คำสั่งศาลแพ่งที่ให้รัฐบาลระงับมาตรการทั้ง 9 ประการภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นับเป็นจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ระหว่างพวกเผด็จการกับฝ่าย ประชาธิปไตย
ก่อนหน้านี้ แม้ฝ่ายจารีตนิยมจะใช้ตุลาการเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกำจัดพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรและเครือข่ายมาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยในช่วงปี 2549-50 ถึงรัฐบาลพรรคพลังประชาชนในปี 2551 แต่องค์กรเหล่านั้น ก็ยังเป็นเพียงองค์กรเฉพาะในรัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ บุคลากรก็มีสถานะเป็น “กรรมการ” หรือ “ตุลาการ” ที่ไม่ใช่ “ผู้พิพากษา”
องค์กรตุลาการ เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้อมกรอบและจำกัดบทบาทของพรรคการเมืองและนักการ เมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจเพียงยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง ลงโทษเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่มิได้มีบทบาทครอบคลุมไปถึงสวัสดิภาพและการดำเนินชีวิตโดยตรงของประชาชน ทั่วไป การที่พวกจารีตนิยมใช้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือไปทำลายพรรคการเมืองฝ่าย ประชาธิปไตยถึงจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนที่เลือกนักการเมืองและพรรค การเมืองนั้น ๆ เข้ามา แต่ก็ยังไม่กระทบถึงสิทธิ์ในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนโดยตรง
ผล ที่ตามมาในเวลานั้นก็คือ “ความเสื่อม” ในสถานะความน่าเชื่อถือขององค์กรเหล่านี้ ทำให้ประชาชนได้เห็นเนื้อแท้ขององค์กรเหล่านี้ว่า เป็นเพียงมือเท้าของพวกจารีตนิยมในทำลายพรรคฝ่ายประชาธิปไตยและรักษาไว้ซึ่ง สถานะอภิสิทธิ์ชนของพวกเขาเท่านั้น แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่กระทบศาลยุติธรรม ซึ่งในขณะนั้นยังมิได้แสดงบทบาททางการเมืองอย่างเด่นชัดนอกเหนือไปจาก “คดีการเมือง” เช่น คดีป.อาญาม.112 ซึ่งยังถูกมองว่า “เป็นกรณีพิเศษ” เท่านั้น
แต่ในการรุกครั้งใหญ่ของพวกจารีตนิยมในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน ศาลยุติธรรมก็ได้มีบทบาทอย่างเด่นชัดในการระงับการใช้อำนาจโดยเจ้าหน้าที่ ตำรวจตาม พรก.ฉุกเฉินในกรณีเฉพาะหลายครั้งด้วยกัน กระทั่ง คำสั่งศาลแพ่งที่ห้ามรัฐบาลใช้อำนาจตามมาตรการ 9 ข้อภายใต้ พรก.ฉุกเฉินนั้น ถึงแม้จะมิได้ยกเลิก พรก. แต่รัฐบาลและตำรวจก็ไม่สามารถใช้อำนาจตาม พรก.ได้อีกต่อไป จึงเท่ากับมีผลในทางปฏิบัติเสมือนยกเลิก พรก.ฉุกเฉินไปแล้วนั่นเอง ทั้งหมดนี้มีผลสะเทือนถึงรากฐานทางนิติรัฐของสังคมไทยโดยตรง เพราะศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่ในการตีความและบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครอง สิทธิ์เสรีภาพในชีวิตประจำวันของประชาชน ยึดหลักการนิติรัฐที่ทุกคนเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ก็เพื่อให้ผู้ปกครองและประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมอย่างสันติ
นัย หนึ่ง ศาลยุติธรรรมคือ “ปราการด่านสุดท้าย” ของสังคมที่ซึ่งผู้ปกครองและประชาชนจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ศาลเป็นหลักยึดทางกฎหมายที่ทำให้ประชาชน “ยินยอมพร้อมใจ” ที่จะอยู่ใต้การปกครอง หากพ้นไปจาก “ปราการด่านสุดท้าย” นี้แล้ว สังคมก็คือ บ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไร้กฎหมาย ที่ผู้ปกครองกดขี่ประชาชนได้ตามอำเภอใจนั่นเอง
หากว่า ศาลยุติธรรมในประเทศใด ๆ ก็ตามมีบทบาทเด่นชัดทางการเมือง ศาลในประเทศนั้นก็จะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจในหมู่ประชาชนไป สิ่งที่ตามมาก็คือ ศาลของประเทศนั้นก็จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในที่สุด ถึงแม้ว่าศาลจะมีสถานะพิเศษที่ได้รับการคุ้มครองจาก “การดูหมิ่น” ก็ตาม
ใน สถานการณ์ปัจจุบันที่พวกจารีตนิยมใช้กลุ่มมวลชนอันธพาลติดอาวุธบนท้องถนน ประสานกับกลุ่มทหาร สื่อมวลชนและองค์กรวิชาชีพที่เป็นเครือข่ายอุปถัมป์ เคลื่อนไหวล้มล้างนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
พร ก.ฉุกเฉินก็คืออาวุธทางกฎหมายที่รัฐบาลจะใช้ในการรับมือกับการกระทำรุนแรง ของกลุ่มอันธพาลติดอาวุธ และปกป้องสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ บัดนี้ รัฐบาลก็ไม่มีเครื่องมือที่จะใช้ป้องกันตนและปกป้องประชาชนได้อีกต่อไป นับแต่นี้ไป กลุ่มอันธพาลจะยิ่งใช้มาตรการรุนแรงที่ละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของประชาชนทั่วไป เพื่อล้มล้างรัฐบาลได้โดยปราศจากการขัดขวางแต่อย่างใด
นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐบาลจึงกำลังตกอยู่ในสถานะที่สุ่มเสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง ที่จะถูกกระทำด้วยมาตรการรุนแรงต่าง ๆ จากกลุ่มอันธพาลติดอาวุธ ณ เวลาและสถานที่ที่พวกนั้นต้องการ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ดำเนินมาตรการขัดขวางเนื่องจากขาดการคุ้มครอง ทางกฎหมาย
ประเทศไทยได้มาถึงจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง เมื่อประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มอันธพาลบนถนนรู้สึกว่า ตนมิได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ตามกฎหมาย เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมไม่สามารถอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ได้อีกต่อไป และกลับตกอยู่สภาพที่ “เป็ดง่อยที่ถูกรัฐประหารโดยตุลาการและกลุ่มมวลชนติดอาวุธ”
ใน สถานการณ์อันคับขันเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีจะต้องเสริมสร้างสภาวะผู้นำของตนออกมาให้ชัดเจนโดยเร็ว ยุติความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะประนีประนอมและรอคอยความเมตตาจากพวกจารีตนิยม จุดมุ่งหมายของคนพวกนั้นคือการทำลายพ.ต.ท.ทักษิณและนายกฯยิ่งลักษณ์ ตระกูลชินวัตร ตลอดจนเครือข่ายทั้งหมดอย่างถึงที่สุด “สัญญาณบวก” ใด ๆ ล้วนหลอกลวงที่จะตามมาด้วยการฟาดฟันที่รุนแรงยิ่งขึ้น เหมือนที่เป็นมาแล้วทุกครั้งในอดีต ตระกูลชินวัตรมีแต่ตั้งหน้าสู้อย่างเด็ดเดี่ยวโดยอาศัยพลังสนับสนุนของ ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น จึงจะอยู่รอดได้
ขณะนี้ กรุงเทพฯได้กลายเป็นฐานที่มั่นทางทหารและการเมืองของพวกจารีตนิยมอย่างเต็ม รูปแบบ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ดำรงอยู่ในกรุงเทพฯเสมือนเป็น “กวางน้อย” ในทุ่งโล่งที่ล้อมรอบไปด้วยฝูงสิงโตกระหายเลือด รอวันที่จะถูกปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ และกองทัพรุมขย้ำ นายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐบาลจะต้อง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว แหวกวงล้อมอำมหิตนี้ออกไปโดยเร่งด่วน ย้ายศูนย์บัญชาการของรัฐบาลสู่ฐานที่มั่นในภูมิภาค แล้วเร่งดำเนินการเสริมสร้างอำนาจรัฐของตนบนฐานการสนับสนุนของมวลชนอันเข้ม แข็งในพื้นที่
นายกรัฐมนตรีต้องยืนหยัดไม่ยอมรับอำนาจและ การชี้ขาดของ ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรตุลาการใด ๆ ที่มิได้มาจากอำนาจอธิปไตยของปวงชน และนายกรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งไปก็ด้วยขั้นตอนที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น
รัฐบาล ต้องเร่งสร้างเสริมอาสาสมัครปกป้องประชาธิปไตยขึ้นทั่วประเทศ เปิดกว้างให้มวลชนในทุกพื้นที่ได้เข้าร่วมอย่างกว้างขวางและเป็นจำนวนมากที่ สุดในฐานะเป็นกองสนับสนุน เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการต่อสู้ต่อต้านการรุกของพวกเผด็จการในกรุงเทพฯที่จะ กระทำต่อฝ่ายประชาธิปไตย ยิ่งรัฐบาลยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคได้ยืดเยื้อนานเท่าไร แรงสนับสนุนจากมวลชนและมิตรต่างชาติก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น พวกเผด็จการก็ยิ่งขาดความชอบธรรมและก็จะค่อย ๆ อ่อนกำลังลงและพ่ายแพ้ไป
มี แต่การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ลุกขึ้นยืนแล้วสู้กับการรุกของฝ่ายเผด็จการ อาศัยความสนับสนุนอันแข็งขันจากประชาชนทั่วประเทศและเพื่อนมิตรนานาประเทศ เท่านั้น ฝ่ายประชาธิปไตยจึงจะอยู่รอดและได้รับชัยชนะในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น