แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

'จาตุรนต์'FBชนชั้นนำ-อำมาตย์กำลังทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด

ที่มา Voice TV

'จาตุรนต์'FBชนชั้นนำ-อำมาตย์กำลังทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด


"จาตุรนต์ " โพสต์เฟซบุ๊กระบุ ชนชั้นนำและอำมาตย์กำลังทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างระบบที่ีมีหลักประกันว่าฝ่ายที่กำลังทำลายจะต้องไม่กลับมาเป็น รัฐบาลอีก

วันนี้(31มี.ค.57)นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก "Chaturon Chaisang"ว่า  สิ่งที่ชนชั้นนำและอำมาตย์กำลังทำให้เกิดขึ้นคือทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ได้มาก ที่สุดและสร้างระบบที่ีมีหลักประกันว่าฝ่ายที่พวกตนพยายามทำลายอยู่นี้จะ ต้องไม่กลับมาเป็นรัฐบาลอีก


31 มีนาคม 2557 เวลา 14:19 น.

ซื้อกระเป๋าหนังวัวมาใช้ บาปไหม ดังตฤณ

ที่มา Weerayut note



ซื้อกระเป๋าหนังวัวมาใช้ บาปไหม โดย ดังตฤณ คุณศรัญ ไมตรีเวช
Any feedback contact facebook.com/popoman
สมัครรับข้อมูลได้ที่
http://www.youtube.com/subscription_c...

ภาพขนาดย่อ

บทที่๑ ครั้งแรก ▬ กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม

ที่มา Gunjae Dham



ฟังทั้งหมดแบบต่อเนื่องได้ที่ : http://www.youtube.com/playlist?list=... หรือดาวน์โหลดเสียงอ่านซึ่งเป็นที่มาได้จา
­ก : http://www.dungtrin.net/media/index.p...

นิยายเรื่องเอกของคุณดังตฤณ ในรูปแบบของละครวิทยุที่มีสีสันและน่าติดต­ามตั้งแต่ต้นจนจบ "ลานดาว... หญิงสาวที่เกิดมาเพื่อเป็นนางเอก จะทำให้คุณเข้าใจเรื่องกรรมวิบากของคนสวยท­ี่แสนร้าย และได้เห็นสีสันการเปลี่ยนแปลงของเธอกับคน­รอบตัว ผ่านรูปแบบความสนุกสนานที่น่าจดจำ

ละครวิทยุโดย : ทีมพากย์อินทรีย์

กรรมพยากรณ์ ๒ ตอน เลือกเกิดใหม่ https://www.youtube.com/playlist?list...
รวมหลากหลายคลิปเสียงธรรมะ : http://www.youtube.com/user/Srawin99/...

ภาพขนาดย่อ

ศาลยกฟ้อง'พล.ต.ท.สมคิด'กับพวก คดีอุ้มฆ่า 'อัลรูไวลี่'

ที่มา Voice TV

 ศาลยกฟ้อง'พล.ต.ท.สมคิด'กับพวก คดีอุ้มฆ่า 'อัลรูไวลี่'


ศาลยกฟ้อง "สมคิด บุญถนอม" พร้อมพวก ไม่ผิดคดีอุ้มฆ่า "อัลลูไวลี่" นักธุรกิจซาอุดิอาระเบีย ชี้พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
 
 
ศาลอาญา รัชดา พิพากษายกฟ้อง ในคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ1 และนางวักดะห์ ซาเล็ม ฮาเหม็ด อัลลูไวรี่ มารดานายมูฮัมหมัด อัลลูไวรี่ ร่วมกันเป็นโจทก์ ฟ้องพลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ ,พันตำรวจเอกสรรักษ์  จูสนิท  ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน  , พันตำรวจเอกประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี , พันตำรวจโทสุรเดช อุดมดี
และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง รวม 5 คน ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็น/เหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ ความตาย,ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ และเพื่อปกปิดการกระทำความผิดอื่นของตน และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา
 
สืบเนื่องจากกรณีที่นายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย หายตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2533
 
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้การของพันตำรวจโทสุวิชชัย แก้วผลึก พยานโจทก์ เป็นเพียงบันทึกคำให้การ มีข้อพิรุธหลายประการ โดยเฉพาะที่พันตำรวจโทสุวิชชัย อ้างว่าได้แหวนจากก้นถังน้ำมันที่อ้างว่าเป็นแหวนของนายโมฮัมหมัด อัลลูไวรี่ มา แต่ไม่แจ้งผู้บังคับบัญชา ผิดวิสัยของพยานที่เป็นตำรวจ ทั้งกลับนำแหวนไปซ่อมพร้อมทำพิธีทางศาสนา ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี ก็เป็นข้อพิรุธ จึงเสมือนว่ามีการสร้างพยานหลักฐานใหม่ขึ้นมา และทางญาติของนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ ก็ไม่ได้นำสืบว่าเป็นแหวนของนายโมฮัมหมัด หรือไม่  ซึ่งคดีนี้เป็นคดีอุฉกรรจ์ มีโทษถึงประหารชีวิต การที่โจทก์ ไม่ได้นำตัวพันตำรวจโทสุวิชชัย มาเบิกความก็เท่ากับไม่มีประจักษ์พยาน เป็นเพียงพยานบอกเล่า รวมทั้ง พลตำรวจโทสมคิด กับพวกจำเลย ก็ฝห้การปฎิเสธมาโดยตลอด ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า พลตำรวจโทสมคิด กับพวกทั้ง 5 คน กระทำผิดตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง
 
ภายหลังนายอาตีก ฆอนิม อัลลูไวรี่ น้องชายของนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ บอกกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่ารู้สึกผิดหวังกับคำพิพากษามาก และเตรียมแถลงท่าทีที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัร เวลา 13.00 น. วันนี้
 
ขณะที่พลตำรวจโทสมคิด ระบุด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ว่าไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดหรือความรู้สึกที่เกี่ยวข้องในคดีได้ เนื่องจากยังติดเงื่อนไขของศาลในการประกันตัว และหากมีโอกาสก็พร้อมจะเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น และยังไม่โล่งใจเพราะคดีนี้มีรายละเอียดมาก
 
สำหรับคดีดังกล่าวมีการสืบสวนมานานกว่า 24 ปี และถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ และมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และซาอุดิอาระเบีย โดยนายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจ มีศักดิ์เป็นพระญาติของกษัตริย์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย มาเปิดบริษัททำธุรกิจจัดส่งแรงงานภายในประเทศไทย ไปทำงานในประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่หลังเกิดคดีฆาตกรรมนักการทูตซาอุดิอาระเบีย เมื่อปี 2533 นายอัลรูไวลี่ ก็หายตัวไป และจากการสืบสวนขณะนั้นพบว่า พลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม พร้อมพวก ได้นำตัวนายอัลลูไวลี่ไปสอบเค้นข้อมูล ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมนักการฑูตซาอุฯหรือไม่ จนกระทั่งนายโมฮัมหมัด อัลลูไวรี่หายตัวไป
 
กระทั่ง ปี 2552 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รื้อคดีขึ้นมาใหม่ โดยนำแหวนทองที่หัวแหวนมีรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นแหวนประจำตระกูลของนายอัลลูไวลี่ ที่ พันตำรวจโทสุวิชชัย แก้วผลึก 1 ในทีมพลตำรวจโทสมคิด เก็บไว้ มามอบให้พนักงานสอบสวน และยื่นฟ้องคดีต่อศาลก่อนที่คดีจะหมดอายุความเพียง 1 เดือน
 
 
 
ภาพ : http://www.chaibadancrime.com/
31 มีนาคม 2557 เวลา 10:32 น.

หลังประตูปิดลับ มีแค่ชายแก่หนึ่งคน กับความหวาดกลัวลมๆแล้งๆ เท่านั้น

ที่มา ประชาไท



เรื่องเล่าเล็กๆในเดือนมีนาคม 2557 เริ่มต้นจากคราวซวยของชายแก่คนหนึ่ง ก่อนจะเดินทางมาถึงบัลลังก์หรูในตึกใหญ่ ที่ซึ่งบรรจุความกลัวอันยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคสมัย
.....................................................................................

ชายแก่คนหนึ่ง คือจำเลยในคดีหลังประตูปิดลับ ในปีที่กำลังจะถูกศาลพิพากษา มีอายุ 64 ปี ขณะถูกจับมีอายุ 56 ปี มีอาชีพขายของเร่ แบบ "แบกะดิน" ปูเสื่อกับพื้น ในแผงของชายแก่จะมีทั้งเสื้อ หมวก พัด สายรัดข้อมือ ซีดีเก่า หนังสือเก่า ฯลฯ งานเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ งานเฉลิมพระชนมพรรษา ของที่เอา ไปขายก็จะเปลี่ยนไปตามเทศกาล

เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ช่วงเริ่มต้นของไฟร้อนทางการเมืองก่อนที่จะลุกลามใหญ่โต ในงานชุมนุมทางการเมืองที่สวนลุมพินี ที่เรียกว่า "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" ชายแก่ไปขายของตามปกติ มีคนเอาหนังสือมาฝากขาย คนแรกเอาหนังสือฟ้าเดียวกันปกโค้กมาฝาก คนที่สองเอาหนังสือกงจักรปีศาจมาฝากสองเล่ม ชายแก่รับไว้

ชายแก่ขาย หนังสือกงจักรปีศาจได้หนึ่งเล่มราคา 500 บาท จะต้องแบ่งให้คนฝากขาย 300 บาท และเป็นกำไรของตัวเอง 200 บาท แต่ยังไม่ทันได้แบ่งเงินกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีก็เข้ามาจับกุม เบื้องต้นตั้งข้อหาผิดพ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ฐานขายหนังสือฟ้าเดียวกันซึ่งเป็นหนังสือต้องห้าม

คดีขายหนังสือฟ้า เดียวกันตำรวจสั่งไม่ฟ้อง แต่ 7 ปีถัดมา การขายหนังสือกงจักรปีศาจเป็นเหตุให้อัยการส่งเรื่องฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพ ใต้ ตามมาตรา 112 วันส่งฟ้องเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิซึ่งจะเป็นผู้ยื่นหลักทรัพย์ประกัน ตัวให้ เตรียมเอกสารมาผิดพลาดเล็กน้อย คืนนั้นชายแก่เข้าไปนอนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเรือนจำ
กุมภาพันธ์ 2557 เดือนแห่งความรัก ชายแก่เดินทางมาขึ้นศาลที่ห้องพิจารณาคดี 501 หน้าห้องมีกระดาษแปะไว้ว่า "พิจารณาลับ (ห้ามเข้า)" เพื่อนของลุงที่จะมาให้กำลังใจเข้าฟังไม่ได้ ศาลสั่งพิจารณาลับเพราะเห็นว่าเป็นคดีเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อ่อนไหวที่สุด ในสังคม เพราะหนังสือกงจักรปีศาจ หน้าปกเขียนไว้ว่า "บทวิเคราะห์กรณีสวรรคต ของในหลวงอานันท์ฯ"

ทั้งที่ความจริงเบื้องหลังการสวรรคตจะเป็นอย่าง ไรนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ต่อสู้กันในคดี ประเด็นของจำเลยเพียงต้องการบอกว่า หนังสือนั้นมีคนมาฝากขาย ไม่เคยอ่าน ไม่รู้เนื้อหาข้างใน จึงไม่มีเจตนา ย่อมไม่มีความผิด แต่ด้วยความกลัวว่าการพิจารณาคดีจะทำให้คนรับรู้เนื้่อหาในหนังสือกันมาก ขึ้น ศาลจึงสั่งพิจารณาลับ

ไม่ใช่คดีแรก อย่างน้อยก็เป็นคดีที่สามแล้วในรอบหลายปีมานี้ ต่อจากคดีดา ตอร์ปิโด และคดีป้ายผ้าลึกลับที่ปัตตานี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็เคยประทับตรารับรองแล้วว่า การพิจารณาคดีมาตรา 112 แบบปิดลับนั้น ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

พอเห็นคนอื่นเดินไปถ่ายรูปป้ายห้าม เข้า ชายแก่ก็เดินเอามือถือเก่าๆ ของตัวเองไปถ่ายรูปเก็บไว้บ้าง พร้อมกับบ่นเสียดายที่คนอื่นเข้าไม่ได้ เพราะอยากให้คดีของตัวเองเป็นคดีตัวอย่างต่อไปในอนาคต

ตำรวจสันติบาล ตำรวจที่จับ พนักงานสอบสวน พยานที่มาให้ความเห็น รวมแล้วพยานโจทก์ทุกคนที่จะมาบอกว่าจำเลยมีความผิด ไม่มีใครเคยอ่านหนังสือจบทั้งเล่มเลย หรือไม่ ต่างก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามถึงเนื้อหาในหนังสือ

พยานโจทก์ คนหนึ่งที่มาให้ความเห็น ว่าข้อความบางส่วนในหนังสือนั้น "หมิ่นฯ" เมื่อถูกถามว่าข้อความนั้นเกี่ยวกับอะไร อึกอักอึกอัก ตอบว่าเกี่ยวกับรัชกาลที่ 8 ถามว่ารัชกาลที่ 8 อย่างไร อึกอักอึกอัก ตอบว่า การสวรรคต ถามว่า "หมิ่นอย่างไร" อึกอักอึกอัก ตอบว่าไม่เหมาะสม ขนาดอัยการและศาลบอกว่า ให้พูดเลย สามารถพูดได้ ก็ยัง อึกอักอึกอัก ไม่ยอมตอบ

เมื่อทนายความถาม ศ.ธงทอง จันทรางศุ ว่าสถิติคดีมาตรา 112 ที่สูงขึ้นเป็นผลดีหรือผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาลก็รีบเบรกบอกว่าเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี ศาลไม่อนุญาตให้ถาม ในอีกนัยหนึ่ง คือ ศาลอาจไม่พร้อมที่จะได้ยินคำตอบนี้ตรงๆ

พยานโจทก์ หลายปาก ที่มีความจงรักภักดียอมรับว่า เมื่ออ่านข้อความบางส่วนแล้วไม่เชื่อตามนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าสังคมที่คนมีวุฒิภาวะหลากหลายอ่านแล้วจะเชื่อหรือไม่ หรือพูดอีกอย่างว่า ตัวเองมีวิจารณญาณพออ่านได้ไม่เป็นไร แต่กลัวว่าคนอื่นอ่านแล้วจะไม่ดี

เมื่อฝั่งจำเลยต้องการสืบพยานปาก นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ในฐานะพยานคนเดียวในคดีนี้ที่อ่านหนังสือจบทั้งเล่ม และอธิบายเนื้อหาของหนังสือได้ ศาลพยายามจะไม่ให้นำสืบอ้างว่าไม่เกี่ยวกับคดี กลัวว่าจะถามนอกประเด็น แต่ฝั่งจำเลยยืนยันที่จะสืบให้ได้ ศาลจึงยอม ด้วยความกลัวอย่างมากว่าจะมีการเอาพยานมาพูดเกี่ยวกับประเด็นกรณีสวรรคตที่ ผ่านไปแล้ว

แต่สุดท้ายอาจารย์สุลักษณ์ก็ไม่ได้มาเบิกความอะไรเกี่ยว กับกรณีสวรรคตเลย พูดแต่ว่าประวัติหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างไร เมื่ออ่านหนังสือจบแล้วเลือกเชื่ออย่างไร หากมีนักข่าว ญาติ เพื่อน หรือผู้สังเกตการณ์ใดๆ นั่งฟังตลอดการพิจารณาคดี ก็คงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเนื้อหาของหนังสือกงจักรปีศาจที่ว่าไป "หมิ่นฯ" นั้นเป็นอะไรยังไง

แม้อาจจะพอเดาเองได้ แต่ต่อให้เดาไปก็ไม่มีข้อมูลประกอบอะไรจะเก็บไปคิดต่อได้อยู่ดี

ใน ห้องหลังประตูปิดลับ ตลอด 5 วันของการสืบพยาน ไม่ปีศาจร้ายที่พร้อมจะหลุดออกมาทำลายโลกแต่อย่างใด มีแค่ชายแก่หนึ่งคน กับความหวาดกลัวลมๆแล้งๆ เท่านั้น

สุดท้ายศาลนัดฟังคำพิพากษาชะตาของ ลุงวันที่ 31 มีนาคม 2557 โดยไม่อนุญาตให้ทนายความคัดบันทึกคำเบิกความพยาน แม้ว่าจะไม่มีเนื้อหาอะไรผิดกฎหมายอยู่ในนั้นเลยก็ตาม โดยอ้างว่า คดีนี้เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์ทั่วไปของประชาชน จึงไม่อนุญาตให้คัด

... โอเค เข้าใจได้ เนื่องจากจำเลยและทนายความไม่ได้บันทึกคำเบิกความพยานมาไว้ดูเพื่อวางแนวทาง ต่อสู้คดี ประเทศชาติจึงสงบเรียบร้อยมาจนถึงทุกวันนี้นี่เอง

เป็นการ สืบพยานคดี 112 ที่เงียบเหงา เพราะไม่มีใครเข้าฟังได้ จึงไม่มีญาติมิตร กองเชียร์ ฝรั่งต่างชาติ นักข่าว หรือใครหน้าไหนมาให้กำลังใจ

บน เก้าอี้ม้านั่งยาวสามแถว ที่น่าจะรองรับคน 50-60 คนได้สบายๆ มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง ผมแกขาวหมดหัว แต่ตัดสั้นเกรียน เพราะติดใจมาจากทรงที่เรือนจำบริการตัดให้ฟรี ในมือชายแก่ถือปากกาและสมุดโน็ต แต่ก็ไม่ค่อยได้จดอะไร เพราะแกไม่รู้จะจับประเด็นไหนมาเป็นเรื่องสำคัญ

ชายแก่นั่งง่วงบ้าง หาวบ้าง เบื่อบ้าง เอนตัวเอามือท้าวเก้าอี้บ้าง บางจังหวะก็ยิ้มออกบ้าง พอสืบพยานเสร็จแต่ละปากชายแก่ก็ถามทนายความแต่เพียงว่า "ต่อไปใคร?" "นัดอีกทีวันไหน?" "บ่ายนี้ต้องอยู่ไหม?"

มันคงน่าแปลกดีที่ในวัย บั้นปลายของชีวิต ชายแก่คนหนึ่งต้องมานั่งฟังกระบวนการอะไรที่ใช้ภาษาแปลกๆ เข้าใจยาก แต่ภาษายากๆ เหล่านี้แหละอาจเป็นตัวตัดสินว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ข้างหน้าว่าแกจะต้องไป ใช้ชีวิตที่ไหน และมันคงน่าแปลกที่แม้แกจะมีเพื่อนฝูงครอบครัวคอยเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ในห้องแอร์ใต้บัลลังก์อันหรูหรานั้น เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นมีใครอยู่ข้างๆ เลย

หลังสืบพยานเสร็จ สิ้น การต่อสู้อย่างเต็มที่ได้ผ่านไปแล้ว ชายแก่ยังขับรถกลับบ้านที่หนองแขมคนเดียวเงียบๆ ยังไม่เข้าใจว่าทำไมใครๆ ก็มีหนังสือกงจักรปีศาจวางขายกันอยู่ทั่วไปแต่แกต้องมาถูกจับคนเดียว และยังคงไม่เข้าใจทำไมศาลถึงไม่ให้คนอื่นเข้าฟังการพิจารณา

สิ่ง หนึ่งที่ชายแก่ยังไม่รู้ คือ คนก่อนหน้านี้ที่อยากต่อสู้ให้คดีของตัวเองเป็นตัวอย่าง คือ ดา ตอร์ปิโด (15 ปี) หนุ่ม ธันย์ฐวุฒิ (13 ปี) สมยศ (10 ปี) เอกชัย (3 ปี 4 เดือน) และอื่นๆ อีกมากมาย

หวังว่าในวันที่ผู้พิพากษานั่งพิจารณาสำนวนอยู่ ในห้องทำงานที่่ปิดลับเพียงลำพัง เพื่อลงมือเขียนตัวอักษรสำหรับการชี้ชะตาชายแก่คนหนึ่ง วันนั้นความกลัวจากภายนอกห้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เรื่องสีเสื้อ เรื่องสถาบันฯ หรือเรื่องการแบ่งแยกประเทศใดๆ ก็จะไม่สามารถฝ่าประตูเข้าไปมีอิทธิพลกับการรับฟังข้อเท็จจริงและปรับใช้ กฎหมายของท่านได้เช่นเดียวกับในห้องพิจารณา



เผยแพร่ครั้งแรกใน: http://ilaw.or.th/node/3061

'จารุวรรณ เมณฑกา' จ่อขึ้นแท่น ส.ว.กทม.ต่อจาก 'รสนา โตสิตระกูล'

ที่มา ประชาไท


ปิดหีบเลือกตั้ง ส.ว. ทั่วประเทศมีผู้มาใช้สิทธิ 18.7 ล้านคน หรือร้อยละ 42.53 โดยขณะนี้ทราบผลอย่างไม่เป็นทางการแล้วทั่วประเทศ "สมชัย ศรีสุทธิยากร" ยอมรับคนเลือกตั้งน้อยสาเหตุเกิดจากบรรยากาศการเมือง ขณะที่ผลเลือกตั้ง ส.ว.กทม. "จารุวรรณ เมณฑกา"คะแนนอันดับ 1 ได้ 5.5 แสนคะแนน

กกต.ยอมรับมีผู้มาเลือกตั้งน้อยร้อยละ 42.53 สาเหตุเกิดจากบรรยากาศทางการเมือง
ตามที่มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในวันนี้และสิ้นสุดการนับคะแนนแล้วนั้น ล่าสุดวันนี้ (30 มี.ค.) สถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ รายงาน ด้วยว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง กล่าวว่า ขณะนี้มีการนับคะแนนเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาไปแล้วกว่าร้อยละ 90 โดยมีผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ 18,708,713 คน คิดเป็นร้อยละ 42.53 เป็นบัตรดี 15,545,808 บัตร คิดเป็นร้อยละ 82.95 บัตรเสียจำนวน 967,010 บัตร คิดเป็นร้อยละ 5.16 และจำนวนผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนจำนวน 2,228,138 บัตร คิดเป็นร้อยละ 11.91 ซึ่งคาดว่าหากนับคะแนนจนแล้วเสร็จ จำนวนคะแนนจะไม่ต่างจากนี้มาก
นายสมชัยยอมรับด้วยว่า จำนวนผู้มาใช้สิทธิในครั้งนี้ถือว่าน้อย สาเหตุหลักน่าจะมาจากบรรยากาศทางการเมืองในขณะนี้ และผู้สมัคร ส.ว. จะไม่ใช่นักการเมืองทำให้ไม่คุ้นเคยกับประชาชน ส่วนจำนวนบัตรเสียที่มีกว่าร้อยละ 5 คงต้องไปตรวจลายละเอียดอีกครั้งว่าเกิดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจของประชาชน หรือเกิดขึ้นเพราะความจงใจ เนื่องจากไม่พอใจการจัดการเลือกตั้ง รวมถึงจำนวนผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนที่มีถึงร้อยละ 11 อาจมีหลายสาเหตุ อาทิ ผู้สมัครอาจไม่เป็นตัวเลือกที่ดีพอ และอาจเป็นความคิดที่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง แต่ต้องการรักษาสิทธิของตัวเอง อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ในด้านความสงบเรียบร้อยถือว่าเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่าง มาก และถือเป็นการจัดการเลือกตั้งที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของ กกต. ส่วนจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ถือว่ายังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร
นายสมชัย กล่าวอีกว่า จะมีการทยอยประกาศรับรองผลอย่างไม่เป็นทางการของผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด หากไม่มีการร้องเรียนใด ๆ สามารถประกาศได้ภายใน 7 วัน ทั้งนี้หากมีการร้องเรียกเรื่องถึงการทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง กกต. จะสามารถประกาศผลได้ภายใน 30 วัน แต่หาก กกต. ไม่สามารถพิจารณาได้เสร็จภายใน 30 วัน จะมีการประกาศรับรองไปก่อน แล้วค่อยประกาศผลการตัดสินภายหลัง

"คุณหญิงจารุวรรณ" จ่อขึ้นแท่น ส.ว.กทม. ได้ 5.5 แสนคะแนน
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานด้วยว่า นายอรรณพ ลิขิตจิตถะ ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นางนินนาท ชลิตานนท์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ร่วมแถลงข่าวผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) อย่างไม่เป็นทางการ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ว่า ผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ว. กรุงเทพมหานคร อย่างไม่เป็นทางการ จาก 6,677 หน่วยเลือกตั้ง โดย 5 อันดับแรกที่มีการแถลงได้แก่ อันดับ 1 ผู้สมัครหมายเลข 8 คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา 552,530 คะแนน อันดับ 2 ผู้สมัครหมายเลข 1 พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ 267,947 คะแนน อันดับ 3 ผู้สมัครหมายเลข 9 นายโฆษิต สุวินิจจิต 79,747 คะแนน อันดับ 4 ผู้สมัครหมายเลข 3 นางลีนา จังจรรจา 38,417 คะแนน อันดับ 5 ผู้สมัครหมายเลข 2 นายศรีสุวรรณ จรรยา 37,571 คะแนน
สำหรับการเลือกตั้ง ส.ว. ในวันนี้ ผู้มีสิทธิ 4,365,905 คน มาใช้สิทธิ 1,248,881 คน คิดเป็นร้อยละ 28.61 แบ่งเป็นบัตรดี 1,074,624 บัตร คิดเป็นร้อยละ 86.05 บัตรเสีย 23,762 บัตร คิดเป็นร้อยละ 1.90 และไม่ประสงค์ลงคะแนน 150,495 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 12.05
ประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า มีการร้องเรียน 2 เรื่อง คือ เรื่องป้ายแนะนำตัวและคุณสมบัติของผู้สมัคร ทั้งนี้ภาพรวมการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีปัญหาปิดล้อม ขัดขวาง ข่มขู่ การทำผิดกฎหมาย รวมทั้งคณะกรรมการประจำหน่วย โดยสาเหตุที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อย มีหลายสาเหตุ เช่น สถานการณ์ทางการเมือง แต่การประชาสัมพันธ์ มีความเข้ม อย่างไรก็ตาม จะตรวจสอบการนับคะแนนอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการ

ผลการเลือกตั้ง ส.ว. ทั่วประเทศ อย่างไม่เป็นทางการ
สำหรับผลการเลือกตั้ง ส.ว. อย่างไม่เป็นทางการนอกจากในกรุงเทพมหานครแล้วที่คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกานำเป็นอันดับ 1 แล้ว สำหรับผลอีก 76 จังหวัดที่เหลือนั้นมีดังนี้
จ.กระบี่ นายอภิชาต ดำดี เบอร์ 1 ได้ 65,538 คะแนน
จ.กาญจนบุรี พล.อ.องอาจ พงษ์ศักดิ์ เบอร์ 1 ได้ 57,181 คะแนน
จ.กาฬสินธุ์ นายวิรัช พิมพะนิตย์ เบอร์ 1 ได้ 141,331 คะแนน
จ.กำแพงเพชร นายจุลพันธ์ ทับทิม เบอร์ 1 ได้ 101,093 คะแนน
จ.ขอนแก่น นายวัน สุวรรณพงษ์ เบอร์ 1 ได้ 300,353 คะแนน
จ.จันทบุรี นางพจนา กิจกาญจน์ เบอร์ 2 ได้ 60,175 คะแนน
จ.ฉะเชิงเทรา นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ เบอร์ 1 ได้ 59,946 คะแนน
จ.ชลบุรี นายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ เบอร์ 2 ได้ 84,083 คะแนน
จ.ชัยนาท นายมณเฑียร สงฆ์ประชา เบอร์ 2 ได้ 54,857 คะแนน
จ.ชัยภูมิ นายบัณฑูร เกียรติก้องชูชัย เบอร์ 5 ได้ 208,335 คะแนน
จ.ชุมพร พล.ต.อ.นรินทร์ บุษยวิทย์ เบอร์ 1 ได้ 44,557 คะแนน
จ.เชียงราย นายมงคลชัย ดวงแสงทอง เบอร์ 3 ได้ 157,066 คะแนน
จ.เชียงใหม่ นายอดิศร กำเนิดศิริ เบอร์ 3 ได้ 127,708 คะแนน
จ.ตรัง นายสมศักดิ์ โล่สถาพรพิพิธ เบอร์ 1 ได้ 72,612 คะแนน
จ.ตราด นายบุญส่ง ไข่เกษ เบอร์ 1 ได้ 33,587 คะแนน
จ.ตาก นายชิงชัย ก่อประภากิจ เบอร์ 5 ได้ 69,223 คะแนน
จ.นครนายก นายมารุต โรจนาปิยาวงศ์ เบอร์ 2 ได้ 40,530 คะแนน
จ.นครปฐม นายธงชัย ศรีสุขจร เบอร์ 1 ได้ 111,517 คะแนน
จ.นครพนม นายสมนาม เหล่าเกียรติ เบอร์ 1 ได้ 96,979 คะแนน
จ.นครราชสีมา นายพงษ์ศิริ กุสุมภ์ เบอร์ 1 ได้ 234,022 คะแนน
จ.นครศรีธรรมราช พ.ต.อ.ธรรมนูญ ไฝจู เบอร์ 2 ได้ 96,971 คะแนน
จ.นครสวรรค์ ร.อ.จักรวาล ตั้งภากรณ์ เบอร์ 1 ได้ 86,155 คะแนน
จ.นนทบุรี นายธนพงศ์ ธนเดชากุล เบอร์ 3 ได้ 56,800 คะแนน
จ.นราธิวาส นายนิมันซูร จียี่งอ เบอร์ 1 ได้ 90,558 คะแนน
จ.น่าน นายอานนท์ ตันตระกูล เบอร์ 4 ได้ 79,051 คะแนน
จ.บึงกาฬ นายณัฐพล เนื่องชมภู เบอร์ 3 ได้ 63,613 คะแนน
จ.บุรีรัมย์ นายเสริมศักดิ์ ทองศรี เบอร์ 3 ได้ 226,756 คะแนน
จ.ปทุมธานี นางนิพัทธา อมรรัตนเมธา เบอร์ 7 ได้ 64,890 คะแนน
จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายสืบยศ ใบแย้ม เบอร์ 1 ได้ 52,836 คะแนน
จ.ปราจีนบุรี นายสฤษดิ์ บุตรเนียร เบอร์ 1 ได้ 103,865 คะแนน
จ.ปัตตานี นายสมหวัง อภิชัยรักษ์ เบอร์ 1 ได้ 101,887 คะแนน
จ.พระนครศรีอยุธยา นายคณิพงษ์ แขวัฒนะ เบอร์ 3 ได้ 60,616 คะแนน
จ.พะเยา นายเสถียร เชื้อประเสริฐศักดิ์ เบอร์ 2 ได้ 83,691 คะแนน
จ.พังงา นายวรชาติ ทนังผล เบอร์ 4 ได้ 45,768 คะแนน
จ.พัทลุง นายทวี ภูมิสิงหราช เบอร์ 3 ได้ 102,252 คะแนน
จ.พิจิตร นายวิชัย ด่านรุ่งโรจน์ เบอร์ 2 ได้ 68,312 คะแนน
จ.พิษณุโลก นายสุรินทร์ ฐิติปุญญา เบอร์ 1 ได้ 139,788 คะแนน
จ.เพชรบุรี นายสุชาติ อุสาหะ เบอร์ 4 ได้ 61,333 คะแนน
จ.เพชรบูรณ์ นายพิพัฒน์ ภัครัชตานนท์ เบอร์ 1 ได้ 112,765 คะแนน
จ.แพร่ ด.ต.บุหลัน ราษฎรณ์คำพรรณ์ เบอร์ 1 ได้ 83,296 คะแนน
จ.ภูเก็ต นายชัยยศ ปัญญาไวย เบอร์ 2 ได้ 17,094 คะแนน
จ.มหาสารคาม นายศรีเมือง เจริญศิริ เบอร์ 1 ได้ 170,116 คะแนน
จ.มุกดาหาร นายวิริยะ ทองผา เบอร์ 3 ได้ 42,544 คะแนน
จ.แม่ฮ่องสอน นายจำลอง รุ่งเรือง เบอร์ 1 ได้ 30,855 คะแนน
จ.ยโสธร นางประยูร เหล่าสายเชื้อ เบอร์ 2 ได้ 98,360 คะแนน
จ.ยะลา นายอับดุลอายี สาแม็ง เบอร์ 3 ได้ 64,806 คะแนน
จ.ร้อยเอ็ด นายสมเกียรติ พื้นแสน เบอร์ 4 ได้ 139,313 คะแนน
จ.ระนอง นายศักดา ศรีวิระยะไพบูลย์ เบอร์ 1 ได้ 17,225 คะแนน
จ.ระยอง นายสุรชัย ปิตุเตชะ เบอร์ 3 ได้ 56,298 คะแนน
จ.ราชบุรี นางเพียงเพ็ญ ศักดิ์สมบูรณ์ เบอร์ 1 ได้ 73,448 คะแนน
จ.ลพบุรี นายประทวน สุทธิอำนวยเดช เบอร์ 4 ได้ 55,791 คะแนน
จ.ลำปาง นายวราวุฒิ หน่อคำ เบอร์ 1 ได้ 120,488 คะแนน
จ.ลำพูน นายตรี ด่านไพบูลย์ เบอร์ 2 ได้ 62,385 คะแนน
จ.เลย นายสมศักดิ์ ขจรเฉลิมศักดิ์ เบอร์ 2 ได้ 126,746 คะแนน
จ.ศรีสะเกษ น.ส.วิลดา อินฉัตร เบอร์ 1 ได้ 228,503 คะแนน
จ.สกลนคร นายดำเกิง วงศ์กาฬสินธิ์ เบอร์ 6 ได้ 124,453 คะแนน
จ.สงขลา นายอนุมัติ อาหมัด เบอร์ 1 ได้ 122,060 คะแนน
จ.สตูล นายอิบรอเหม อาดำ เบอร์ 2 ได้ 23,159 คะแนน
จ.สมุทรปราการ น.ส.วราภรณ์ อัศวเหม เบอร์ 9 ได้ 118,194 คะแนน
จ.สมุทรสงคราม น.ส.บุญยืน ศิริธรรม เบอร์ 4 ได้ 21,079 คะแนน
จ.สมุทรสาคร นายสุนทร วัฒนาพร เบอร์ 1 ได้ 57,883 คะแนน
จ.สระแก้ว นางดวงพร เทียนทอง เบอร์ 2 ได้ 106,413 คะแนน
จ.สระบุรี นายบุญส่ง เกิดหลำ เบอร์ 2 ได้ 72,918 คะแนน
จ.สิงห์บุรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เบอร์ 2 ได้ 32,811 คะแนน
จ.สุโขทัย นายภูมิสิทธิ์ มั่นคง เบอร์ 1 ได้ 63,048 คะแนน
จ.สุพรรณบุรี นายจองชัย เที่ยงธรรม เบอร์ 2 ได้ 166,913 คะแนน
จ.สุราษฎร์ธานี พล.อ.อ.สุจินต์ แช่มช้อย เบอร์ 1 ได้ 82,233 คะแนน
จ.สุรินทร์ นายนุรุทธิ์ เจริญพันธ์ เบอร์ 4 ได้ 177,047 คะแนน
จ.หนองคาย นายอาทิตย์ ศรีตะบุตร เบอร์ 3 ได้ 98,196 คะแนน
จ.หนองบัวลำภู นายประพาส นวนสำลี เบอร์ 6 ได้ 57,302 คะแนน
จ.อ่างทอง นายชูศักดิ์ ศรีราชา เบอร์ 1 ได้ 52,706 คะแนน
จ.อำนาจเจริญ นางญาณีนาถ เข็มนาค เบอร์ 1 ได้ 42,596 คะแนน
จ.อุดรธานี นางอาภรณ์ สาราคำ เบอร์ 1 ได้ 352,014 คะแนน
จ.อุตรดิตถ์ นายพีรศักดิ์ พอจิต เบอร์ 2 ได้ 93,322 คะแนน
จ.อุทัยธานี นายไพโรจน์ ทุ่งทอง เบอร์ 1 ได้ 52,322 คะแนน
จ.อุบลราชธานี นายสมชาย เหล่าสายเชื้อ เบอร์ 3 ได้ 268,424 คะแนน

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 31/3/57 เอาความอยุติธรรม..เป็นอาวุธประหาร

ที่มา blablabla



จากมดลูก เผด็จการ สามานย์ชั่ว
ซ่อนอำพราง หางยันหัว ตัวบัดสี
เอาอคติ เป็นที่ตั้ง หวังย่ำยี่
เลวอัปรีย์ เกินมนุษย์ สุดบรรยาย....

ฝั่งตรงข้าม ตามเฉ่ง เร่งเอาผิด
วิปริต คิดต่ำช้า พาชิบหาย
เหมือนเร่งเชื้อ ให้คุกรุ่น เติมวุ่นวาย
จ้องทำลาย เหยียบมิด ปิดบัญชี....

ฝั่งพวกตน อุ้มสม อารมณ์หวาน
ความหน้าด้าน เห็นประจักษ์ ไร้ศักดิ์ศรี
คำเอ่ยอ้าง ช่างสัปดน ว่าคนดี
ผ่านกี่ปี ไม่มีแตะ แวะไปดู....

เขาต้องการ เร่งรัด ประหัตประหาร
จึงลนลาน พล่านออกหน้า พาอดสู
แผนโสมม พวกจมปลัก แค่หลักกู
ทนอีกนิด..เดี๋ยวก็รู้ อยู่หรือไป....

๓ บลา / ๓๑ มี.ค.๕๗

การ์ด กปปส. สุดเหี้ย(ม)! ใช้ขวานฟันคอ ตำรวจจราจร สน.ราษฏร์บูรณะตายคาที่

ที่มา go6tv

 

 

 เมื่อเวลา 01.30 น.ของวันที่ 30 มีนาคม 2557 พ.ต.อ.เสรี ภูษาชีวะ ผกก.สภ.สาขลา อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ พร้อมด้วย ร.ต.ท.วิภพ แช่มเรือง พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการ และกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ร่วมกันจับกุม นายวิทัต เติมบุญ อายุ 23 ปี มีอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างวินปากซอยเข้าหมู่บ้านพีเค ต.บ้านคลองสวน อ.พระสมุทรเจดีย์ ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา

จากการสอบสวนทราบ ว่า นายวิทัต เป็นผู้ต้องหา ใช้อาวุธขวานจามเข้าใส่ลำคอทั้งซ้ายและขวาของ ด.ต.รักเกียรติ อินทกูล อายุ 41 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจงานจราจร สน.ราษฏร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร จนเสียชีวิต ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพักภายในหมู่บ้านพีเค เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 20.50 น. ที่ผ่านมา จากนั้นผู้ต้องหาได้หลบหนีไป ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมมาได้ 

เบื้องต้นจากการ สอบสวนปากคำผู้ต้องหารายนี้ยังให้การปฏิเสธ แต่ตำรวจเผยว่า ผู้ต้องหามีนิสัยเกเรเคยต้องโทษมาก่อนจนพ้นโทษมายึดอาชีพขับขี่รถ จักรยานยนต์รับจ้างที่บริเวณหมู่บ้านดังกล่าว แต่เนื่องจากมีพยานหลายคนยืนยันว่าเป็นผู้ก่อเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ ติดตามจับกุมตัวมาได้ 

ทีมงานได้โทรศัพท์ สอบถามยัง สน.สาขลา จังหวัดสมุทรปราการ ได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายวิทัต เติมบุญนั้น เคยต้องโทษคดีทำร้ายร่างกายบุคคลอื่น โดยการใช้ดาบฟันแขนผู้อื่นจนขาด และรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ พอพ้นโทษออกมา ก็มาไม่มีอะไรทำ ก็ไปร่วมม็อบ เป็นการ์ด กปปส.ให้กับม็อบสุเทพ และ ไม่ใช่เพียงแค่นายวิทัตเท่านั้น บิดาของนายวิทัต ที่ขับวินมอเตอร์ไซต์ที่หมู่บ้านพีเคกาเด้นท์ ก็เป็นการ์ดให้ม็อบ กปปส. เช่นกัน ในวันเกิดเหตุ ทราบว่าทั้งนายวิทัตและบิดา ได้ไปร่วมขบวนม็อบ กปปส.ทั้งวัน จนค่ำ ค่อยกลับมาวินมอเตอร์ไซต์หน้าปากซอย และมีปากเสียงกันกับเพื่อนในวิน ทะเลาะกับเพื่อนในวินเรื่องพระเครื่อง และ ดต.รักเกียรติ ซึ่งมีบ้านอยู่ในซอยดังกล่าว ผ่านมาพอดี จึงเข้ามาดู และช่วยไกล่เกลี่ย แต่นายวิทัตไม่พอใจ เดินหายเข้าไปที่รถจักรยานยนต์ เปิดเบาะและหยิบขวานเอามาฟันคอนายดาบตำรวจ ที่กำลังยืนในวินโดยไม่ทันระวังตัวตายคาที่ทันที

จับสาว กปปส. เอเยนต์ค้ายาบ้า-ยาไอซ์ 800 เม็ด สารภาพพ้นคุกมาขายยาบ้า และชุมนุม กปปส.เป็นประจำ

ที่มา go6tv

 


วันที่ 30 มี.ค. พ.ต.อ.สำราญ นวลมา ผกก.สายตรวจ บก.สปพ.(191) พร้อมด้วยพ.ต.ต.พัดธงทิว ดามาพงศ์ สว.งานสายตรวจ 3 กก. สายตรวจ บก.สปพ. คุมตัวน.ส.ชลลดา ใบภักดี อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 ซอยอ่อนนุช 53 แขวงและเขตประเวศ กทม. ผู้ต้องหาคดียาบ้า เข้าตรวจค้นที่ห้องพักเลขที่ 305 อาคารสุปราณี เพลส ซ.รามคำแหง 76 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. พบยาบ้า 800 เม็ด ยาไอซ์ 50 กรัม พร้อมอุปกรณ์การเสพ จากนั้นตรวจค้นรถเก๋งของน.ส.ชลลดา ยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเฟียสต้า ทะเบียน กฐ 1639 กทม. พบธงชาติ นกหวีด และสัญลักษณ์ ผู้ร่วมชุมนุม กปปส. จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
 พ.ต.ต.พัดธงทิวกล่าวว่า ตำรวจเคยจับกุมคนร้ายคดียาบ้าได้หลายราย ซัดทอดว่าซื้อของมาจากน.ส.ชลลดา จึงส่งสายติดต่อล่อซื้อยาบ้าจำนวน 60 เม็ด ยาไอซ์ 15 กรัม กระทั่งคนร้ายติดกับเดินทางมาส่งของที่แคทลีนแมนชั่น ซ.เสรีไทย 71 แขวงและเขตคันนายาว กทม. จึงจับกุมและพาไปตรวจค้นที่ห้องพักซึ่งเป็นแหล่งพักยา จากประวัติพบว่าเคยถูกจับคดียาเสพติดเมื่อปี 2545 ส่วนสามีที่เป็นหัวหน้าแก๊งถูกจับตาย โดยน.ส.ชลลดาพ้นโทษออกมาได้ไม่นาน

 ด้านน.ส.ชลลดาสารภาพว่า พ้นโทษคดียาเสพติดออกมา 2 ปีเศษ ก็ไม่ได้ทำงานอะไรจนต่อมาได้เจอกับเพื่อนๆ ในวงการยาเสพติดชักชวนให้เป็นเอเยนต์ โดยจะปล่อยให้วัยรุ่นในชุมชนต่างๆ ในย่านประเวศและหัวหมาก ส่วนสัญลักษณ์ของกลุ่ม กปปส.ที่พบในรถนั้น เพราะเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม กปปส.ประจำอยู่แล้ว

"แรมโบ้อีสาน" ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ หาก "ยิ่งลักษณ์" ถูกถอดถอน นำมวลชนแดงตอบโต้ทันที

ที่มา Thai E-News



ที่มา ทีนิวส์

"สุภรณ์" ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์สลั่นหาก "ยิ่งลักษณ์" ถูกถอดถอน นำมวลชนแดงตอบโต้ทันที ขู่ชุมนุมใหญ่เม.ย.อาจปิดถนนสายหลักเชื่อมภาคอีสาน
วันนี้ (31 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์  หนึ่งในแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวกับ สำนักข่าว รอยเตอร์สว่าหากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในกรณีจำนำข้าว และวุฒิสภา รับลูกต่อด้วยการมีมติถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อนั้น ทางกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง ก็จะลุกขึ้นมาตอบโต้ทันที
"เราจะดำเนินการทันที เมื่อนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งจากระบอบประชาธิปไตยโดนฝ่ายอำมาตย์ เขี่ยพ้นจากตำแหน่งโดยขณะนี้กำลังรวบรวมการสมัครกลุ่มอาสาสมัคร มาเข้าร่วมการฝึกฝนในแบบทหาร เพื่อมาดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุมเสื้อแดง"นายสุภรณ์กล่าว
นายสุภรณ์กล่าวอีกว่า แกนนำคนเสื้อแดงจะประกาศแผนการดำเนินการในวันที่ 3 เม.ย.นี้  โดยคาดว่าจะจัดการชุมนุมในวันที่ 5 เม.ย.โดยสถานที่อาจเป็นที่กรุงเทพฯ และอาจปิดถนนสายหลัก ที่เชื่อมต่อจากภาคกลางไปยังภาคอีสาน 
"ถ้ามีการจัดชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ เราจะเคลื่อนกองกำลังอาสาสมัครจากภาคอีสานเข้ามา เพื่อปกป้องมวลชนเสื้อแดงในเมืองหลวง"นายสุภรณ์กล่าว

นายสุภรณ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้กองกำลังที่ตั้งขึ้น ซึ่งใช้ชื่อว่า กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) มีอยู่ประมาณ 1 พันคนใน 20 จังหวัดในภาคอีสาน และได้ส่งไปฝึกฝนในแคมป์แล้ว เพื่อเรียนรู้วิธีการต่อสู้ อีกทั้งการฝึกฝนก็กำลังดำเนินไปอย่างจริงจัง ท่ามกลางผู้มาสัครมากขึ้นเรื่อยๆ 

คลิป การเมืองไทยใครเป็น "เหยื่อ" 30-3-2014

ที่มา Thai E-News

สุณัย ผาสุข เสวนา การเมืองไทยใครเป็น "เหยื่อ" 30-3-2014


 http://www.youtube.com/watch?v=oxasy0KHIDE&feature=youtu.be


ปิยบุตร แสงกนกกุล เสวนา การเมืองไทยใครเป็น "เหยื่อ" 30-3-2014


 https://www.youtube.com/watch?v=KpOBC5N5OS0


ประวิตร โรจนพฤกษ์ เสวนา การเมืองไทยใครเป็น "เหยื่อ" 30-3-2014


 https://www.youtube.com/watch?v=8UfqhieQFMk


จีรนุช เปรมชัยพร เสวนา การเมืองไทยใครเป็น "เหยื่อ" 30-3-2014


 https://www.youtube.com/watch?v=vxwhYj2w99Y

Published on Mar 30, 2014
กลุ่ม24มิถุนาประชาธิปไตย ขอเชิญร่วมงานจิบน้ำชา เสวนาวิชาการ ระดมทุนเคลื่อนไหวกิจกรรมครบรอบ 3 ปี สมยศ พฤกษาเกษมสุข 30-3-2014 13.00-17.00 น. ห้องสิราสิณี โรงแรม กานต์มณี ประดิพัทธ์ บัตรราคา 200 บาท พร้อมของว่าง ติดต่อสอบถาม จองบัตร 089-5007232 การเมืองไทย ใครเป็น"เหยื่อ" ปิยบุตร แสงกนกกุล ประวิตร โรจนพฤกษ์ ธนาพล อิ๋วสกุล จีรนุช เปรมชัยพร จอม เพชรประดับ ปาฐกถานำ โดย สุนัย ผาสุก จากองค์การสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ — ที่ โรงแรมกานต์มณี พาเลซ
ถ่ายทอดสด ทีมงานม้าเร็ว http://speedhorsetv.blogspot.com/

ภาพขนาดย่อ

เมื่อการเมืองมาถึงทางตัน ฟังคำเตือน '12 ทางออก 12 ทางตัน'

ที่มา Thai E-News


http://www.youtube.com/watch?v=3EouZk7mw4U


Published on Mar 30, 2014
หลังคำวินิจฉัยล้มเลือกตั้งของศาลรัฐธรรมน­ูญ ความขัดแย้งทางการเมืองเดินมาถึงทางตัน ทางออกที่เป็นไปได้ หากแยกแยะโดยหลักวิชารัฐศาสตร์มี 12 ทาง แต่ทางออกที่ควรจะเป็น เช่น ใช้การเลือกตั้งแก้ปัญหา กลับกลายเป็นทางตัน

แนวโน้มที่จะเกิดขึ้น คือ รัฐบาลคนกลาง หรือรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง ซึ่งก็เป็นทางตันในที่สุด และจะนำกลับไปสู่อีกทางออกที่ไม่พึงปรารถน­า นั่นคือความรุนแรงขยายตัวและขยายพื้นที่อย­่างต่อเนื่อง เป็นรัฐล้มเหลว หรือสงครามกลางเมือง

ฟังคำเตือนจาก ศ.สุรชาติ บำรุงสุข แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา : รายการ Intelligence ทาง Voice TV ประจำวันที่ 30 มีนาคม 2557


ภาพขนาดย่อ



คลิปเล่าเหตุการณ์ ตัวแทนผู้อยู่ในเหตุการณ์ พุทธอิสระ บุกรื้อเวที เวที กวป

ที่มา Thai E-News

หนุ่มโคราช เวที กวป.ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ 29-3-14


ตัวแทนผู้อยู่ในเหตุการณ์ พุทธอิสระ บุกรื้อเวที เวที กวป.ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ 29-3-14


ภาพขนาดย่อ

ใจเอนเอียง...ศีรษะก้มต่ำ

ที่มา Thai E-News



ผมเคยเขียน facebook เกี่ยวกับความรุ่มร่ามเลอะเทอะ ไม่อยู่กับร่องกับรอยของคุณสมชัย กกต. มาครั้งหนึ่งแล้ว จากนั้นดูเหมือนจะมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ออกมาด่าคุณสมชัยซ้ำอีก สำคัญที่สุดที่ต้องฟังอย่างจริงจังคือ คำตักเตือนจากท่านสดศรี อดีต กกต. ที่ได้ชื่อว่า “ตงฉิน” ยิ่ง

เดิมผมเคยคิดว่าจะไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับ คุณสมชัยอีก เพราะถือว่าโตๆกันแล้ว คงจะรู้จักปรับปรุงตัวเอง เพราะ โดนคนด่ามามาก แต่ทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อคุณสมชัย FB เขียนกลอนเรื่อง หอเอนแห่งเมืองปิซา อุปมาให้เห็นว่า ตัวเขาเลือกที่จะเอียง (ไม่เป็นกลาง) เพื่องานใหญ่ข้างหน้า

หอเอนแห่งเมืองปิซา มีชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนว่า La Torre di Pisa ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ.1173 (841 ปีมาแล้ว) ใช้เวลาก่อสร้าง 175 ปี เพื่อเป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค หอคอยแห่งนี้เอียงเพราะดินฐานรากอ่อนนุ่ม โดยจะเอียงลง 1 นิ้วทุกๆ 20 ปี ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีความพยายามที่จะหยุดยั้งการทรุดเอียงขอหอเอนแห่ง เมืองปิซา เพราะกลัวจะพังลงมา (ตอนนี้ทำสำเร็จแล้วโดยจะมีการเอียงเพียง 1 นิ้วต่อ 300 ปี)

แต่คุณสมชัย แทนที่จะแก้ไขความเอียงของตน กลับอยากจะเอียงตาม (ไม่กลัวพังหรือครับ) หอเอนแห่งเมืองปิซามีชื่อเสียงเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง เพราะเป็นสถานที่ที่ กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกใช้เป็นที่ทดลองความจริงในเรื่องแรงโน้ม ถ่วงของโลก (ไม่ใช่เป็นสถานที่สอนคนให้เอียงตามความเข้าใจของ กกต.สมชัย)

คุณสมชัยโปรดเข้าใจหน้าที่ของคุณเสียให้กระจ่างว่า คุณ และ กกต.อีก 4 คน มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง (ส.ส./ส.ว./กทม. เป็นต้น) ในกรณี ส.ส. ก็จะมีพรรคการเมืองมาเกี่ยวข้อง ซึ่งคุณจะต้องเป็นกลาง (คุณเป็นหรือเปล่า) คุณไม่มีหน้าที่อะไรเกี่ยวข้องกับ นปช. หรือ กปปส. เลย เขาทะเลาะกันอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา แต่พวกเขาเหล่านี้จะไปขัดขวางการเลือกตั้งไม่ได้ เพราะมันผิดกฎหมาย และยังเป็นการขัดขวางการทำหน้าที่ของพวกคุณอีกด้วย ซึ่ง กกต.จะยอมไม่ได้ แต่คุณกลับยอมไม่ไปแจ้งความดำเนินคดี (มันถูกแล้วหรือ)

การเลือกตั้ง ส.ว. พวกคุณไปขอความร่วมมือจาก ทหาร เพื่อให้ดูแลปกป้องการเลือกตั้ง แต่สำหรับการเลือกตั้ง ส.ส. (ที่ ตลก. ให้เป็นโมฆะไปแล้ว) คุณกลับบอกว่าการไปใช้สถานที่ในค่ายทหารเพื่อการเลือกตั้งไม่เหมาะสม คุณสมชัยกรุณาตอบให้ฟังแบบชัดๆ ได้ไหมว่า เหตุใดคุณจึงปกป้องการเลือกตั้ง ส.ว. ยิ่งไปกว่า การเลือกตั้ง ส.ส. คุณเอียงหรือเปล่า (รูปที่คุณถ่ายคุณก็ตั้งใจยืนเอียง) เขาลือกันว่าคุณต้องการ ส.ว. ไปโหวตถอดถอนประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และ ส.ส. ส.ว. อีก 300 กว่าคน ที่ไม่มีใครเป็นประชาธิปัตย์เลยใช่ไหม

พวกคุณ (ที่กินเงินเดือนจากภาษีอากรประชาชน) แสดงความเห็นออกมาได้อย่างไรว่าการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งต่อไปไม่จำเป็นต้องรีบทำภายใน 60 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด คุณเอาเหตุผลอะไรมาอ้าง จะให้เดินตามแนวการเลือกตั้งปี 49 ด้วยข้อกล่าวหาตั้งโต๊ะผิดมุม และจ่ายเงินพรรคเล็ก ซึ่งก็พิสูจน์กลับคำพิพากษา โดยศาลอุทธรณ์ไปแล้ว ว่าไม่จริง (ตามด้วยการรัฐประหาร) ทั่วทั้งโลกนี้ (ยกเว้นโลกมืดของพวกคุณ) เขาใช้การเลือกตั้งแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสังคมกันทั้งนั้น เขาฟังเสียงคนส่วนใหญ่ แต่พวกคุณกลับชอบเสียงคนส่วนน้อย (เพราะเขามีฐานานุรูปสูงศักดิ์กว่าหรือ)

คุณสมชัยครับ ผมจะไม่เขียนอะไรเกี่ยวกับคุณอีกต่อไป ดีชั่วขอให้คุณกลับไปตรึกตรองเอาเองเถอะ ได้โอกาสเป็น กกต. ทำงานใหญ่ (ภาษาของคุณ) มีครั้งเดียวในชีวิต เลือกเองเถอะครับจะให้ผู้คนเขาจำคุณแบบไหน

สำหรับผมคุณแตกต่างไปจาก หอเอนแห่งเมืองปิซามรดกโลก คุณเอนเอียงเพราะ ใจคุณไม่เป็นธรรม คุณอาจเป็นคนที่ไม่รู้หน้าที่ที่พึงกระทำ ศีรษะที่อยู่บนบ่าของคุณ เสมือนมิได้สถิตย์อยู่อย่างงดงามเช่นที่ควร ศีรษะ(หัว) ของคุณน่าจะพร้อมกับการก้มต่ำ (แย่ไปกว่าเอียง) ให้กับอำนาจที่คุณเกรงกลัวเสียมากกว่า ทำไม ไม่กล้าก้มต่ำให้กับ ประชาชน ล่ะครับ




เรื่องเกี่ยวข้อง...

จากสดศรี...ถึงสมชัย



https://www.youtube.com/watch?v=16hBMsHdX8M


ขอเชิญร่วมงานเสวนา “ Thailand …if only…” ครั้งที่สอง 6 เมษายน โรงแรม VIE HOTEL

ที่มา Thai E-News


ขอเชิญทุกท่านร่วมงานเสวนา “ Thailand …if only…” ครั้งที่สอง
“องค์กร (ไม่) อิสระ”
อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อองค์กร(ไม่)อิสระ ใช้อำนาจ “อย่างอิสระ”?

พบกับ
อ.เอกชัย ไชยนุวัติ
อ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
ดำเนินรายการโดย
จอม เพชรประดับ

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน นี้ ณ ห้อง V.Function 12 โรงแรม VIE HOTEL ตั้งแต่เวลา 13:00 น.เป็นต้นไป

สงครามความชอบธรรม

ที่มา Thai E-News



นิธิ เอียวศรีวงศ์

(ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 มีนาคม-3 เมษายน 2557 หน้า 30)


หลายคนพูดว่า ในความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ ฝ่าย “อำมาตย์” หรือพูดให้เป็นวิชาการหน่อยคือ ฝ่าย “อำนาจในระบบ” (The Establisment) ทั้งหมด พากันเปิดหน้าออกมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยกันอย่างไม่อาย สำนวนของผมคือพากันแก้ผ้าหมด

อันที่จริงแล้ว ดูไม่จำเป็นเลย เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งพยายามสถาปนาระบอบปกครองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไว้อย่างเป็นระบบระเบียบกว่าที่ผ่านมา ก็เพียงพอที่จะถ่วงดุลประชาธิปไตยให้อยู่ในกรอบที่น่าจะเป็นที่พอใจของพวก เขาอยู่แล้ว ซ้ำยังมีกลไกในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจของฝ่ายอำนาจในระบบไม่มีทางทำได้ (เช่น ยกเลิก ส.ว. ที่มาจากการสรรหาไม่ได้)

ทุกอย่างก็ดูจะไปได้ดีกับอำนาจที่สถาปนาไว้แล้วเหล่านี้ เหตุใดจึงต้องพากันออกมาแก้ผ้าหมดเช่นนี้ ผมตอบไม่ได้ (บางคนอธิบายว่า เป็นเหตุการณ์ “ปรกติ” ในปลายรัชกาลของไทยนับตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว แต่ผมก็ยังจับตรรกะของคำอธิบายนี้ไม่ได้สักที)

อย่างไรก็ตาม มีผีตองเหลือง และชีเปลือยเต็มเมือง (ขอประทานโทษชาวมราบลี ผมไม่เจตนาจะเหยียดชาติพันธุ์ แต่นึกคำไม่ออก อย่างน้อยผมคิดว่า “ผีตองเหลือง” เป็นจินตนาการของคนพื้นราบซึ่งไม่มีชาติพันธุ์นี้จริงในโลก)

พื้นฐานที่มาของอำนาจในระบบมีสองอย่าง คือกฎหมายและประเพณี เพียงเท่านี้ก็ดูเหมือนจะเพียงพอสำหรับให้พวกเขาได้กำกับควบคุมสังคมไทยไปใน ทิศทางที่ต้องการ หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์และสถานะของพวกเขาได้ แม้กระนั้นพวกเขาก็รู้ดีว่า การยอมรับของประชาชนมีความสำคัญ เพราะการยอมรับคือพื้นฐานที่แข็งแกร่งของกฎหมายและประเพณีที่ให้อำนาจแก่พวก เขา

แต่พวกเขาอาจลืมไปว่า การยอมรับนั้นไม่ได้มาจากกฎหมายและประเพณีเฉยๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือความชอบธรรม ซึ่งไม่มีใครบัญญัติให้เป็นไปตามใจชอบได้ เราลองพิจารณาความชอบธรรมที่ว่านี่สักหน่อย

โดยไม่ต้องเรียนกฎหมายเลย มนุษย์ทุกคนก็พอหยั่งได้ว่า คำสั่ง, คำพิพากษา, หรือวิธีการใด ชอบธรรมหรือไม่ จริงอยู่การหยั่งรู้ความชอบธรรมของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็พอจะมีแนวกว้างๆ ตรงกัน มิฉะนั้นก็คงเถียงกันไม่ได้ว่าคำสั่งนั้น, คำพิพากษานั้น, วิธีการนั้น เป็นธรรมหรือไม่

บางศาสนาเชื่อว่า สำนึกในความชอบธรรมนี้เป็นมโนธรรมซึ่งพระเจ้ามอบให้แก่มนุษย์ทุกคน จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยเราก็เห็นได้ว่า ในทุกวัฒนธรรม มนุษย์ถูกกล่อมเกลาสั่งสอนให้ยอมรับระบบคุณค่าของสังคม ยอมรับว่าอะไรดี อะไรถูก อะไรชั่ว อะไรผิดมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ฉะนั้น อย่างน้อยมโนธรรมสำนึกถึงความชอบธรรมของคน ถ้าไม่ได้มาจากพระเจ้าก็ย่อมต้องมาจากวัฒนธรรมอยู่ดี

วัฒนธรรมไทยก็วางรากฐานมโนธรรมสำนึกด้านความชอบธรรมไม่ ต่างจากวัฒนธรรมอื่น และนี่เป็นความแข็งแกร่งและน่าชื่นชมสำหรับวัฒนธรรมไทยซึ่งนักปราชญ์และ ปัญญาชนไม่ค่อยพูดถึง

แต่เพราะมโนธรรมสำนึกความชอบธรรมมาจากวัฒนธรรม มันจึงไม่หยุดนิ่งกับที่ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นที่เคยยอมรับสถานภาพสูงต่ำของคน และยอมรับอภิสิทธิ์และสิทธิที่ไม่เท่าเทียมกัน ก็เริ่มยอมรับได้น้อยลง มองเห็นความเหลื่อมล้ำอย่างน้อยก็ด้านอำนาจทางการเมืองเป็นความไม่ชอบธรรมไป แล้ว

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ กฎหมายยับยั้งไว้ไม่ได้ ตรงกันข้ามเสียซ้ำ กฎหมายจะมีความศักดิ์สิทธิ์ต่อไปได้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับมโนธรรมสำนึกความชอบธรรมที่เปลี่ยนไป

ในแง่นี้แหละ ที่ผมเห็นว่าความชอบธรรมอยู่เหนือกฎหมายเสียอีก อย่าพูดถึงการตีความของเนติบริกรที่อ่านกฎหมายเพื่อเอาใจอำนาจเลย นั่นยิ่งหาความชอบธรรมใดๆ ไม่ได้เลย

การแก้ผ้ากันถ้วนหน้าของอำนาจที่สถาปนาไว้แล้วในวิกฤตการ เมืองครั้งนี้ คือการละทิ้งทั้งกฎหมายและละทิ้งทั้งความชอบธรรม ไม่ว่าในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด, การระงับโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การปฏิเสธไม่รับพิจารณาคำร้องว่า กปปส. ฝ่าฝืนมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ, การห้ามมิให้รัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมายในการจับกุมและดำเนินคดีผู้นำ กปปส., การกีดกันการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง, การตั้งบังเกอร์ทั่วกรุงเทพฯ ของกองทัพบก โดยไม่ได้รับคำสั่งจากผู้รับผิดชอบทางการเมือง, การไม่ออกหมายจับให้แก่ผู้กระทำความผิด “ซึ่งหน้า” จำนวนมาก, ฯลฯ

องค์กรและสถาบันของอำนาจในระบบตามรัฐธรรมนูญ 2550 ออกมาทำงานกันอย่างสุดตัว โดยไม่ต้องเคารพทั้งกฎหมายและความชอบธรรม สอดรับกับการเคลื่อนไหวของ “ผู้ใหญ่” ของอำนาจในระบบ ที่เสนอนายกฯ คนกลางบ้าง เว้นวรรคทางการเมืองบ้าง ฯลฯ แม้แต่คนที่อำนาจในระบบไม่ยอมรับให้เป็น “ผู้ใหญ่” ก็ยังออกมาเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน

การยอมสละละทิ้งความชอบธรรมของกลไกตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้ จะเป็นภาระอันหนักแม้แต่แก่อำนาจในระบบในอนาคต รัฐบาลคนกลางซึ่งถึงอย่างไรก็จะมีอำนาจจำกัด (เพราะส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งของสังคมไทยย่อมไม่อาจยอมรับได้) ย่อมไม่สามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งขององค์กรอิสระเหล่านี้ไว้ได้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนองค์กรเหล่านี้ หรืออย่างน้อยก็ต้องปรับเปลี่ยนบุคคลในองค์กรเหล่านี้ ด้วยความหวังว่าจะเพิ่มความชอบธรรมแก่ตนเองขึ้นมาบ้าง

อย่าว่าแต่บุคคลและองค์กรอิสระเลย แม้แต่ตัวรัฐธรรมนูญ 2550 (ซึ่งคงถูกระงับใช้ไปหลายมาตราพอสมควร) ยังจะรักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ระบบตุลาการซึ่งการอภิวัฒน์ใน พ.ศ. 2475 ไม่ได้แตะเข้าไปถึง ก็อาจจำเป็นต้องถูกปฏิรูปในระดับหนึ่ง หรือถูกปฏิรูปอย่างขนานใหญ่ โดยเฉพาะจะต้องถูกตรวจสอบอย่างมีนัยยะสำคัญจากคนภายนอก ที่เชื่อมโยงกับประชาชนบ้าง หากความพยายามจะตั้งรัฐบาลคนกลางไม่ประสบความสำเร็จ

และหากความพยายามนี้ล้มเหลว ไม่เพียงแต่ระบบตุลาการเท่านั้นที่จะถูกปฏิรูปขนานใหญ่ ผมสงสัยว่าจะถึงเวลาที่ The Establishment หรืออำนาจในระบบทั้งยวง จะถูกปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ตามไปด้วย เพราะบัดนี้มองเห็นชัดเจนแล้วว่า ความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยไทยนั้น แท้จริงแล้วมาจากองค์กรและสถาบันทั้งหมดของอำนาจในระบบนี่เอง หากเราจะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานาเพื่อไปให้ถึงสังคมประชาธิปไตย อย่างไรเสียก็ต้องเข้ามาจัดการกับอำนาจในระบบเหล่านี้ให้ได้

ที่หนังสือพิมพ์ฝรั่งบางฉบับให้ความเห็นว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ประกาศให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะ อาจเป็นโอกาสทางบวก คือทำให้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กลับมาลงเลือกตั้งใหม่และการเมืองไทยเดินต่อไปได้ ผมคิดว่าเป็นการมองที่ตื้นเขินเกินไป พรรค ปชป. นั้นกระจอกเกินกว่าจะเป็นอุปสรรคของการเมืองแบบประชาธิปไตยในเมืองไทยได้ ปชป. ยอมตัวเป็นเครื่องมือของอำนาจในระบบ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการเมืองให้แก่ตนเอง ในสนามที่ไม่ต้องมีการแข่งขันอย่างยุติธรรมต่างหาก

โอกาสทางบวกของคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ หากจะมีจริง ก็คือการละเมิดความชอบธรรมอย่างอุจาดในครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนมีโอกาสเป็นครั้งแรกที่จะรื้อโครงสร้างของอำนาจในระบบลงทั้ง หมดต่างหาก

คราวนี้ หันกลับมาดูว่า ฝ่ายประชาชนผู้สนับสนุนประชาธิปไตยจะต่อสู้กับอำนาจในระบบ ซึ่งได้ละทิ้งความชอบธรรมไปจนสิ้นเชิงนี้อย่างไร

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมเป็นอันขาดก็คือ เรากำลังเข้าสงครามความชอบธรรม ไม่ใช่สงครามปะทะกันด้วยกำลัง ฉะนั้น การต่อสู้ต้องทำบนฐานของความชอบธรรมอย่างเคร่งครัด แฉโพยความไม่ชอบธรรมของอำนาจที่สถาปนาไว้แล้วในทุกวิถีทาง รวมทั้งการล่อให้พวกเขาทำสิ่งที่ไร้ความชอบธรรมอย่างเห็นๆ มากขึ้น ไม่ใช่เห็นเฉพาะในหมู่คนไทยเท่านั้น แม้แต่คนต่างประเทศก็ได้เห็นความไม่ชอบธรรมไปพร้อมกันด้วย

ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ควรยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก กกต. และ กปปส. บังคับให้พวกเขาต้องให้คำพิพากษาที่ใครๆ ทั้งในและต่างประเทศก็เห็นว่าไม่ชอบธรรม (เพราะการลงทุนทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่สามารถให้คำพิพากษาที่ชอบธรรมได้)

รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตราบเท่าที่ยังปฏิบัติหน้าที่รัฐบาลอยู่ก็ต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก กกต. ในขณะเดียวกันก็ผลักดันการฟ้องร้องคดีอาญากลุ่ม กปปส. อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้หน้าที่การฟ้องร้องเอาผิดกับ กปปส. กลายเป็นหน้าที่ของรัฐบาล (อย่างที่ คุณฉลาด วรฉัตร พูด) ซึ่งแม้แต่รัฐบาลใหม่ที่มาจากอำนาจในระบบ จะหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามได้ยากที่สุด

ถ้ารัฐบาลคนกลางคิดว่าแน่มาก ก็ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาเลย ยิ่งจะทำให้ใครๆ เห็นต้นสายปลายเหตุและความไม่ชอบธรรมยิ่งขึ้น

เรื่องเล็กๆ เช่น สวมเสื้อสีบางสี หรือจุดเทียนประท้วง หรือโพกศีรษะด้วยข้อความประท้วง ฯลฯ ถูกจับกุม หรือถูกอันธพาลซ้อม ก็ยิ่งแฉโพยความไม่ชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น เพราะการสวมเสื้อ, จุดเทียน, ประดับศีรษะ เป็นกิจกรรมปรกติในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป กลับถูกห้ามหรือถูกกำกับควบคุม อำนาจที่ใช้ในการห้ามหรือกำกับควบคุมก็จะกลายเป็นอำนาจที่ไร้ความชอบธรรม อย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น

สงครามกลางเมืองจะเกิดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา แต่สงครามความชอบธรรมได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่สงครามที่แบ่งแยกประเทศตามภูมิภาค แต่เป็นสงครามที่แบ่งแยกระหว่างความชอบธรรมและความไม่ชอบธรรม จะมีคนอีกมากในทุกภาคของประเทศที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา คือฝ่ายความชอบธรรม

แล้วเราจะชนะ

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

เอกอัครราชฑูตอเมริกาเปิดใจ หวังว่าคงไม่ให้ฉันต้องเลือกข้าง

ที่มา Thai Free News


Q:คุณคุยกับคุณสุเทพบ้างหรือไม่
A:เราคุยกับทุกฝ่ายค่ะ ฉันจะไม่เอ่ยชื่อ

คริสตี้เปิดใจ : 
การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยมีหลายองค์ประกอบค่ะ
ทั้งการยึดหลักกฎหมาย ระบบตุลาการที่เป็นกลาง
สถาบันต่างๆ ที่เข้มแข็ง สิทธิในการชุมนุมโดยสันติ
การปกป้องสิทธิมนุษยชน และรวมถึงการเลือกตั้งด้วย

คำต่อคำของ อ.จรัญ ภักดีธนากุล กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 เป็นโมฆะ

ที่มา Thai E-News


https://www.youtube.com/watch?v=B4nTOGl2sBI&app=desktop

เรื่องเกี่ยวข้อง...



"คณิน บุญสุวรรณ" ตั้งคำถาม 6 ข้อ ให้ ศาลรัฐธรรมนูญตอบประชาชน ?
วันที่ 29 มีนาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายคณิน บุญสุวรรณ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย  กล่าวถึงกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยว่า การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ว่า เปรียบเทียบการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 54 กับการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 57 ว่ามีความแตกต่างกันหลายประการ การเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 54 นั้น เกิดจากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ยุบสภา แล้วประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลงแข่งกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งครั้งนั้นมีกกต.และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งร่วมกันเป็นกรรมการตัดสิน ขณะที่การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 57 นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยุบสภา แต่นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคปชป.ปฏิเสธการแข่งขัน กกต. โดยเฉพาะนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารการจัดการเลือกตั้ง ทำตัวเป็นคู่ต่อสู้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพท. ครั้งนี้มีศาลรัฐธรรมนูญเป็นกรรมการตัดสิน โดยปชป.ไปร่วมกับกปปส. โดยอยู่คนละมุมเวที ร่วมกันตีขา   น.ส.ยิ่งลักษณ์ และศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินให้น.ส.ยิ่งลักษณ์และพท.แพ้กกต. โดยสั่งให้การเลือกตั้งของคน 20 ล้านคน เป็นโมฆะ  ดังนั้นจึงมีคำถามที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องตอบให้ประชาชนได้ทราบ ดังนี้
1.เพราะเหตุใดศาลรัฐธรรมนูญจึงมาเป็นผู้ตัดสินการเลือก ตั้งครั้งนี้ ในเมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา 219 วรรค 3 ระบุชัดว่า ให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีอำนาจพิจารณา และวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. อำนาจตรงนี้เป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ซึ่งตรงกับการเลือกตั้งครั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 54
2.เหตุใด เรื่องคอขาดบาดตาย ซึ่งกระทบต่อความเป็นไปของบ้านเมือง และกระทบต่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติเช่นนี้ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ขึ้นนั่ง บัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย กลับให้โฆษกศาลออกมาแถลงเป็นเชิงแถลงข่าวของศาลรัฐธรรมนูญ
3.เหตุใด คำวินิจฉัยกลางอย่างไม่เป็นทางการที่ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่ในภายหลังจึงมีข้อ ความไม่เหมือนกันกับการแถลงของโฆษกศาล และคำวินิจฉัยกลางอย่างเป็นทางการที่จะต้องนำไปประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา นั้นจะออกเมื่อไหร่ และจะมีข้อความเหมือนคำวินิจฉัยกลางอย่างไม่เป็นทางการหรือไม่
4.เหตุใด ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่เปิดเผยคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ในวันที่โฆษกศาลแถลง ในเมื่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรค 2 ระบุชัดว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนที่เป็นองค์คณะ จะต้องทำความเห็นในการวินิจฉัยในส่วนของตนพร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุม ก่อนการลงมติ การไม่เปิดเผยคำวินิจฉัยส่วนตนจึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีคำวินิจฉัยส่วนตน หรือไม่
5.เหตุใดศาลรัฐธรรมนูญจึงชี้ว่า พ.ร.ฎ.เฉพาะในส่วนที่ให้การจัดการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า กกต.ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในพ.ร.ฎ. จึงเป็นเรื่องที่การจัดการเลือกตั้งขัดต่อพ.ร.ฎ.ต่างหาก ไม่ใช่พ.ร.ฎ.ขัดต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ศาลรัฐธรรมนูญเอาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตราใดมาวินิจฉัย
6.จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น จนถึงวินาทีนี้ยังไม่ปรากฎชัดเลยว่ากระบวนการการเลือกตั้งนั้นจะดำเนินต่อไป หรือไม่ อย่างไร และเมื่อใด เพราะหากเป็นไปตามพ.ร.ฎ.ที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่ายังมีผลใช้บังคับนั้น การเลือกตั้งก็ต้องเป็นไปตาม มาตรา 108 คือ ไม่น้อยกว่า 45 วัน และไม่เกิน 60 วัน แต่ขณะนี้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ดำเนินการเสร็จแล้ว แล้วศาลก็มาสั่งให้หยุดชะงักลงไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญหาต่อไปว่า การเลือกตั้งที่จะมีครั้งต่อไปจะเป็นการเลือกตั้งเฉพาะในส่วน 28 เขตที่เหลือ หรือจะต้องเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด แล้วการตราพ.ร.ฎ.ครั้งต่อไปจะทำอย่างไร

ooo

"ชัยนรินทร์" เเจ้งความ กองปราบฯ เอาผิด 6 ตุลาการศาล รธน.และ 5 กกต.

วันที่ 29 มีนาคม ที่กองบังคับการกองปราบปราม (บก.ป.) ได้มี กลุ่ม ศูนย์ประสานงานเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ อายุ 38 ปี แกนนำกลุ่มศูนย์ประสานงานเพื่อประชาธิปไตย พร้อมกลุ่ม ผู้ชุมนุม50 คน เดินทางมาที่บริเวณด้านหน้า กองปราบปราม พร้อมกับอ่านข้อความ โดยเนื้อข้อความระบุว่า พวกตนเองต้องการร้องทุกข์กล่าวโทษ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง  ในฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหรือ ละเว้น การปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดย กลุ่มประชาชนได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับ กกต. ใน 4 ประเด็น 

1.การกำหนดการเลือกตั้งที่มีวันที่2 กุมภาพันธ์ มีเขตการเลือกตั้งที่มีปัญหา 28 เขต ผู้ร้องเห็นว่า การเลือกตั้งขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ม.108  2.ในการรับสมัครการเลือกตั้งผู้สมัคร ไม่สามารถที่จะเข้าไปในสถานที่ รับสมัครได้ และกกต. แจ้งเปลี่ยนแปลงสถานที่รับสมัคร โดย ไม่มีการประกาศให้ทราบล่วงหน้า โดยเปิดเผย ทำให้ผู้สมัคร ไม่ทราบและไม่สามารถเดินทางไปรับสมัคร ได้ 3. ในการนับคะแนนเสียงเลือกตั้ง ขัดต่อการลงคะแนนลับ บัตรเลือกตั้งที่ได้ เป็นบัตรเสีย และเห็นว่าการดำเนินการเลือก ตั้งของ กกต. ในเรื่องการลงคะแนนลับ เป็นเรื่องร้ายแรง กระทบสิทธิของประชาชนเป็นจำนวนมาก และ 4. กกต. ปล่อยให้มีการละเมิด ยอมให้มีการใช้อำนาจรัฐที่ก่อให้เกิดความไม่เที่ยงธรรม เช่น นายกรัฐมนตรี เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย แต่กลับสามารถออก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ผู้ร้องเห็นว่า กกต. ละเลยต่อหน้าที่ให้มีการใช้อำนาจรัฐ ออกประกาศ และคำสั่งต่างๆ  ทำการการจัดการการเลือกตั้ง ไม่สามารถที่จะดำเนิน ไปได้โดยสุจริต และเที่ยงธรรม 

นอกจากนี้ พวกตนขอแจ้งความดำเนินคดีกับศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีคำวินิจฉัย โดยมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบ
  
นายชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ อายุ38ปี กรรมการศูนย์ประสานงานเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่า วันนี้เป็นตัวแทนนำประชาชน ที่ได้รับความเสียหายจากการเลือกตั้ง เข้ามาแจ้งความดำเนินคดี กับ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน6 ท่าน และกกต. จำนวน 5 ท่าน ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดและประพฤติมิชอบในวงราชการ หรือ บก.ปปป.ไว้ใน4 ประเด็น ในวันนี้ จึงนำประชาชนมาแจ้งความเพิ่มเติมและยื่นเอกสารไว้ที่กองปราบปราม

ด้านพ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป กล่าวว่า เบื้องต้น เท่าที่ทำการตรวจสอบก็จะเข้าหลักเกณฑ์ในเรื่อง กฎหมาย ปปช. หลังจากรับเรื่องร้องทุกข์ไว้แล้วก็จะดำเนินการส่งเรื่องให้กับ ปปช. ภายใน30 วัน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการแสดงสัญลักษณ์ โดย ได้การนำเอาไฟฉาย มีส่องขึ้นฟ้า เพื่อการแสดงสัญลักษณ์ว่า ต้องการแสงสว่างให้กับประเทศไทยที่กำลังมืดมิด
 
 ภาพขนาดย่อ

'พิลึกกึกกือ'ข้อสังเกตเรื่องการเลือกตั้ง สว.ประเทศไทย

ที่มา ประชาไท




สิ่งที่แปลกใจกับดิฉันมากๆ เกี่ยวกับ การเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา ในประเทศไทย ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคมนี้ (ตัวดิฉันอาจจะไม่เข้าใจหลักการ เพราะไม่เคยประสบกับระบบที่ "พิลึกกึกกือ" ขนาดนี้ ) ก็เลยขอเขียนแบบเปิดใจหน่อยนะคะ:

1. ทางการใช้คำว่า "การเลือกตั้ง" แต่กลับห้ามทำการ "หาเสียง" เพื่อประกาศให้ผู้คนที่จะออกไป "เลือกตั้ง" ได้ทราบกันว่า "ผู้สมัคร" แต่ละคน มีนโยบายอย่างไร ซึ่งทำให้ประชาชนอย่างเราๆ และท่านๆ ไม่รู้จักบุคคลชื่อเสียงเรียงนามเหล่านี้ว่า เป็นใคร มาจากไหน มีคุณสมบัติอย่างไร เพราะไม่เคยมีการขึ้นเวทีปราศรัยหรือตอบคำถามจากประชาชน ด้วยการแนะนำตนเองให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบเกี่ยวกับประวัติพื้นเพหรือสิ่ง ที่ตนเองต้องกระทำ เมื่อชนะการเลือกตั้งแล้ว

2. การที่ สมาชิกวุฒิสภา ไม่สามารถจะสังกัดพรรคการเมืองได้นั้น ดิฉันสงสัยเหมือนกันว่า เวลาพวกนี้เขาไปโหวดในการเลือกตั้งใหญ่ (อย่างเช่นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์) เขาหรือเธอก็ต้องเลือกพรรคที่ตนชื่นชอบ แต่ตัวผู้สมัครเองกลับสังกัดพรรคการเมืองไม่ได้อย่างนั้นหรือ? (จะมาอ้างว่า คนที่สมัครพวกนี้ โหวต "โน" เพื่อแสดงความ "เป็นกลาง" ในทางการเมือง มันก็กระไรอยู่นะคะ)

3. ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาไม่สามารถประกาศอย่างเปิดเผยได้ว่า จะทำงาน "ร่วมกัน" อย่างไรกับพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร มันก็ทำให้ประชาชนรู้สึกแปลกๆ เพราะ หน้าที่หลักของสมาชิกวุฒิสภา ก็เป็นเรื่องการปรึกษาและออกกฎหมาย ซึ่งต้องประสานงานกับทางสภาผู้แทนราษฎรแทบทั้งสิ้น เมื่อไม่สามารถป่าวประกาศว่า จะทำงานร่วมกันกับสภาผู้แทนราษฎรหรือแม้กับรัฐบาลได้อย่างไร มันไม่มีความ "เข้าท่า" เลยในเรื่องนี้
ขนาดตัวผู้สมัคร ก็ยังไม่สามารถประกาศนโยบายได้ว่า ถ้าตนเองได้รับเลือกเข้าไปแล้ว จะทำอะไรในสภาบ้าง พูดง่ายๆ คือ ไม่สามารถทำสัญญาประชาคมได้เลย แต่เมื่อได้รับเลือกเข้าไป ก็กินเงินภาษีจากประชาชนเป็นเงินเดือนค่าตอบแทนอยู่ดี

แต่มันแปลก หรือไม่ ที่สมาชิกวุฒิสภาที่มาจาก "การแต่งตั้ง" นั้น กลับป่าวประกาศนโยบายอย่างชัดเจน (จากการให้สัมภาษณ์หรือออกข่าวแบบ 40 สว ในอดีต) ว่า เป็นปรปักษ์กับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะพวกนี้ จะทำการค้านมันแทบทุกเรื่องเช่นกัน

4. พรรคการเมืองที่ประกาศบอยคอทท์การเลือกตั้งใหญ่ กลับเห็นเรื่อง "การเลือกตั้ง" อย่างนี้ กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีการประกาศทักท้วงแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่มันก็เป็น "การเลือกตั้ง" ในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้นจากการ "กาบัตร" อย่างนี้มันต่างกับการเลือกตั้งใหญ่ตรงไหนหรืออย่างไร? จะต้อง "ปฎิรูป" การเลือกตั้งก่อนอย่างนั้นหรือเปล่า?

5. ระบบการเลือกตั้ง สว แบบนี้ เป็นเรื่องที่แย่มาก เพราะ เหมือนกับว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง ไม่มี "ความมั่นใจ" แต่อย่างใด เมื่อตอนที่จะลงคะแนนเสียงให้กับบุคคลๆ ใดคนหนึ่ง

ข้อมูลที่บุคคลผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งได้รับ ก็มาจาก "การฟอร์เวิร์ด" ข้อความหรือ จากอีเมล์ หรือ จากภาพที่แชร์กันบนหน้า Facebook ซึ่งสร้างด้วย "ความเชื่อ" จากคนอื่นๆ (ไม่ใช่จากการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเอง) พูดง่ายๆ ก็คือ ท่านไม่ได้ตัดสินใจเลือก สว คนนี้ด้วยตัวท่านเอง ส่วนใหญ่มาจาก "ความเชื่อ" จากอีเมล์หรือการโพสต์หน้า Facebook แทบทั้งสิ้น ใช่ไหมคะ?

เรื่อง นี้มันกลับกลายเป็นวิธีการที่กระทำตาม "คำบอกเล่า" หรือ "ข่าวลือ" เกี่ยวกับคุณสมบัติของบุคคลผู้สมัครเพื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้น เหตุผลที่จูงใจให้เรา "กา" คะแนนให้นั้น เป็นเรื่องของ "ความเชื่อ" จาก "ตัวหนังสือ" แทนที่จะเหมือนกับ ผู้แทนราษฎรที่เรา "มั่นใจ" ว่า เรา "กา" ให้กับคนที่เราชื่นชอบจริงๆ

เราถึงเห็น การ "ถามคำถาม" ตามหน้าเว็บกันให้วุ่นว่า "จะเลือกใครดี" หรือ "ใครเป็นผู้สมัครฝ่ายประชาธิปไตย" กันบ้าง? งงไหมคะ กับ ตรรกะแบบนี้?

สรุป แล้วก็คือ การ "กา" ให้กับ ผู้สมัคร สว คนใดคนหนึ่งนั้น ทำไมต้องถามกับตนเองด้วยว่า เรา "กา" ถูกคนหรือเปล่า? นี่คือ สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในการ "เลือกตั้ง" ที่ไม่มีการออกหาเสียง สังกัดพรรคการเมืองก็ไม่ได้ และประชาชนก็๋เลยไม่ทราบว่า เขาจะทำงานร่วมกันกับอีกสภาหนึ่งได้อย่างไร

น่าจะส่ง บทบาทของการ "เลือกตั้ง" แบบนี้ ไปให้กับ Ripley's Believe it or not เพื่อตีพิมพ์เรื่องที่ ประหลาดๆ ที่สุดในโลกกัน...


ที่มา: https://www.facebook.com/doungchampa/posts/598398640257039

เครือข่ายคนตรังพิทักษ์ประชาธิปไตยค้านอำนาจนอกระบบ ชี้นายกต้องมาจากการเลือกตั้ง

ที่มา ประชาไท


เครือข่ายคนตรังพิทักษ์ประชาธิปไตย (คตพป.)ได้ตระเวนติดป้ายไวนิล ‘ยึดมั่นในระบบรัฐสภา คัดค้านอำนาจนอกระบบ นายกมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น’ ทั่วอำเภอเมือง จังหวัดตรัง

เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 29 มีนาคม 2557 เครือข่ายคนตรังพิทักษ์ประชาธิปไตย (คตพป.)ได้ตระเวนติดป้ายไวนิล ‘ยึดมั่นในระบบรัฐสภา คัดค้านอำนาจนอกระบบ นายกมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น’ ทั่วอำเภอเมือง จังหวัดตรัง
โดยป้ายไวนิลดังกล่าวถูกติดไว้บริเวณแยกสำคัญๆ ในตัวอำเภอเมืองตรัง อาทิ 4 แยกต้นสมอ, 4 แยกท่าปาบ , 4 แยกควนปริง, 4 แยกตลาดอตก. และบนสะพานลอยหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต วิทยาเขตตรัง ก่อนถึงโรงเรียนสภาราชินี ตรัง ซึ่งอยู่เยื้องๆ หน้าบ้านพัก นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
หลังจากที่ก่อนหน้านั้นในช่วงกลางวัน คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จังหวัดตรัง เดินรณรงค์และชุมนุมใหญ่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดตรัง

สุเทพจะไม่ให้จัดเลือกตั้งอีก เมื่อ กปปส.เป็นรัฏฐาธิปัตย์จะตั้งรัฐบาลประชาชน

ที่มา ประชาไท


เลขาธิการ กปปส. ระบุเคลื่อนขบวนไปสักการะอนุสาวรีย์ ร.5 - ร.7 เพื่อประกาศเจตนารมณ์ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง จะไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งและการเปิดสภาอย่างเด็ดขาดจนกว่าจะปฏิรูปเสร็จ โดยจะเร่งเกมให้ชนะภายในเมษายนนี้ และเมื่อได้อำนาจรัฐเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วจะตั้งสภาประชาชน ปฏิรูปประเทศโดยใช้เวลาปีครึ่ง
ตามที่เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นำผู้ชุมนุมเดินขบวนจากสวนลุมพินี มายังลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อสักการะพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 เพื่อความเป็นสิริมงคล และประกาศเจตนารมณ์ต้องปฏิรูปประเทศให้แล้วเสร็จก่อนมีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อนำระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์กลับคืนสู่ประชาชน จากนั้นเคลื่อนขบวนไปยังรัฐสภา สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 7 โดยนายสุเทพ กล่าวย้ำว่าจะไม่ให้รัฐสภาเป็นสถานที่ใช้ดำเนินการใดๆ จนกว่าจะได้รับการปฏิรูปอย่างสมบูรณ์ และได้เดินเท้ากลับสวนลุมพินีนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 21.20 น. ที่เวที กปปส. สวนลุมพินี นายสุเทพขึ้นปราศรัยว่า วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ที่จะได้จารึกถึงความรัก ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของประชาชนผู้รักชาติ รักแผ่นดินที่เสียสละอย่างที่ไม่สามารถจะบรรยายได้หมด ได้ออกมาแสดงพลังร่วมกันด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่คือ รักประเทศไทย รักชาติไทย รักแผ่นดินไทย รักระบอบประชาธิปไตย
ต้องเรียนกับพี่น้องว่า วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวันหนึ่งในการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน และจะต้องเป็นวันที่มีผู้คนกล่าวขวัญถึงไปอีกนาน ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ พี่่น้องมวลมหาประชาชนทุกท่าน ทุกฝ่าย ทุกองค์กรร่วมเขียนขึ้นด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง ห้าวหาญ สมควรได้รับการชื่นชม เชื่อว่าเหตุการณ์ในวันนี้พวกเราทั้งหลายจะได้ไปพูดคุยบอกเล่าให้ญาติมิตร ลูกหลาน ได้ร่วมรับรู้ว่าสิ่งที่เราทั้งหลายร่วมกันทำมาจากเช้ามืดวันนี้ จนถึงขณะนี้ เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และสมควรแก่การยกย่อง
เพราะว่าเป็นการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนนับล้านคนที่เลือกวิธีการต่อสู้ อย่างสันติ สงบ อหิงสา ไม่มีที่ไหนในโลกที่คนเป็นล้านๆ คนออกมาชุมนุมต่อสู้แล้วไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับใครเลย ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายกับผู้หนึ่งผู้ใดหรือกับสังคมโดยรวมแต่อย่างใด ทั้งสิ้น ตรงกันข้ามบรรยากาศในการต่อสู้วันนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก แจ่มใส สวยงาม สวยจนเห็นแล้วน้ำตาไหลครับ
ผมตื่นแต่เช้าเตรียมตัวทีจะออกมาเดินถนนกับพี่น้องทั้งหลายตามที่เราได้ นัดหมายกันไว้ แต่กว่าจะมาถึงบริเวณพิธีที่เราจะเริ่มถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ ร. 6 เจอกล้องถ่ายรูปซะเพลีย เยอะจริงๆ กล้องถ่ายรูปสมัยนี้ แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ถ่ายรูปกับพี่น้องทั้งหลายในวันประวัติศาสตร์วันนี้
ทางฝ่ายบริหารจัดการเดินขบวน วางแผนขบวนไว้อย่างสวยสดงดงาม ขบวนที่ 1 ประกอบด้วยกลุ่มนั้น องค์กรนี้ มหาวิทยาลัยโน้น พี่น้องจังหวัดนี้ ใครต่อใคร จัดเตรียมไว้หมด แต่เอาเข้าจริงๆพี่น้องประชาชนมามากมายกว่าที่เราคาดคิดไว้ แล้วทำอย่างที่เราคาดไว้เหมือนกันว่าฉันไม่สนขบวนไหน ฉันจะเข้าตรงนี้ ไม่รู้จักกันมาก่อนก็จะเป็นเพื่อนกันวันนี้ ไม่เห็นหน้ากันมาก่อนจะเป็นญาติกันวันนี้ ใครจะทำไม ผู้ใหญ่สาทิตย์ คุณณัฐฐพล วางแผนให้ผมไปยืนบนแท่นให้กำลังใจริ้วขบวนที่จะเดินผ่านไปเรื่อยๆ แล้วผมก็จะออกเดินพร้อมขบวนที่ 4 จะอยู่ประมาณกลางๆ ของขบวนประชาชนชุดใหญ่ แต่ที่ไหนได้ไม่มีใครออกเดินยืนอยู่กับผมตรงนั้น ขบวนก็เคลื่อนไม่ได้ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมเดินไปกับขบวนชุดแรก ขบวนจะได้เคลื่อนไปได้ ผู้ใหญ่สาทิตย์ก็ค้อนผมว่าเสียแผน แต่พอผมเริ่มออกเดิน พี่น้องก็เดินไปกับผม แล้วก็ร้องเพลง ร่าเริง คล้องแขนกันเดินกันไป คุณณัฐฐพลก็วางแผนว่าให้ผมดูความสวยงามทุกขบวนให้ได้ พอไปถึงสยามดิสคัฟเวอรี่ ก็พยายามให้ผมไปดูริ้วขบวนที่เตรียมการไว้ แสดงให้ผมดูถึงความสวยงาม พอพี่น้องเห็นผมยืนก็เลยยืนตรงนั้น นึกว่าผมจะปราศรัย ขบวนก็ไม่ไปอีก คุณณัฐฐพลก็จนแต้มเลย พี่จะไปไหนเชิญพี่ตามสบายเลย
เมื่อผ่านหน้าวังศุโขทัย ผมเห็นที่ว่างอยู่ ผมเลยหยุดนิดหนึ่งให้ขบวนเขาเดินเคลื่อนไปก่อน เสียดายไม่ได้เห็นความสวยงามทุกขบวนได้ดูจากคลิปที่คุณอัญชะลีนำมาแสดงให้ เดิน ทั้งนี้ตลอดเวลาที่เดินไปสองฟากฝั่งถนนมีพี่น้องออกมาให้กำลังใจ วันนี้ร้อนมากก็กังวลใจเพราะมีรุ่นใหญ่เยอะ ประเภท ส.ว. ผมก็กังวลใจมาก แต่ก็อุ่นใจเพราะบุคลากรทางการแพทย์เขาเพียบพร้อมจริงๆ ขอถือโอกาสนี้กราบขอบพระคุณบรรดาคุณหมอ พยาบาล ทางการแพทย์ท่านได้ทำหน้าที่สุดยอด ดูแลพี่น้องเราอย่างดีเยี่ยมเลย นอกจากนี้สุเทพได้ขอบคุณผู้ที่นำอาหาร น้ำดื่มมาแจก และขอบคุณทุกกลุ่มทุกองค์กร ที่นำของมาแจก และขอบคุณเจ้าหน้าที่ของ กทม. ที่มาดูแล สุเทพกล่าวด้วยว่า "ผมถึงบอกว่าบรรยากาศในการเดินขบวนวันนี้มันสวยสดงดงาม ยังนึกไม่ออกมาเคยมีขบวนต่อสู้ทางการเมืองที่ไหนที่สวยสดงดงามอย่างที่พี่ น้องชาวไทยเราทำวันนี้ ต้องถือว่าวันนี้ยอดเยี่ยม"
ต่อมาสุเทพกล่าวว่า เมื่อเดินไปถึงลานพระบรมรูปฯ จะนัดองค์กรต่างๆ ทำพิธีสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 แต่ไปรออยู่เป็นชั่วโมงไม่มีทีท่าว่าขบวนหลังๆ จะตามไปถึง พื้นที่ลานพระบรมรูปก็เต็มไปหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าเอาเฉพาะกลุ่มที่ไปถึงก็แล้วกันได้ถวายสักการะ และทำพิธีที่นั่น
สำหรับพี่น้องต่างจังหวัดนะครับ ขอกราบเรียนอธิบายว่าพระพุทธเจ้าหลวง หรือรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทันสมัยมาก และได้ทรงปฏิรูปการบริหารราชการของประเทศไทย ในทุกด้าน ทั้งเรื่องการปกครอง ทั้งการบริการประชาชน การแพทย์ สาธารณสุข กฎหมายทุกอย่าง โดยเฉพาะการคมนาคม ประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เราเจริญพอๆ กับญี่ปุ่นเรียกว่าแข่งกันเลย เพิ่งมาล้าหลังตอนเป็นประชาธิปไตยมากๆ เลยปฏิรูปหรือพัฒนาช้าไป สมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท่านได้ปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง วันนี้มวลมหาประชาชนได้ประกาศเจตนารมณ์ต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าหลวง ว่าจะดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท คือจะปฎิรูปประเทศไทยขนานใหญ่ และจะต้องทำให้ได้ด้วยมือของประชาชน ไม่หวังพึ่งพรรคการเมือง นักการเมืองแล้ว
และ ณ ที่นั้น หลังจากที่ได้ถวายราชสดุดี ผมก็ได้ประกาศเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชนว่า เราจะทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ต่อสู้เพื่อให้สามารถปฏิรูปประเทศไทยให้ได้ด้วยมือของประชาชน นั่นเป็นสัตย์ปฏิญาณที่เราประกาศต่อหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เป็นความสำคัญของนักสู้เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินทุกคน
ออกจากตรงนั้นเราก็เดินต่อไปที่รัฐสภา เมื่อผมไปถึงพี่น้องประชาชนแน่นหมดแล้ว ผมและแกนนำทั้งหลายก็ขึ้นไปถวายสักการะพระบรมรูปพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ของกรุงรัตนโกสินทร์ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เป็นกษัตริย์ที่พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้แก่คนไทย แล้วได้แสดงพระราชปณิธานไว้ชัดเจนว่าพระองค์ท่านยินดีสละพระราชอำนาจซึ่ง เป็นของพระมหากษัตริย์ให้กับปวงชนชาวไทยทั้งมวล โดยมีพระราชปณิธานแน่วแน่ว่าให้อำนาจนี้ถึงมือประชาชน เป็นของประชาชนจริงๆ ไม่ได้ต้องการให้อำนาจอธิปไตยไปอยู่กับคณะหนึ่งคณะใด พระองค์ท่านไม่ยินยอม เมื่อมีคนทำอย่างนั้นก็ทรงสละราชสมบัติเพราะมีคนนำพระราชอำนาจไปใช้ ทั้งที่พระองค์มุ่งพระราชทานให้ประชาชน
วันนี้เราได้ถวายสักการะ และได้ประกาศเจตนารมณ์ว่าเราประชาชนจะต่อสู้เพื่อให้อำนาจอธิปไตยกลับมาเป็น ของประชาชนชาวไทย และเราจะใช้อำนาจนั้นปฏิรูปประเทศนี้ให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
ผมเป็นตัวแทนของมวลมหาประชาชนประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน และประกาศไว้เป็นการเด็ดขาดว่า  "เราจะไม่ยอมให้มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรขึ้นได้อีกเป็นอันขาด นอกจากจะมีการปฎิรูปให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยก่อน มิฉะนั้นอย่าหวังเลยจะว่ามีสภาผู้แทนราษฎร"
"คำประกาศนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะขณะนี้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะไปแล้ว ไม่มีผลโดยสิ้นเชิง แต่ฝ่ายรัฐบาลทรราชย์พยายามผลักดัน พยายามใช้เล่ห์ต่างๆ นานา หว่านล้อม เกลี้ยกล่อม ให้ผู้คนในบ้านเมืองนี้เข้าใจผิด คิดว่าประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้งเท่านั้น แต่เรามวลมหาประชาชนได้รู้แจ้งเห็นชัดแล้วว่า การเลือกตั้ง ตามกฎหมายที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายพรรคการเมืองหรือกฎหมายเลือกตั้ง ไม่สามารถทำให้ประเทศนี้ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ ในทางตรงกันข้าม กลับเปิดช่องให้ทุนสามานย์เข้ามาครอบงำ การเมืองของประเทศ เกิดการทำธุรกิจการเมืองขึ้น และตัวการที่ทำให้ระบบทุนสามานย์ ธุรกิจการเมืองได้ครอบงำการเมืองประเทศไทยในขณะนี้คือระบอบทักษิณ เพราะฉะนั้นเรามวลมหาประชาชนจึงได้ประกาศว่าต้องขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้น ไป จากการเมืองประเทศไทย และลงมือปฏิรูปโดยทันที ก่อนจะไปเลือกตั้งกันอีกครั้งหนึ่ง"
"คำประกาศของเราวันนี้ต้องการสื่อไปถึงบรรดา องค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการเลือกตั้ง คือ กกต. และฝ่ายที่พยายามให้มีการเลือกตั้ง คือกลุ่มของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกกันให้รู้ให้ชัดไปเลยว่าเราไม่ยินยอมให้มีการเลือกตั้งจนกว่าจะมีการ ปฏิรูปประเทศเสร็จ นี่เป็นคำประกาศที่เบ็ดเสร็จ เด็ดขาด มีความหมายชัดเจนในตัวเอง"
"ส่วนถ้าฝ่ายผู้มีอำนาจยังสงสัยอยู่ว่าเราประกาศอย่างนี้ เราทำได้หรือไม่ เราก็จะขออนุญาตเรียนให้ทราบว่าคราวที่แล้วการเลือกตั้งเมื่อ 2 ก.พ. มีเฉพาะไม่กี่แห่ง 20-30 แห่งเท่านั้นที่สมัครไม่ได้ เลือกตั้งไม่ได้ แต่การรวมตัวแสดงพลังของมวลมหาประชาชนในวันนี้ บอกให้ท่านทั้งหลายได้รู้ชัดว่า ถ้ายังดื้อดึงดันให้มีการเลือกตั้งกันอีก แม้แต่ใน กทม. ก็จะไม่สามารถดำเนินการให้มีการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน"
"รวมถึงจังหวัดต่างๆ ที่วันนี้มีมวลมหาประชาชน ได้ออกมาเจตนารมณ์ แสดงพลังของประชาชนเหมือนที่พวกเราได้ดำเนินการในกรุงเทพฯ วันนี้เช่นกัน นั่นหมายความว่าอีกหลายสิบจังหวัดในประเทศไทย จะไม่ยอมให้จัดการเลือกตั้งได้ ถ้ายังมีการดื้อดึงดันให้มีการเลือกตั้งกันอีก"
"จากการที่มวลมหาประชาชนได้ออกมาแสดงพลังพร้อมเพรียงกันจำนวนมาก มายมหาศาล เป็นสิ่งแสดงให้เห็นชัดว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป เพราะประชาชนไม่ยอมรับให้ปกครองบริหารประเทศนี้อีกต่อไปโดยเด็ดขาด"
ก่อนหน้านี้เราได้ประกาศแล้ว และวันนึ้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนออกมายืนยันว่านอกจากไม่มีความชอบธรรม ทางกฎหมายแล้ว ยังไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองที่จะเป็นรัฐบาลอีกต่อไป เพราะประชาชนเจ้าของประเทศไม่ยินยอมไม่ยอมรับ ปรากฎการณ์ที่ประชาชนออกมาแสดงพลังกันอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบรรดาข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร จะได้ตระหนักว่ามวลมหาประชาชนได้ยืนหยัดประกาศก้องถึงเจตนารมณ์ที่ต้องการ ให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกไปเสียจากอำนาจแล้วเอาอำนาจอธิปไตยคืนให้ประชาชน เพื่อตั้งรัฐบาลของประชาชนและปฎิรูปประเทศไทย
นี่คือสิ่งที่ข้าราชการทั้งหลายสมควรต้องรู้ และจะได้ตระหนักชัดว่าวันนี้ที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามยื้อยุดเกาะเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ไม่เหลืออำนาจอะไรในมือแล้ว อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง สักแต่ให้เขาเรียกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง ที่เหลือทำอะไรไม่ได้เลย ถือเป็นรัฐบาลที่หมดสภาพ ล้มเหลวแล้ว ไม่มีสภาพเป็นรัฐบาลแล้ว
แต่ว่า เรื่องนี้จะสมบูรณ์ได้ยุติลงอย่างสมบูรณ์ได้เมื่อบรรดาพี่น้องข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร ได้เห็นประจักษ์และมองทะลุว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและระบอบทักษิณ ไม่มีวันกลับคืนมามีอำนาจโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง เพราะประชาชนไม่ยอม ถ้าพี่้น้องข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ก็ออกมาประกาศตัวให้ชัดเจนเหมือนพี่น้องกระทรวงสาธารณสุข เมื่อทุกกระทรวงประกาศตัว ความเป็นรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็หมดสิ้นทันที วันใดที่ข้าราชการประกาศตัว วันนั้นประชาชนก็จะประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจโดยสมบูรณ์ทันทีในวันนั้นเหมือนกัน นี่คือตอนจบของการต่อสู้ องค์กรทุกองค์กร กลไกของรัฐของรัฐในประเทศนี้ขึ้นอยู่กับประชาชนหมดแล้ว ถึงวันนั้นเราก็จะได้ตั้งรัฐบาลประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศ และจะทำให้เสร็จภายใน 1 ปีกับอีก 6 เดือน หลังจากนั้นก็จะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบและเดินหน้าประเทศต่อไป
เลขาธิการ กปปส. กล่าวด้วยว่า คนที่อยู่ในซีกฝ่ายของระบอบทักษิณ ไม่ยอมเปิดตาดูความเป็นจริง ยกตัวอย่างเฉลิมปรามาสว่าการเดินขบวนของเราในวันนี้อย่างมากก็ไม่เกิน 3 หมื่นคน ถ้าเฉลิมดูอยู่ก็จะบอกว่านายพูดถูก มีประชาชน 3 หมื่นแต่ตกไป เหมือนที่ยิ่งลักษณ์พูด เพราะมันมี 3 หมื่น 1 ล้านคน และเราก็อยากให้นายออกมาพูด เพราะทุกครั้งที่นายพูดเรียกแขกให้เรา นี่่เป็นตัวอย่างของคนทางฝ่ายนั้นที่ไม่เข้าใจว่าพี่น้องประชาชนชาวไทย วันนี้เขามีความคิด คาดหวังกับอนาคตของประเทศไทยอย่างไร คนอย่างเฉลิม ปึ้ง ยิ่งลักษณ์ กิตติรัตน์ ไม่มีวันเข้าใจประชาชน เพราะไม่เคยกอดคอเดินถนนกับใคร  คนพวกนั้นไม่มีวันเข้าใจ ไม่มีวันรู้จักหัวใจของประชาชน สิ่งที่พวกนั้นทำคือใช้เงินเป็นอุปกรณ์ในการผูกพันระหว่างเขากับประชาชน ถึงได้มีนโยบายประชานิยม จ้างคนมาเดินขบวน ถึงได้มีการก่อการร้าย เผาบ้าน เผาเมืองในกรุงเทพฯ ที่สำคัญวันนี้จะไปจ้างประชาชนมาเดินขบวนประชาชนก็ไม่เอาแล้ว เพราะเมื่อก่อนประชาชนคิดว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างพรรคการเมือง แต่มาวันนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองกับพรรคการเมือง เพราะเราทั้งหลายไม่ใช่พรรคการเมือง ไม่ใชนักการเมือง แต่เป็นมวลมหาประชาชนสู้กับทรราช ที่ปล้นทำลายแผ่นดิน จึงไม่มีประชาชนที่ไปร่วมขบวนกับคนพวกนั้น นี่ประกาศชุมนุม 5 เมษายน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกคุณมีได้เท่าไหร่
สุเทพกล่าวด้วยว่า ให้ นปช. ระดมคนมาแข่งกัน จะเลือกวันเดียวกันแต่ถนนคนละสายก็ได้ ดูว่าใครจะมากกว่ากัน  ถ้าพวกเราแพ้ยินดีส่งมอบแผ่นดินให้คุณ แต่ถ้าพวกคุณแพ้ ต้องเลิกทำชั่วกับแผ่นดินนี้ ออกไปโดยดีเราก็พอใจแล้ว แล้วไม่ต้องมาอ้างกฎหมาย เพราะคำประกาศของเราคือ เราเอาพวกคุณออกแน่นอน ไม่มียิ่งลักษณ์นั่งอยู่ในตำแหน่งขวางอยู่ และไม่ต้องมาเพ้อเจ้อว่าจะต้องมีการเลือกตั้ง ให้พวกคุณไปชุบตัว เพราะเราประกาศแล้วว่าปฏิรูปเสร็จเมื่อไหร่ถึงจะมีการเลือกตั้ง ถ้าประกาศอย่างนี้คุณยังไม่ยอมรับและคิดว่าจะจัดมวลชนมาสู้ ก็เอามาสู้กัน แต่ต้องสู้อย่างสันติ อย่างที่พวกเราทำ ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้กลัวอะไร แต่เพราะเรารักสงบ ไม่ใช้วิธีการนอกกฎหมาย  แต่ถ้าคุณอยากจะเล่น ก็มีคนที่พร้อมจะเล่น เชิญมาได้เลย แต่ไม่ใช่พวกเรา ผมมีคนที่คอยต้อนรับ พวกผมจะคอยกลับไปเชียรที่บ้าน ดูว่าพวกคุณจะเหลือกี่คนในที่สุด ติดคุกกี่คน เหลือกี่คน
จากนั้น สุเทพ กล่าวด้วยว่า แน่นอนวันนี้ ไม่ใช่วันเผด็จศึก แต่การที่มวลมหาประชาชนออกมาเป็นล้านๆ คนอย่างนี้  มนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจะต้องรู้ว่าประชาชนเขาเอาจริง และที่บอกว่าเราอ่อนแรงแล้วนั้น วันนี้เห็นชัดว่าถ้าถึงเวลานัดหมายพี่น้องพร้อมออกมาตามนัดหมาย การต่อสู้ด้วยวิธีสันติ อหิงสา ต้องใช้พลังของประชาชนอย่างนี้ และไม่ใช่ครั้งเดียวชนะ การต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา จำเป็นต้องใช้ความมานะพยายาม ความอดทนสูงและต้องใช้ความเสียสละ ผมจึงต้องกราบคารวะทุกท่าน ทุกคืน เพราะ 5 เดือนแล้วที่พี่น้องเสียสละ สมควรแก่การยกย่อง และปรากฎการณ์ที่เราแสดงออกร่วมกันวันนี้ยืนยันได้เลยว่ามวลมหาประชาชนไม่ แพ้แน่นอน และเรียนว่าเราจะต้องเอายิ่งลักษณ์ ชินวัตรออกไปให้ได้ภายในเดือนเมษายนนี้ ต้องจบ ปิดเกมให้ได้ ต้องมีการนัดระดมพลอย่างนี้อีก หนสองหน ผมเรียนให้ทราบในเบื้องต้น
"ขอให้พี่น้องภาคภูมิใจ ปิติ มีความสุขที่วันนี้เราได้กอดคอกัน เคียงบ่าเคียงไหล่กันต่อสู้ และนี่คือพลังของมวลมหาประชาชนเราจะใช้พลังอย่างนี้และเพิ่มพูนขึ้นเมื่อจำ เป็นจนกระทั่งเราสามารถขับไล่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรออกไปเอาอำนาจอธิปไตยคืนนี้ และนับหนึ่งปฎิรูปประเทศไทย นั่นแหละที่เราจะกลับบ้านกันด้วยความสุข ผมขอกราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยความซาบซึ้งใจ ที่เสียสละมาจากทุกภาค แม้แต่ภาคเหนือและภาคอีสานหลายจังหวัดที่มาในวันนี้ ขอให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราทำ หนึ่งเดียวคือแผ่นดินไทย ขอขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงที่ออกมาแสดงพลังต่อสู้ร่วมกันในวันนี้ และเราจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไป" สุเทพกล่าว