ผมเห็นว่ากระแสคัดค้านเขื่อนแม่วงก์ ย่อมส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาล ไม่มากก็น้อย เพราะหลังจากวันสุดท้ายของการเดินแล้ว การเคลื่อนไหวก็ถูกตอบโต้ในหลายระดับด้วยกัน
ในระดับพื้นที่ เห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายรัฐใช้วิธีพิเศษซึ่งรัฐทุกยุคสมัยมักจะเลือกใช้ นั่นก็คือ การระดมมวลชนแสดงพลังสนับสนุนรัฐและโจมตีฝ่ายคัดค้านผ่านกลุ่มที่เรียกว่า ‘บรรดาอำนาจท้องถิ่น’
ในระดับสาธารณะ ปรากฏว่าเกิดการโต้ตอบจากนักเขียน นักคิด คอลัมนิสต์ บางคนถึงกับกล่าวว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นความ “ฟิน” ของคนชั้นกลาง ขณะที่ผมเห็นว่าปรากฎการณ์นี้เป็นปรากฎการณ์แรกๆ ของสังคมไทยที่ฝ่ายที่เรียกตนเองว่าก้าวหน้า (ไม่ว่าจะเป็นสื่อ นักวิชาการ นักเขียน ฯลฯ) ที่เขียนบทความหรือแสดงความเห็นโดยมุ่งไปที่การวิพากษ์ขบวนการเคลื่อนไหวภาค ประชาสังคมมากที่สุด ขณะที่แต่เดิมการเขียนในทำนองนี้มักจะเกิดจากฝ่ายขวาหรือรัฐหรือกลุ่มที่ เสียประโยชน์ ผมจึงเห็นว่ากระแสตอบโต้การเคลื่อนไหวนี้เท่ากับการตกเป็น ‘แนวร่วมมุมกลับ’ ไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้คิดแค่ว่าการเคลื่อนไหวคัดค้านเขื่อนแม่วงก์เกิดจากกระแสคิดสิ่งแวด ล้อมนิยมที่ข้ามพ้นเรื่องของชนชั้นเท่านั้น แต่ประเด็นเขื่อนแม่วงก์ได้กลายเป็นประเด็นสาธารณะไปแล้ว
การเป็นประเด็นสาธารณะนี้ไม่ค่อยปรากฏนักในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา นับแต่สังคมไทยเกิดความขัดแย้งแบ่งฝักฝ่ายแบ่งสีเสื้อ ขณะที่การเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้ไปกดทับการเคลื่อนไหวของกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือปัญหารากหญ้าของชาวบ้านก็ตาม
ดังนั้น การที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าแสดงพลังสนับสนุนการคัดค้านเขื่อนแม่วงก์ ส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขาเป็น ‘พลเมืองที่มีสำนึก’ ที่ข้ามพ้นการแบ่งสี ในขณะที่บริบททางการเมืองเริ่มคลี่คลาย เปิดพื้นที่ให้กับคนกลุ่มอื่นได้มีที่ยืนในพื้นที่สาธารณะอีกครั้ง
ผมคิดว่าประเด็นนี้เองที่ทำให้คนบางกลุ่มที่มีท่าทีสนับสนุน รัฐบาลนี้หวั่นไหว และพยายามทำลายความชอบธรรมของฝ่ายคัดค้านเขื่อนแม่วงก์ โดยเฉพาะการชี้ว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็นความ “ฟิน” ของชนชั้นกลาง ซึ่งข้อหานี้คล้ายๆ กับการที่สื่อบางกลุ่มกล่าวหาคนที่เคลื่อนไหวเรื่องน้ำมันของ ปตท.รั่วลงทะเลว่า “ดราม่า” ซึ่งเป็นการเบี่ยงประเด็นไปจากปัญหาหลัก และทำให้ต้นตอของปัญหาไม่ถูกกล่าวถึง
ความจริงแล้ว ในภาวะอย่างนี้ ผมคิดว่าฝ่ายต่างๆ ควรจะตั้งคำถามต่อกระบวนการผลักดันเขื่อนของรัฐที่ไม่มีความชอบธรรมมากกว่า โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ 4 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก การตั้งคำถามต่อการระดมบรรดาอำนาจท้องถิ่นเพื่อมาเชียร์เขื่อน ผมจำเป็นต้องเน้นประเด็นนี้อีกครั้ง เพราะการเคลื่อนไหวของบรรดาอำนาจท้องถิ่นไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นที่นี่ที่ เดียว แต่เกิดขึ้นในหลายกรณี และกลุ่มเหล่านี้เองที่ไปกดทับเสียงของคนในชนบทที่เดือดร้อนจากการสร้าง เขื่อน
ในกรณีเขื่อนแก่งเสือเต้น ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มคนที่เคลื่อนไหวผลักดันเขื่อนแห่งนี้คือบรรดาอำนาจท้องถิ่น ตั้งแต่จังหวัดแพร่ลงมาจนถึงพิษณุโลก และการเคลื่อนไหวก็มีทั้งการปิดล้อมชาวสะเอียบแทบทุกด้าน โดยเฉพาะการปิดล้อมข้อมูลข่าวสาร การใช้พลังเข้ากดดัน การอ้างความชอบธรรมว่าคนส่วนน้อยต้องเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ ฯลฯ
ขณะที่กรณีของเคลื่อนแม่วงก์ก็คล้ายกัน เพราะเขื่อนแห่งนี้เป็นที่รู้กันว่านักการเมืองตระกูลหนึ่งในจังหวัด นครสวรรค์ ผลักดันมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ก็อ้างเรื่องภัยแล้ง และตอนนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องการป้องกันน้ำท่วม และในการเคลื่อนไหวหลังสุดเราก็ยิ่งเห็นได้ชัดถึงบทบาทบรรดาอำนาจท้องถิ่น เหล่านี้ไม่ได้ต่อสู้ด้วยเหตุด้วยผล แต่อาศัย ‘อิทธิพล’ เข้าผลักดัน
บทบาทของบรรดานักการเมืองท้องถิ่น จึงมีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นปัญหาของการพัฒนาประชาธิปไยที่สังคมไทยจะต้องตั้งคำถามเพื่อที่จะ ทลายให้ได้
ประเด็นที่สอง ที่มาของโครงการเขื่อนแห่งนี้ แต่เดิมเป็นโครงการอิสระ (stand alone project) โดยวัตถุประสงค์เพื่อการชลประทาน กลับกลายเป็นหนึ่งในหลายสิบเขื่อนภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท ความไม่ชอบมาพากลนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ประเด็นที่สาม เหตุใดรัฐบาลจึงได้อนุติงบประมาณ 13,000 ล้านบาทในการก่อสร้างเขื่อนแห่งนี้โดยไม่ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญํติส่ง เสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การกระทำดังกล่วเราจะพิจารณามันอย่างไร
ประเด็นที่สี่ จะอธิบายอย่างไรในกรณีของรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ที่ฝ่ายคัดค้านเขื่อนได้อุตส่าห์ไปหาข้อมูลมาโต้แย้ง แต่แทนที่คนในรัฐบาลจะรับฟังกลับจะยกเลิกรายงานนี้ และประกาศจะทำรายงานขึ้นมาใหม่เพื่อให้รายงานผ่านให้ได้
โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อรายงานเหล่านี้หรอกครับเพราะทำโดย นักวิชาการเครื่องซักผ้า แต่ การที่กลุ่มคนที่คัดค้านเขื่อนแม่วงก์มองว่านี้เป็นเครื่องมือที่จะตรวจสอบ โครงการขนาดใหญ่ภายใต้เงื่อนไขทางกฎหมาย ผมจึงคิดว่าเราต้องรับฟัง เพราะมิฉะนั้นแล้วเขื่อนแม่วงก์ก็จะซ้ำรอยกับเขื่อนในอดีต
สำหรับผมแล้ว ผมเห็นว่ายุคสมัยของการสร้างเขื่อน ควรสิ้นสุดลงได้แล้ว เพราะประวัติศาสตร์ของการสร้างเขื่อนของรัฐคือประวัติศาสตร์ของการใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบธรรม โดยไม่มีเหตุผลใดๆ รองรับ นอกเหนือจากความคิดหรืออุดมการณ์ที่เชื่อว่า ‘การสร้างเขื่อนคือการพัฒนา’ ขณะที่ในความเป็นจริงเขื่อนล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในแทบทุกมิติ
ยกตัวอย่างในประเด็นเศรษฐศาสตร์ที่เป็นหัวใจของการตัดสินใจของรัฐในอดีต ก็จะเห็นว่าเขื่อนขนาดใหญ่จำนวนมากขาดทุนตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จ เขื่อนศรีนครินทร์ ขออนุมัติ 1,800 ล้านบาท แต่สร้างจริง 4,623 ล้านบาท,เขื่อนเขาแหลมขออนุมัติ 7,711ล้านบาท แต่สร้างจริง 9,100 ล้านบาท , เขื่อนบางลาง ขออนุมัติ 1,560 ล้านบาท แต่สร้างจริง 2,729.2 ล้านบาท หรือกรณีเขื่อนปากมูล ที่ขออนุมัติ 3,880 แต่สร้างจริง 6,600 ล้านบาท
ขณะที่ผลกระทบทางสังคม เห็นได้ชัดเจนว่ายังไม่มีชาวบ้านที่ถูกอพยพจากเขื่อนแห่งไหนในประเทศไทยที่ ได้รับการดูแลและฟื้นฟูชุมชนหลังจากเป็น ‘คนหลังเขา’ คำตอบก็จะคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ เขื่อนได้สร้างความทุกข์ให้กับพวกเขาจนสุดจะเยียวยา ซึ่งผมอยากเรียกมันว่าเป็น ความทุกเชิงสังคมที่เกิดจากบาดแผลของการพัฒนา
ส่วนผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ผมอยากยกกรณีของเขื่อนปากมูลที่สร้างในยุคเผด็จการทหาร รสช. มาชี้ให้เห็นครับ เขื่อนแห่งนี้ถูกสร้างโดยไม่ฟังเสียงของประชาชน ไม่มีการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อสร้างเสร็จมันได้ปิดตายลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูลทั้งลุ่มน้ำ และทำให้เกิดภัยพิบัติตามมา นั่นคือแม่มูลวิบัติ โดยชาวปากมูลต้องสูญเสียอาชีพประมงตลอดกาล ขณะที่ผลประโยชน์ทางด้านชลประทานเท่ากับศูนย์ ส่วนการผลิตกระแสไฟฟ้าก็กะปริดกะปรอยเพราะเดินเครื่องได้แค่ 40 เมกะวัตต์จากการผลิตติดตั้ 136 เมกะวัตต์
ดังนั้นไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน เขื่อนขนาดใหญ่จึงได้ ไม่คุ้มเสีย ขณะที่ประชาชนต้องแบกรับภาระ
ผมจึงเห็นว่าในขณะนี้ สังคมไทยต้องหยุดเขื่อนแม่วงก์ไว้ก่อนครับ อย่าให้อ้อยเข้าปากช้าง เพราะหากเข้าไปแล้ว ยากที่จะดึงออกมาได้ และนั่นอาจจะทำให้เขื่อนแห่งนี้ สร้างหายนะเหมือนกับเขื่อนหลายแห่งที่ผ่านมา
เผยแพร่ครั้งแรกใน: เนชั่น สุดสัปดาห์ 4 ตุลาคม 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น