ในวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ(น.๒๕๑) นักเรียนกฏหมายได้เรียนว่า
รัฐธรรมนูญมาตรา ๖๘ ได้วางหลักว่า
ห้ามบุคคลหรือพรรคการเมืองใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างระบอบการปกครอง
ผู้พบเห็นสามารถยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง…
วิชาเดียวกันยังสอนว่า
ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญได้ นี่เป็นสองตัวอย่างที่นักเรียนกฎหมายได้เรียนตามหลักวิชา
ถ้าเรื่องราวภายนอกห้องเรียนเป็นแบบนี้ก็คงดี
อาจารย์ที่สอนนักเรียนกฎหมาย ครั้งหนึ่งเคยสอนว่า มาตรา
๖๘ ถ้าเราพบเห็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างระบอบการปกครองที่ทำโดยบุคคล หรือ
พรรคการเมืองให้เรายื่นเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเท่านั้น
จะยื่นไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญได้เขียนเอาไว้ชัดเจน
ส่วน ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจที่รับมาจากรัฐธรรมนูญ
จะไปวินิจฉัยตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้
เพราะอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่สูงกว่า
ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างแก้ไข
รัฐธรรมนูญได้
แต่วันนี้ อาจารย์ที่เคารพได้พูดออกสื่อว่า
รัฐธรรมนูญมาตรา ๖๘
ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องได้โดยตรงไม่จำเป็นต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุด
ใครๆจึงสามารถยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญถึงการกระทำที่มีบุคคลใช้สิทธิ
หรือเสรีภาพในการล้มล้างระบอบการปกครองโดยไม่มีการกรองจากอัยการสูงสุด
และเนื่องจากเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ทำไมจะวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้
เพราะถ้าไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องนี้
แล้วจะให้ใครมีอำนาจในการวินิจฉัยได้
ด้วยความเคารพอย่างสูง นักเรียนกฎหมายผู้นี้ “สับสน”
เขาหยิบรัฐธรรมนูญ เปิดเลคเชอร์ หลักการได้กลับตาลปัตรไปแล้วหรือ
ทำไมหนอเขาจึงไม่เห็นว่ามีสิ่งไหนเลยที่ตรงกับสิ่งที่อาจารย์ได้พูดออกสื่อ
ในเวลานี้ จากเดิมตามมาตรา ๖๘ ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถรับเรื่องได้โดยตรง
ต้องผ่านอัยการสูงสุดก่อน เวลานี้อาจารย์ที่เคยสอนก็กลืนน้ำแล้วพูดใหม่ว่า
ศาลรัฐธรรมนูญสามารถรับเรื่องวินิจฉัยได้โดยตรงไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุดแต่
อย่างใด
อาจารย์เคยบอกว่าอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่รับมาจากรัฐธรรมนูญซึ่ง
มีศักดิ์ต่ำกว่าอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
วันนี้อาจารย์กลับพูดเชียร์ให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถตรวจสอบความชอบด้วยรัฐ
ธรรมนูญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนนักเรียนกฎหมายผู้นี้สงสัยว่า
อาจารย์รู้สึกอะไรบ้างไหมเมื่อเวลานี้ได้พูดสิ่งที่ขัดกันเอง
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ได้บรรยายในห้องเรียน
ไม่ต้องเท้าความถึงศาลรัฐธรรมนูญที่ไปกันใหญ่
หลักการที่ได้เรียนมาในตำราเล่มเดียวกัน แต่ผลลัพธ์กลับช่างสวนทาง
ซึ่งผลที่ว่านี้กลับไปประจวบเหมาะสอดคล้องกับม็อบล้มประชาธิปไตย
จนน่าสงสัยว่าจบปริญญามาเป็นศาลได้อย่างไร หรือสิ่งที่เขาเรียนมาคือ
ทำอย่างไรให้พรรคการเมืองบางพรรคชนะการเลือกตั้งให้ได้ในรอบ ๒๐ ปีกันแน่
ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วงว่าหลังจากนี้ไป เมื่อ “หลักกู”
ที่ศาลรัฐธรรมนูญ และอาจารย์ กปปส สร้างขึ้นหยั่งรากลึกแล้ว
ผู้เขียนนึกภาพนักเรียนกฎหมายหลังจากนี้ เขาจะอ่านหนังสือ ศึกษากฎหมาย
และอธิบายปรากฎการณ์ของหลักกูเหล่านี้ว่าอย่างไร มันคงเป็น “ยุคมืด”
ของวงการกฎหมายไทยก็เป็นได้
รังสิมันต์ โรม
นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่มา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น