้ ประเทศชาติและประชาชนเป็นผู้ชนะ
ส่วนที่ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส.เสนอให้องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น เข้ามาช่วยแก้ปัญหา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พร้อมรับฟังคำแนะนำเพราะมีประสบการณ์แก้ปัญหาความขัดแย้งมาแล้วหลายประเทศ แต่สุดท้าย ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ ต้องแก้ไขกันเอง

นายกรัฐมนตรีระบุ ผบ.ทัพเรือต้องชี้แจงกรณี นสร. เกี่ยวข้องเหตุรุนแรง

ที่มา ประชาไท


นายกรัฐมนตรีระบุผู้บัญชาการทหารเรือต้องชี้แจงกรณีหน่วยรบพิเศษ กองทัพเรือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรง ด้าน รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศรส. อยากเชิญเลขาธิการสหประชาชาติมาแนะนำวิธีแก้ไขความขัดแย้ง
28 ก.พ. 2557 - ตามที่มีรายงานเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ว่า ด่านความมั่นคงของ สน.บุคคโล แยกมไหสวรรย์ ได้จับกุม จ.อ.สมพงศ์ แท่นนาค และ จ.อ.ปรีชา มูลพวก ทหารเรือ สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) หรือหน่วยซีล ตรวจพบอาวุธปืนพก 2 กระบอก และเครื่องกระสุน บัตรการ์ด กปปส. โดยให้การว่าทำหน้าที่เป็นการ์ดคุ้มครองแกนนำในที่ชุมนุม กปปส. นั้น
ต่อมา สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานเมื่อวานนี้ (27 ก.พ.) ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีหน่วยรบพิเศษ กองทัพเรือเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรงว่า เจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายความมั่นคง ต้องวางตัวเป็นกลาง ผู้บัญชาการทหารเรือ จะต้องชี้แจง แต่ต้องให้เวลาการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการรับทราบข้อกล่าวหา กรณีโครงการรับจำนำข้าวต่อ ป.ป.ช.ว่า ได้หารือกับทีมกฎหมายแล้ว สามารถส่งตัวแทนรับทราบข้อกล่าวหาแทนได้
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. กล่าวกับสำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ ว่า จะเชิญ นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ให้เดินทางมายังประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อให้คำแนะนำถึงแนวทางและความ เป็นไปได้เกี่ยวกับการแก้ปัญหาความขัดเเย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้และเปิดเผย ว่าขณะนี้ทำหนังสือเชิญเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากเลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางยังประเทศไทย จะจัดให้มีการพบกับผู้นำฝ่ายค้าน องค์กรอิสระ ศาลยุติธรรม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และหน่วยงานต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อร่วมแก้ปัญหาตวามขัดเเย้ง และให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ร่วมหารือกับพลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หาแนวทางและช่วยกันประสาน ติดตามจับกุม ผู้ก่อเหตุทำร้ายประชาชน โดยวิธีดังกล่าว ยังสามารถลดการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของกองทัพที่มีอยู่ขณะนี้อีกด้วย

กวป.ยอมหยุด ไม่เทปูนปิดทางเข้า ป.ป.ช.

ที่มา ประชาไท


ตร.เจรจาสำเร็จ 'กวป.' ยอมหยุดเทปูนปิดทางเข้า-ออก ป.ป.ช. ประกาศขอดูท่าที ป.ป.ช.ต่ออีก 1-2 วัน เล็งปิด กกต.ที่ต่อไป แต่ยังไม่กำหนดวัน
27 ก.พ. 2557 ที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กลุ่มคนเสื้อแดง นปช.นนทบุรีและกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ยังคงตั้งเวทีปักหลักชุมนุมหน้าสำนักงาน ป.ป.ช. อย่างต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยปิดเส้นทางจราจรหน้าสำนักงาน ป.ป.ช.1 ช่องทางจราจรรัศมี 50 เมตร
ศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษก กวป.พร้อมกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดราชบุรี ร่วมกันแถลงข่าวกำหนดท่าที ในการชุมนุมคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. รวมถึงองค์กรอิสระทั้งหมดโดยบอกว่า จะชุมนุมต่ออีก 1-2 วัน เพื่อดูท่าทีของ ป.ป.ช. ว่าจะชี้แจงกับประชาชน หรือไม่ โดยเป้าหมายต่อไป กลุ่ม กวป. จะไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง กกต. แต่ยังไม่กำหนดวันที่แน่นอน ขอประเมินสถานการณ์ก่อน
ก่อนหน้านี้ ศรรักษ์ อ่านแถลงการณ์ กวป. ฉบับที่ 2 บนเวที เรียกร้องต้องการพูดคุยกับนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจากเห็นว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นกลาง จึงต้องการให้พิจารณาคดีโดยไม่เลือกปฏิบัติ ให้พิจารณาคดีตามลำดับก่อนหลัง พร้อมระบุไปดำเนินคดีคดีที่ผ่านมาก่อน แล้วจะพิจารณาคดีของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ก็ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ถอนคดีความที่มีการฟ้องร้องต่อ กวป.ทั้งหมด มิเช่นนั้น กวป.จะเทปูนปิดประตูของสำนักงาน ป.ป.ช.ทุกประตู และประกาศปิดปรับปรุง ป.ป.ช.ชั่วคราว จนกว่าจะมีการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ จากการเลือกตั้ง

สำหรับการเทปูนนั้น แกนนำได้ประกาศให้เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช.นำรถยนต์ออกจากสำนักงาน ป.ป.ช.ก่อนเวลา 12.00 น. เพราะจะนำปูนมาเทหน้าประตูสำนักงาน ป.ป.ช.ทุกประตู เหมือนกับที่กลุ่ม กปปส. ได้นำปูนไปเทประตูทำเนียบรัฐบาลเพื่อไม่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าไปภายในทำเนียบได้ ถ้ากรรมการ ป.ป.ช.ไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็จะปิดประตู ป.ป.ช.อย่างถาวรต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายครรทอง ยุทธชัย รองผู้ว่าฯ นนทบุรี ได้ออกมารับหนังสือบริเวณหน้าประตูทางเข้าสำนักงาน ป.ป.ช.จากนายศรรักษ์ โดยกลุ่ม กวป.เรียกร้องให้ ป.ป.ช.ทำตามข้อเรียกร้องภายใน 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะเทปูนประตูเข้าออกทั้งหมดของสำนักงาน ป.ป.ช.
ทั้งนี้ มีรายงานว่า กลุ่ม กวป. ได้นำหินและทราย มาเทปิดบริเวณทางเข้าออกของ ป.ป.ช. ด้านฝั่งประตูกองสลากทั้ง 2 ประตู เพื่อเตรียมเทปูนปิดซ้ำอีกครั้ง ตามที่ได้ประกาศไว้ เพื่อไม่ให้รถยนต์สามารถเข้าออกได้
ส่วนบริเวณด้านหน้าอีกสองประตูกลุ่ม กวป.ใช้โซ่คล้องล็อกไว้ทั้งหมด หากเจ้าหน้าที่จะเข้าทำงาน ต้องเดินเข้าประตูเล็กด้านหน้า ที่อยู่ติดกับเวทีเท่านั้น แต่ พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ภักดีณรงค์ รอง ผบก. ตำรวจภูธร จ.นนทบุรี มาเจรจาไม่ให้ผู้ชุมนุมเทปูนปิดทางเข้า-ออก ทำให้มวลชนบางส่วนไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนน้อยกว่าเจ้าหน้าที่อย่างมาก


ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ มติชนออนไลน์ และสำนักข่าวไทย