แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รายงาน: เสียงจากผู้บาดเจ็บ กปปส. เหตุการณ์ ‘ผ่านฟ้า’

ที่มา ประชาไท



เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสังคมไทย เริ่มตระหนักว่า ‘สงครามกลางเมือง’ อาจไม่ไกลเกินเอื้อม โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุกราดยิงที่จ.ตราด -ระเบิดที่ห้างบิ๊กซี ราชดำริ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองเหตุการณ์รวม 5 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 4 คน
ก่อนหน้านั้น 19 ก.พ.ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาออกมาให้ยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ หากแต่รัฐไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้ ก่อนหน้าคำพิพากษา 1 วัน เกิดเหตุปะทะรุนแรงที่สะพานผ่านฟ้าฯ ระหว่างตำรวจท่เข้ารื้อถอนเต๊นท์ผู้ชุมนุมกลุ่มกองทัพธรรม กับผู้ชุมนุมและการ์ด ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย รวมถึงปัจจุบันรวม 6 ราย เป็นตำรวจ 2 ราย (ในจำนวนนี้เสียชีวิตภายหลังเหตุการณ์ 1 ราย)  ผู้ชุมนุม 4 รายและมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ยังคงเป็นเงื่อนปมที่สำคัญ ท่ามกลางข้อสันนิษฐานมากกมาย และท่ามกลางความรุนแรงใหม่ๆ ที่โถมทับเข้ามาเรื่อยๆ
หลังเหตุการณ์ 1 วัน ประชาไทเดินทางไปยังโรงพยาบาล 2 แห่ง ร่วมกับอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมือง ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมสื่อมวลชนอีก 2-3 สำนัก เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ
ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่าบาดเจ็บจากกระสุนตามจุดต่างๆ ของร่างกาย หลายรายกระดูกแตกและต้องรักษายาวนาน
ณ วันที่ 19 ก.พ. โรงพยาบาลกลางมีผู้บาดเจ็บที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 2 ราย โรงพยาบาลวชิรพยาบาลมีผู้บาดเจ็บ 5 ราย ทั้งหมดเป็นผู้ชุมนุม ขณะที่โรงพยาบาลตำรวจ มีตำรวจที่บาดเจ็บ 24 ราย (ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ)
โดยสรุป จากปากคำผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บเกือบทั้งหมดพบว่า ได้รับบาดเจ็บบริเวณถนนราชดำเนิน ในช่วงที่ตำรวจควบคุมฝูงชนกำลังล่าถอยหลังโดนระเบิดจนแตกกระจาย โดยผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นการ์ดบ้าง เป็นผู้ชุมุนุมธรรมดาบ้าง ได้ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการไล่ตามการถอยร่นของตำรวจ
ผู้บาดเจ็บมาจากหลากหลายจังหวัด หลากหลายภูมิภาค แต่ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่มาคนเดียว ไม่ได้มาเป็นหมู่คณะ
ทั้งหมดระบุว่าเห็นว่าตำรวจมีอาวุธปืน และเชื่อว่ามีการใช้กระสุนจริง โดยเฉพาะจากการบาดเจ็บของพวกเขาซึ่งแนวกระสุนน่าจะมาจากฝั่งตรงข้ามคือ ตำรวจชุดคุ้มกันที่อยู่ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะที่มีอยู่รายหนึ่ง ยืนยันว่า แม้ไม่เห็นการใช้อาวุธของผู้ชุมนุม แต่ระหว่างที่ชุลมุนก่อนระเบิดลงนั้น ได้ยินเสียงปืนจากทั้งฝั่งตำรวจและการ์ดผู้ชุมนุม นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บบางคนที่ระบุว่าหลังระเบิดลงและเห็นตำรวจบาด เจ็บ เขาได้เข้าไปช่วยลำเลียงตำรวจที่บาดเจ็บด้วย
(อ่านปากคำตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บในวันพรุ่งนี้)
                                                                                              
กลุ่ม ส.ว. นำโดยคำนูญ สิทธิสมาน เข้าเยี่ยมอาการกฤษดา เพ็งจำรัส
กฤษดา เพ็งจำรัส อายุ 35 ปี  เขาเป็นการ์ดกองทัพธรรม โดยพื้นเพเป็นคนอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา มาร่วมชุมนุมกับ กปปส. เกือบ 2 เดือนแล้ว เขามีอาชีพเป็นช่างฝีมือ ทำกนกตามวัดต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อปี 2547
“เหตุการณ์ที่นั่นหนักกว่านี้เยอะ อันนี้ชิลๆ (หัวเราะ) เวลาเราขี่มอเตอร์ไซด์จอดรถขี่ไฟแดงยังกลัวเลย ไม่รู้ว่าจะมาจากทางไหน แต่มาที่นี่เรายังเห็นว่าตำรวจมาตรงไหน”
กฤษดาเล่าว่า เขาถูกยิงเวลาประมาณบ่ายโมง บริเวณถนนราชดำเนิน ใกล้เทเวศประกันภัย และระบุว่าได้รับบาดเจ็บโดนกระสุนเข้าที่แขนซ้าย อกซ้าย และขาทั้ง 2 ข้าง เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากตำรวจส่วนหน้าถูกระเบิดบริเวณสะพานผ่านฟ้าและกำลัง ล่าถอย เมื่อตามไล่ตำรวจที่ถอยไประยะหนึ่ง เขาและผู้ชุมนุมประมาณ 30 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่พอๆ กับตำรวจที่อยู่ด้านตรงข้าม ช่วยกันทำบังบังเกอร์กันตำรวจไม่ให้ตีกลับ โดยกระเถิบตามแนวตำรวจไปเรื่อยๆ พวกเขาลากแผงเหล็กมาวางต่อกัน จังหวะที่โดนยิงนั้นเขาวางแผงเหล็กแล้วกำลังจะหันหลังกลับ
“ก่อนจะยิงเข้ามา เหตุการณ์สงบอยู่ ตำรวจก็ถอยร่นไปจนถึงอนุสาวรีย์ฯ แล้ว เราก็ย้ายแนวบังเกอร์ตามตำรวจไปเรื่อยๆ กันไม่ให้ตำรวจตีกลับ ก่อนจะย้ายก็คิดอยู่ว่าจะโดนยิงไหม แต่คิดว่าคงแค่กระสุนยาง ไม่น่าเป็นกระสุนจริงเพราะอยู่ในที่โล่งด้วย ถ้ากระสุนจริงมันจะน่าเกลียดเกินไป เราแค่ไปทำบังเกอร์ไม่ได้ไปทำร้ายอะไรเขา ตอนที่ตำรวจหลบอยู่หลังรถห้องขังนี่เห็นบางส่วนถือเอ็ม 16 ผมเป็นคนไปตามช่างภาพมาถ่ายด้วย เขาอาจเล็งผมไว้แล้ว” เขากล่าว
กฤษดาเล่าถึงความรับรู้ของเขาว่า ตำวจชุดเจรจามาคุยกับแซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำกองทัพธรรม ตั้งแต่ 8 โมงเช้าเพื่อจะขอคืนพื้นที่ แต่เมื่อไม่ประสบผลกลับไป ตำรวจชุดที่สองก็เข้ามาและไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย ทำการบุกเพื่อรื้อเต๊นท์ทันที
“คนมาเริ่มนั่งสวดมนต์ประมาณ 9 โมง ผมเป็นการ์ดคอยทำหน้าที่คอยห้ามผู้ชุมนุมที่ห้ามอารมณ์ไม่อยู่จะไปตีตำรวจ เราต้องคอยห้ามปราม ก่อนหน้านั้นตอนกลางคืน ชุดหัวหน้าการ์ดเรียกประชุมกันหมด แผนเราคือ นั่งสวดมนต์ ถ้ามีแก๊สน้ำตาลง เราจะพามวลชนเข้าไปวังแดง ทหารจะคอยเปิดประตูไว้ให้ หน้าที่การ์ดคือพามวลชนไปวังแดง”  เขากล่าว
กฤษดาเล่าว่า เวลาประมาณ 10.00 น. ตำรวจเริ่มนำแทรกเตอร์มาดันกระสอบทราย เมื่อเริ่มเข้ามาข้างในได้ก็เริ่มจะปะทะกัน ขณะที่กำลังฝั่ง คปท.ก็เข้ามาช่วยเสริม โดยเป็นด่านหน้าปะทะกับตำรวจ เมื่อฝั่งตำรวจเห็นว่าเริ่มมีกำลังเยอะขึ้นก็ยิงแก๊สน้ำตาใส่เพื่อกระจายมวล ชนออกไป ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สักพักจึงมีเสียงปืนดังขึ้น
เขากล่าวด้วยว่า ตรงสะพานผ่านฟ้าฯ ที่ตำรวจโดนระเบิดนั้น มีตำรวจ 2 คนถือปืนคล้ายเอ็ม 16 มาแล้วกระโดดไปอยู่ใต้สะพาน ตอนนั้นเริ่มมีคนเจ็บและช่วยหามคนเจ็บออก ส่วนพวกนั่งสวดมนต์ก็โดนแก๊สน้ำตาที่หน้าเวทีก็ต้องออกจากพื้นที่
“ก่อนหน้าระเบิดลง มีเสียงปืนดัง แล้วก็มีปะทัดยักษ์ 2-3 ลูกก่อน ระเบิดลงฝั่งตำรวจที่อยู่ตรงผ่านฟ้าประมาณ 100 คน พอระเบิดลงตำรวจ 50-60 คนก็ถอยกลับไป ที่ยังอยู่ก็ล้อมตำรวจที่บาดเจ็บอยู่ ตอนนั้นเราก็สั่งหยุดกันหมด ให้ตำรวจเอาผู้บาดเจ็บออก เราก็ช่วยกันห้ามเผื่อมีมวลชนเข้าไปทำร้ายตำรวจซ้ำ ผู้ชุมนุมของเรา 4-5 คนช่วยยกตำรวจออกมา เรียกว่าพักรบก่อน (หัวเราะ)”
“ตอนขว้างระเบิดผมไม่เห็น ผมอยู่มุมหน้าเวที เห็นแต่ตำรวจลุกยืนขึ้นมาแล้วก็ระเบิดตูม ผมอยู่ห่าง 30-40 เมตร ตอนนั้นประมาณเที่ยง จากนั้นเขาก็สั่งถอยกัน ระเบิดมาจากไหนเราก็ไม่รู้เหมือนกัน บางคนก็บอกว่าติดตาข่ายมั่ง อะไรมั่ง เราก็ไม่รู้ความจริง แต่ตำรวจคงไม่ขว้างระเบิดสังหารเข้ามาแบบนั้นหรอก เราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร”
เมื่อถามถึงเหตุผลที่มาร่วมชุมนุม กฤษดากล่าวว่า คนใต้ที่ขึ้นมาชุมนุมเยอะเพราะโดยพื้นฐานนิสัยจะสนใจการเมืองอยู่แล้ว สำหรับเขาก็มีการพูดคุยกับเพื่อนที่ติดตามการเมืองโดยตลอด
“ที่มาครั้งนี้ที่รับไม่ได้คือเรื่องการโกง ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ โกงก็โกงกันหมด แต่นี่โกงเยอะเกิน เหมือนกับโกงเราด้วย เลยต้องออกมาต่อสู้” กฤษดากล่าว

อภิพันธ์ นาคราช
อภิพันธ์ นาคราช ชายหนุ่มชาวอยุธยาอายุ 30 ปี  เขาประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่ อ.วังน้อย มาชุมนุมกับ กปปส.ตั้งแต่ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยร่วมกับพันธมิตรฯ หรือกลุ่มการเมืองใดๆ
“ตอนแรกผมเป็น กปปส.อยู่อยุธยา แล้วมาเป็นการ์ดแจ้งวัฒนะ”
“อยุธยาเสื้อแดงเยอะ แดงทุกพื้นที่ก็จริง แต่ก็ไม่มีปัญหากัน เขาก็ยอมรับกัน ผมมาอยู่กับอาชีวะกู้ชาติ ไม่ได้เรียนอาชีวะแต่มาเจอกันที่แจ้งวัฒนะเลยรวมเต๊นท์เป็นเต๊นท์เดียวกัน”
เขาอธิบายว่าอาชีวะกู้ชาติ คือ นักเรียนอาชีวะจากหลากหลายสถาบันมารวมกัน โดยแบ่งเป็นหลายกลุ่มย่อย กลุ่มของเขาจะมีอยู่ประมาณ 20-30 คน ตั้งแต่มาชุมนุมอภิพันธ์ก็เป็นการ์ดอยู่เวทีแจ้งวัฒนะตลอด วันเกิดเหตุเขามากับกลุ่มอาชีวะออกจากแจ้งวัฒนะ ถึงสะพานผ่านฟ้าประมาณเที่ยง ขณะที่ตำรวจกำลังเข้ารื้อเวทีพอดี
“ตำรวจจะเขาจะตั้งแนว แต่จะมีคนใส่ชุดดำๆ เสื้อกันกระสุนเลวิ่งเลาะข้างสะพานมา แล้วอยู่ข้างหลังแนวที่จะมาสลายการชุมนุม ระหว่างนั้นเขายิงแก๊สน้ำตากันเยอะ เราเอาหินขว้าง สักพักเขาสวนกลับมาด้วยกระสุนยาง พอเสียงปืนกระสุนยางดังปุ๊บ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นมาเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าตรงไหนแน่ คราวนี้ก็ยิงใส่กันทั้งสองฝ่าย น่าจะเป็นการ์ดในที่ชุมนุมกับตำรวจ การ์ดมีอาวุธหรือเปล่า ผมไม่เห็นด้วยตา แต่ได้ยินเสียงปืนยิงสวนกันไปมา สักพักแล้วก็มีเสียงดังขึ้นมา น่าจะเป็นเสียงระเบิด จากนั้นตำรวจก็ล้มลงไป แล้วตำรวจก็ถอย ผมกับมวลชนก็ดันกันเข้าไป จากนั้นมันจะเป็นทางตรงวิ่งไปอนุสาวรีย์ พอถึงเส้นนั้น ตำรวจก็ใช้กระสุนจริง”
“บรรยากาศตอนนั้นมันไม่ใช่การชุมนุมแล้ว มันเป็นสนามรบแล้ว”
เขายอมรับตามตรงว่า ไม่เห็นการใช้อาวุธของฝ่ายผู้ชุมนุม เพียงแต่ได้ยินเสียงปืนมาจากทางผู้ชุมนุมด้วย และเห็นฝั่งตำรวจยิงสวนไปพลาง หมอบหลบไปพลาง เมื่อตำรวจถอยหลัง เขาก็ดันต่อไป ในช่วงนี้ผู้ชุมนุมที่ถูกยิงล้วนโดนกระสุนจริง
“ผมถูกยิง ตอนที่มวลชนช่วยกันไล่ตำรวจถอยร่น ผมอยู่เลยซอยแรกหลังสะพานผ่านฟ้า (ธนาคารกรุงเทพ)  ไปสัก 10 เมตร โดนสองนัด ขาขวาหนึ่ง ที่ท้องหนึ่ง”
“ผมคิดว่าตำรวจนี่เขาไม่ได้ทำเพื่ออุดมการณ์อะไรหรอก ตอนเขาหนี เขาทิ้งหมด วิ่งหนีพูดง่ายๆ ว่า หางจุกตูดเลย ผมเอาเกราะที่ตำรวจใช้มาบัง เชื่อไหมเป็นรูหมดเลย เพราะโดนลูกกระสุนจริง ใครโดนร่วงก็หาม ทำไมตำรวจต้องยิงใส่ประชาชนขนาดนี้ เป็นคนไทยเหมือนกัน”
“ถามว่าทำไมต้องวิ่งตาม มันเป็นมวลชน ถ้าถามผมคนเดียวผมก็ตอบพี่ได้ แต่เข้าใจอารมณ์มวลชนไหม ไปกันเยอะแบบนี้มันคุมไม่ได้” อภิพันธ์กล่าวทิ้งท้าย

กิตติ สืบแก้ว
กิตติ สืบบัวแก้ว ชาวอำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบฯ อายุ 41  ปี ทำอาชีพค้าขายอยู่ใน อ.เมืองประจวบเพิ่งมาชุมนุมกับ กปปส. แบบไปๆ กลับๆ รวมแล้ว 6 ครั้ง ก่อนหน้านี้เคยมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ครั้งหนึ่ง โดยเหตุผลที่มาร่วมชุมนุมนั้นเพื่อต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม และการคอรัปชั่น
เขาถูกยิงตรงถนนราชดำเนิน ใกล้อนุสาวรีย์ขณะอยู่ตรงข้ามกับเทเวศประกันภัย ในเวลาประมาณก่อนเที่ยงเล็กน้อย เขาบอกว่าในวันเกิดเหตุเพิ่งเดินทางมาจากบางสะพานเพียงคนเดียว ถึงผ่านฟ้าฯ ราว 10 โมง  ระหว่างเดินกินข้าวบริเวณใกล้เคียง ได้ข่าวว่ากองทัพธรรมถูกสลายเลยไปช่วยยันกับตำรวจ
“เห็นตำรวจเยอะ เป็นพัน ที่ทำเป็นชั้นๆ ถือโล่มีประมาณร้อยได้ เห็นตำรวจถือปืนด้วย แต่ไม่รู้ปืนจริงหรือปืนยิงกระสุนยาง ผมเองก็แยกไม่ออก”
“ผมไปช่วยตำรวจตรงเต๊นท์กองทัพธรรมที่โดนระเบิด มันเสียง บึบ! ผมไม่เห็นตอนระเบิด เขายิงแก๊สน้ำตา ผมก็ถอย หันอีกทีมีเสียงระเบิดแล้ว ตำรวจก็กระจายเลย ผมอยู่ห่างตรงนั้นไปทางอีกซีกหนึ่ง แล้วพวกเราหลายคนก็เข้าไปช่วยหามตำรวจที่บาดเจ็บออกมา มี 3 คน จากนั้นตำรวจก็ถอย เราก็รุกเข้าไป ไล่ไปเรื่อยๆ ด่าตำรวจว่าโหดร้าย เพราะก่อนจะบึ้ม ฝ่ายผมก็เจ็บอยู่ 2-3 คน มีผู้หญิงโดนยิงหัวเข่ารึอะไรด้วย” กิตติเล่า
“เรายิกเขาไปเรื่อยๆ ตำรวจวิ่งไปเลย แล้วทีหลังก็ไปตั้งแถวใหม่ เขามีจุดบัญชาการเขาละมัง มีรถมีอะไร เห็นตำรวจเล็งอยู่เรื่อย ยิงมั่ง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันปืนแบบไหนมั่ง”
กิตติโดนยิงใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิไตย เนื่องจากกลุ่มของเขาค่อนข้างบางเบา กระจายตัวอยู่บริเวณใกล้กัน ไม่เกิน 30
“ตอนตำรวจถอยเรารุกคืบเข้าไปแล้วตำรวจก็ยิงปุงปังๆ เราก็กำลังจะถอยแล้ว เตรียมจะวิ่งหนี หาที่กำบังก็โดนยิง ผมก็ล้มพอดีมือแตะกำบังพอดี พวกอยู่ในกำบังก็ดึงผมเข้าไป ลากเข้าไป แล้วเอาไปส่งรถโรงพยาบาล ตอนโดนทรุดเลย ยกขาไม่ได้เลย นึกไว้แล้วว่าโดนกระดูกแน่ๆ” กิตติกล่าวและว่าหมอบอกว่ากระสุนโดนกระดูก ต้องใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาล 15-20 วัน
สุรพล วานิชทัศน์
สุรพล วานิชทัศน์ อายุ 57 ปี เป็นชาวมุสลิมในกรุงเทพ แต่โยกย้านไปตั้งถิ่นฐานและทำงานที่พัทยา จังหวัดชลบุรี นานแล้ว โดยเขารับจ้างตัดต้นไม้ และรับจ้างทั่วไป ที่ผ่านมาเคยมาร่วมชุมนุมตั้งแต่สมัยพันธมิตรฯ ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา อันที่จริงเขาร่วมชุมนุมตั้งแต่สมัย 14 ตุลา 16 ในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนและตามเพื่อนอาชีวะไปร่วมชุมนุม  -ปี 47-49 เป็นพันธมิตรมาโดยตลอด สำหรับการชุมนุมของ กปสส. เขาก็ร่วมมา 3 เดือน โดยปักหลักอยู่สวนลุมพินี โดยวันเหตุเขาเดินทางมาร่วมชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ เพราะได้ข่าวว่าตำรวจจะเข้าสลาย ช่วงสายๆ เมื่อเดินทางถึงเวทีกองทัพธรรมแล้วก็เห็นตำรวจเยอะพอสมควร มีการชี้แจงจากฝั่งตำรวจเพียงว่าจะขอคืนพื้นที่ จากนั้นก็เริ่มกดดันหนัก มวลชนบางส่วนใช้ขวดน้ำปาใส่ ตำรวจก็ตอบโต้โดยใช้แก๊สน้ำตา ที่
“ตอนนั้นมันชุลมุนหลายจุด ตอนแรกมีคนอยู่ใต้(ข้าง)สะพานผ่านฟ้าเยอะมาก รู้สึกจะใส่ชุดสีดำ ผมอยู่ด้านธนาคารกรุงเทพฯ เห็นชุดดำประมาณ 5-6 คน วินาทีที่ผมเห็น แน่นอนว่ามาจากฝ่ายตำรวจ มวลชนคนอื่นไม่ค่อยได้มายืนหรอก ผมเป็นคนจัดแนวลูกยางไม่ให้ตำรวจเข้ามาสะดวก ผมไปวางๆๆ ลูกยาง แผงเหล็ก ตอนนั้นผมก็ไม่มีกล้อง คนที่เป็นตำรวจคนอื่นมีคำว่า POLICE อยู่ แต่พวกชุดดำไม่มีคำนั้นอยู่ ...พอเห็นตรงนั้นปุ๊บก็จะเกิดเสียงระเบิด เสียงอะไรแล้ว แต่ระหว่างที่เห็นชุดดำ มันก็มีเสียงปืน เสียงอะไรกันตลอด เขาไม่ได้พกอะไรมากมาย มีพวกมีโล่ แล้วพวกที่ประทับปืนก็อยู่หลังโล่”
“พอได้ยินเสียงระเบิดทุกคนก็หลบ แล้วเห็นตำรวจที่ล้ม ไม่รู้ระเบิดมาจากไหน ตรงนั้นกองทัพธรรมเขาเอาโต๊ะอาหารใหญ่ๆ ไปกั้นไว้แล้ว ตำรวจอยู่หลังโต๊ะอาหาร ไม่รู้ระเบิดมาจากไหน แต่ได้ยินเสียงชัดมาก...พอระเบิดลง เห็นตำรวจบาดเจ็บ 3-4 คน ผมเป็นคนเดียวที่เข้าไปช่วย ถือเปลตำรวจโดนที่หน้าเยอะเหมือนกัน แล้ววิ่งออกไป ช่วยตำรวจสองคน ช่วยผู้หญิงและชายอย่างละคน เป็นผู้ชุมนุมของกองทัพธรรม ระหว่างที่วิ่งไปพวกพยาบาลก็สวนมา”
“ตอนนั้นตำรวจไม่มีใครหันเลย เหมือนเขากำลังนั่งงง นั่งตะลึงกันหมดเลย จุดที่เขาตะลึงกันอยู่ใกล้แดนกองทัพธรรมด้วย เขาก็ไม่กล้าลุก อาจเจ็บด้วยอะไรด้วย เขาไม่ได้ลุก นานมากเลย เขาไม่ได้รีบลุกนะ”
อนุกรรมการสิทธิฯ ถามว่าที่บริเวณนั้นตำรวจยิงฝ่ายเดียวหรือทางการ์ดยิงไปด้วย เขาตอบว่า ทางฝ่ายนี้จะยิงไปด้วยหรือเปล่าไม่เห็น และเขาก็ไม่เห็นใครมีอาวุธปืน
“ผมไม่เห็นมีใครมีปืน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าซีกด้านวัดปรินายกวรวิหาร จะมีหรือเปล่า แต่ตรงจุดผมอยู่ผมไม่เห็น ผมไม่ได้สังเกตจุดอื่น”
ส่วนตัวของสุรพลนั้นโดนยิงขาขวาในจังหวะที่กำลังนำเอายางไปปิดเส้นทางบนถนนราชดำเนิน หลังจากตำรวจเริ่มล่าถอย
===============
นี่คือเสียงส่วนหนึ่งของผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บในวันดังกล่าว น้ำเสียงของพวกเขาไม่มีร่องรอยความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม (ตำรวจ) ให้เห็นนัก และล้วนยืนยันว่าหากหายดีแล้วและการชุมนุมยังมีอยู่ก็จะเข้าร่วมอีกด้วย ปณิธาน ความเชื่ออันแรงกล้าว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น