“ ตัวตน”ด้านที่เราเลือกที่จะจะแสดงออกไปนั้น เป็นไปเพื่อหล่อเลี้ยงความเหี่ยวเฉาของตัวตนทั้งหมดในชีวิตจริง พร้อมกันนั้น เราก็กลบด้านอัปลักษณ์ที่ดำมืด หรือ ตัวตนที่เกียจคร้าน โดยซ่อนเอาไว้เบื้องลึกของช่วงเวลาที่สุขสันต์ปลาบปลื้มกับภาพที่ได้เลือก สรรแสดงออกไปสู่สาธารณะ
กระบวนการทางจิตวิทยาของมนุษย์ที่เรียกกันว่ากลวิธานการป้องกันตนเอง ถูกขยายออกมาสู่เฟซบุ๊ก แต่แปรเปลี่ยนมาเป็นการป้องกันตนเอง “เชิงรุก” ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่ากลวิธานการ “ หลอก” ตัวตนของตนเองในอีกรูปแบบหนึ่ง
ในด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมแบบเดิมก่อให้เกิดความกดดันอย่างใหญ่หลวงต่อ “ตัวตน”
การเผชิญหน้ากับความจริงที่ผู้คนมองเห็นและสัมผัสได้กลับเป็นเรื่องร้าย แรงที่อยากจะหนีให้พ้น กาลก่อนนั้นการเผชิญหน้าเช่นนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเป็นปรกติ และกลไกทางจิตของมนุษย์ก็จะสร้างกรอบคิดให้ยอมรับการกดดันนี้ได้อย่างไม่ เจ็บปวดมากนัก โดยสอดคล้องไปกับกลไกทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการทางสังคมที่เน้นการยอมรับความผิดพลาดอันจะนำไปสู่ความ มุ่งมั่นแก้ไขให้ดีขึ้น หรือ ในกรณีสังคมไทยก็ได้แก่การยอมรับความสูงต่ำของความสัมพันธ์ทางสังคม
อีกด้านหนึ่ง “ตัวตน” เชิงปัจเจกของผู้คนที่บ่มเพาะมาในยุคสมัย ทำให้ไม่อาจจะทนได้กับกลไกทางสังคมแบบเดิม ความเจ็บปวดรวดร้าวของการเผชิญหน้ากับความจริงในความสัมพันธ์ทางสังคมมีมาก เกินกว่าที่ปัจเจกบุคคลจะยอมรับและกลืนมันเอาไว้ข้างในเพื่อเปลี่ยนแปลงและ แก้ไขใน “ตัวตน” ในลักษณะที่เคยทำมาในอดีต
ความสัมพันธ์ทางสังคมทุกมิติในปัจจุบันจึงก่อให้ความเจ็บปวดทวีมากขึ้นในความรู้สึกของแต่ละคน
เราต่างถูกโบยตีด้วยแส้ของความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย
นักคิดนักเขียนฝรั่งคนหนึ่งเรียกยุคสมัยนี้ว่า ยุคแห่งความอิจฉา ( The Age of Envy ) เพราะความอิจฉาได้บานสะพรั่งในหัวใจของผู้คน ความอิจฉาเป็นความรู้สึกของผู้คนที่ตระหนักรู้ได้ว่าความดี/สิ่งที่ดี/คนดี คืออะไร แต่ตนเองกลับไปไม่ถึงหรือไม่พยายามที่จะไปให้ถึง กระบวนรู้สึกที่ขัดแย้งกันนี้จึงก่อให้เกิดความรู้สึกอิจฉา(hatred of the good for being the good )
หลุมพรางของการปกปิดเนื้อแท้ของความรู้สึกอิจฉาเพื่อทำให้ตนเองหลับตาและ ไม่พยายามมองเห็นความดีที่ตนเองอิจฉา เพราะหากยอมรับว่าเป็นคุณค่าความดีที่ตนไปไม่ถึงก็จะยิ่งทำร้ายตัวตนตนเอง มากขึ้น การสร้างหลุมพรางเพื่อหลบซ่อนนี้จึงกลายเป็นการปลุกเร้าให้ความอิจฉาเบี่ยง เบนออกไปเพราะไม่สามารถยอมรับได้ว่าที่ตนรู้สึกอิจฉาก็เพราะตนทำไม่ได้หรือ ไม่ได้พยายามทำ
หลุมพรางนี้ ก็คือ การหาเหตุป้ายสีให้สิ่งที่เห็นว่าดีนั้นแปดเปลื้อน เพื่อตนเองจะรู้สึกแย่น้อยลงที่ทำไม่ได้หรือไม่พยายามทำ แต่ลึกลงไปก็รู้อยู่เต็มหัวใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำ
โดยเนื้อแท้แล้ว แม้ว่าความอิจฉาจะเป็นบาปหนึ่งในหลักศาสนา แต่ความรู้สึกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา ในโลก เพราะผู้คนจำนวนหนึ่งเอาจริงเอาจังกับความรู้สึก “อิจฉา” และผันแปรไปสู่ความพยายามที่มากขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปถึง/บรรลุสิ่งดีๆที่มอง เห็น
ความอิจฉาเป็นบาปก็ต่อเมื่อเรายอมตกอยู่ในหลุมพรางของความไม่พยายาม ก้าวไปสู่สิ่งดีๆที่ตระหนักอยู่ในใจ แต่กลับปลุกเร้าความอิจฉานั้นให้แรงกล้ามากขึ้นจนมองเห็นสิ่งดีที่คนอื่นทำ นั้นเป็นสิ่งเลวร้ายและปรารถนาให้สูญสลายไปหมด ( “They do not want to own your fortune, they want you to lose it; they do not want to succeed, they want you to fail; they do not want to live, they want you to die; they desire nothing, they hate existence ..." ) (Atlas Shrugged.)
โดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคม เราไม่สามารถที่จะกำจัดความรู้สึกอิจฉาได้ทั้งหมด หากแต่ระบบของสังคมจะมีพลังที่จะแปรเปลี่ยนด้านมืดของความอิจฉาให้กลายมา เป็นพลังความมุ่งมั่นของคน ด้วยการเปิดให้มีพื้นที่สำหรับผู้แพ้ที่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ แล้ว รางวัลที่มอบให้แก่ชีวิตที่อุทิศให้แก่ความพยายามแม้ว่าไปไม่ถึงเป็นเรื่อง ความจำเป็นจะสังคมจะต้องสร้างจะต้องมี แม้ว่าขีดจำกัดของคนจำนวนหนึ่งจะทำให้ไปเขาไม่ถึงฝั่งฝันก็ตาม
การเล่นกับตัวตนในเฟซบุ๊กเป็นการกลบเกลื่อนความอิจฉาอย่างโจ้งแจ้ง ด้วยการเลือกการแสดงภาพตัวตนไปในทางที่ตนเองรู้ว่าเป็นส่วนที่ตนเองไม่ สามารถจะบรรลุได้ไม่ว่าด้วยการขาดศักยภาพหรือขาดความมุมานะพยายาม ความรู้สึกอิจฉาจึงถูกซ่อนเร้นไว้ในตัวตนที่เลือกแสดงออกในสื่อทางสังคม
การเล่นกับตัวตนในพื้นที่เฟซบุ๊กเป็นเพียงการลดทอนความเจ็บปวดของตน ลงชั่วคราว เป็นเสมือนกับการเล่นกับเงาของเด็กในยามค่ำคืนที่ให้ความสนุกเพริดเพลิน เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะอย่างไรชีวิตจริงของผู้คนก็ต้องอยู่กับแสงสว่างกระจ่างจนเล่นกับเงาไม่ ได้ตลอดเวลา
การหล่อเลี้ยง “ ตัวตน” ด้วยการ “ หลอก”ตัวเองอย่างที่กำลังขยายตัวอยู่ในสังคมไทยวันนี้ เป็นกลไกทางจิตวิทยารวมหมู่ของผู้ที่เปราะบางต่ออารมณ์ที่ไม่สามารถจะสร้าง ความตั้งใจพยายามบากบั้นเอาชนะอุปสรรค การหลบหนีจากการโบยตีของแส้แห่งยุคสมัยอาจจะผ่อนคลายได้ในบางช่วงเวลา แต่เราก็ย่อมก้าวเข้าไปสู่แสงสว่างที่ไม่อาจะเล่นเงาได้ตลอดเวลา
เราผ่อนคลายกันเพียงพอแล้วกระมัง ก้าวออกมาเถิด และร่วมกันสร้างสังคมที่พร้อมจะให้รางวัลแก่ชีวิตที่มานะพยายามแม้ว่าไม่ บรรลุเป้าหมายกันดีกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น