ที่มา FB
Yingluck Shinawatra
กราบเรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพ
กรณีคดีโครงการรับจำนำข้าว
ที่ดิฉันถูกกล่าวหาโดยการยื่นคำร้องถอดถอนจากพรรคฝ่ายค้านส่วนหนึ่ง
และอีกส่วนหนึ่งเป็นการกล่าวหาโดยตรงจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ทั้งที่โดยกระบวนการปกติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ควรจะเป็นคนกลางในการพิจารณาคดีคำร้องถอดถอน
และเมื่อคดีนี้มีความพิเศษกว่าปกติ คือ การที่คณะกรรมการ
ป.ป.ช. กลับมาเป็นคู่กรณีเสียเองเช่นนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
จึงมิใช่คนกลางที่จะอำนวยความยุติธรรม ดังนั้น
ในเบื้องต้นดิฉันขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้
1. มาตรฐานของการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติให้ไต่สวนคดีโดยเร็ว
และยึดหลักนิติธรรมนั้น
ใช้กับบุคคลทุกกลุ่มในบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อยู่ในระดับบริหาร
ด้วยกันอย่างเท่าเทียม
หรือมีเงื่อนไขที่จะใช้กับบุคคลหรือคณะบุคคลบางกลุ่มอย่างไม่เท่าเทียมกัน
เท่านั้น ดังจะเห็นได้จากหลายเรื่อง
เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกกล่าวหา จะมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนก่อน
ซึ่งปัจจุบันแต่ละคดีไม่มีความคืบหน้า แต่ประการใด เช่น
คดีสลายการชุมนุมที่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เมื่อปี
พ.ศ.2553หรือคดีทุจริตอื่น ในปี พ.ศ.2553 ก็ไม่ปรากฏว่า
มีความคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วเหมือนคดีของดิฉัน
2. ตามบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่มีต่อดิฉัน ซึ่งใช้เวลาเพียง 21 วัน ในการจัดเตรียมข้อกล่าวซึ่ง
มีมากมายหลายประเด็นที่อ้างว่า
มีการทุจริตและมีความเสียหาย ซึ่งหากคำนึงถึงความเป็นธรรมแล้ว
จำเป็นที่ดิฉันจะได้ใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองเพื่อตรวจสอบว่า
มีพยานหลักฐานใดที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้ในการกล่าวหา
หรือมีข้อสงสัยที่ไม่ชัดเจน เพื่อดิฉันจะได้ชี้แจงได้ถูกต้อง
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ ทำให้สรุปได้ชัดเจนว่า “การตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้
ดิฉันไม่ได้รับการอำนวยความยุติธรรม” ตามสมควร
3. การขอเลื่อนคดีของดิฉัน มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ และการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ไม่ให้ดิฉันเลื่อนคดีมีเหตุผลมากน้อยเพียงใด
ในเรื่องนี้เมื่อตรวจสอบจากบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “โครงการรับจำนำข้าว”
เกิดความเสียหาย โดยดิฉันรับรู้ รับทราบแล้วทำไมไม่ระงับ ยับยั้ง
เพื่อยุติโครงการรับจำนำเสีย
เรื่องที่ดิฉันถูกกล่าวหานี้
มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพยานเอกสาร
และพยานบุคคลจำนวนมากที่ดิฉันต้องรวบรวม
บางรายการต้องสืบค้นจากหลายหน่วยงาน เพื่อหักล้างข้อกล่าวหา
แต่หน่วยงานต่างๆมีระยะเวลาไม่เพียงพอ จึงแจ้งเหตุขัดข้องมาหลายหน่วยงาน
ซึ่งดิฉัน ได้ให้ทนายความนำไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบถึงเหตุขัดข้อง
เพื่อขอเลื่อนคดีสักระยะหนึ่ง ซึ่งจากที่ให้แล้ว 15 วัน และดิฉันขอขยายอีก
45 วันตามที่ได้ร้องขอไป
แต่คำขออำนวยความยุติธรรมดังกล่าว
แม้สักวันเดียวยังไม่ได้รับ ทั้งๆที่ฝ่ายกรรมการ ป.ป.ช.
ที่ถือเป็นคู่กรณีอ้างว่า ได้ใช้เวลาตรวจสอบเรื่องของดิฉันมาปีเศษแล้ว
ทั้งๆ ที่คณะกรรมการ ปปช. ชุดใหญ่ มีมติภายใน 21 วันเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา
แต่เมื่อดิฉันจะใช้เวลาตามสมควรบ้าง
กลับถูกปฏิเสธความยุติธรรมจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ไต่สวน
ดิฉันเห็นว่า คดีนี้เมื่อตัวดิฉันมีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรี
การถูกดำเนินคดีเป็นเรื่องที่สาธารณะชนทั่วไปควรต้องการรับรู้และถือเป็น
ประโยชน์ต่อสาธารณะที่จะรับรู้ทั้งฝ่ายดิฉัน และเหตุผลของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ซึ่งเสมือนมิใช่คนกลางไต่สวนพิจารณาคดี
หากแต่ถือเป็นคู่กรณีที่กล่าวหาดิฉันด้วยว่า
ระหว่างการไต่สวนพิจารณาคดีของกรรมการ ป.ป.ช.
ผู้ไต่สวนกับดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
มีการปฏิบัติต่อกันในการดำเนินคดีโดยถูกต้อง เที่ยงธรรมหรือไม่
มิใช่มีเจตนามากล่าวหาต่อกันว่าใครผิดใครถูก ซึ่งไม่ถูกต้อง
และกรณีของดิฉันคงเป็นบทเรียนของการใช้อำนาจของแต่ละฝ่ายว่า
เป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือไม่
แต่กรรมการ ป.ป.ช. กลับชี้แจงโดยกล่าวหาดิฉันว่า
เป็นเพราะดิฉันไม่มารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเองซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ยาก เพราะการรับทราบข้อกล่าวหา
ดิฉันตรวจสอบจากบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาที่เป็นลายลักษณ์อักษรได้อยู่แล้ว
เอกสารหลายรายการที่นำไปใช้กล่าวอ้าง
และพาดพิงดิฉันรวมถึงบทสัมภาษณ์ ในหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจของ นายวิชา
มหาคุณ ที่อ้างว่าดิฉันต้องรับผิดนั้น ทำไมไม่ให้ดิฉันตรวจพยานหลักฐานก่อน
เพื่อให้ดิฉันได้มีโอกาสชี้แจงให้ถูกต้องและตรงประเด็น แต่กลับอ้างว่า
ไม่สามารถให้ดูเอกสารหลักฐานได้เนื่องจากเป็นเอกสารสำคัญกลัวจะเสียรูปคดี
ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของดิฉันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิคุ้ม
ครอง ซึ่งดิฉันได้รับเอกสารแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งแรก 49 แผ่น
และในภายหลังเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาได้รับเอกสารเพิ่มเติมอีก 280 แผ่น
ซึ่งนั่นหมายความว่า ดิฉันจะต้องแก้ข้อกล่าวหาหลังได้รับเอกสารทั้ง 280
แผ่นนั้นภายในเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
Unofficial Translation
In consideration of the fact that the allegations made
against me by both the opposition party and the NACC regarding the Rice
Pledging Scheme, even though according to the Constitution the members
of the NACC have the duty to act objectively when considering such a
case, and given that the members of the NACC by implication (as a party
which has made said allegations) can no longer act impartially while
ruling on this case, I wish to submit the following observations:
1. As it is set forth in the Constitution, the
stipulation that proceeding with investigations of this kind must be
based on the rule of law and without any unnecessary delay applies to
every group, including for those who hold the position of political
executive, unless specified due to special circumstances. Thus when
considering other cases in the past when past political executive have
been accused, there has normally been the established of investigative
sub-committees first before hearings. However progress has not been made
in any of the cases made against the previous government: such as the
case for causing causalities and injuries to citizens while dispersing
protests in 2010, as well as other corruption cases that were filed
against the government that same year.
2. According to the accusations that have been filed
against me, which have only taken 21 days to prepare and file (including
a substantial number of corruption allegations which require detailed
evidence and supportive data), and given that it is a Constitutional
right for those being accused to be treated fairly and given equal
access to examine the evidence used against them, which in the end
serves only to add credibility to the evidence used by prosecuting party
or in this case the NACC; I have no alternative but to conclude that as
far as the examination of evidence and witness in this case is
concerned, I have not been treated equitably or received any justice.
3. On the charges of negligence of duty in the rice
pledging scheme that I have been accused of, there are a large number of
witnesses and documents that need to be collected from many different
agencies. These documents and witnesses are vital for my defense of the
case. However, the agencies that I need to acquire the documents could
not produce and release the documents in time. Therefore, I asked my
lawyers to liaise with the NACC to request for the postponement of the
date in which I have to defend the case for another 45 days in addition
to the 15 days that have been given.
But my request for the postponement was rejected by the
NACC and not even one day extension was given, on the other hand the
NACC claimed that it had over a year to examine the documents to press
ahead with the charges against me. It seems to me like a denial of
justice by the NACC.
As I am the Prime Minister, the public will need to be
fully informed of all details of the legal case related to me. The
public will also need to be informed of evidence and substance of both
sides. The NACC, which is not the intermediary to the case, but the NACC
and I are in fact the opposing parties in this case. Therefore, the
case should proceed in a fair manner and according to due process,
whereby each of the parties should refrain from accusing other parties
of wrongdoing out of the boundaries of legal procedure. It would be a
good example whether the stakeholders conduct their act in accordance to
the rule of law and due process.
The NACC also suggested that by not attending the
hearing of the legal charges in person, it is not possible for me to
understand the details of the case. This is incorrect as I can examine
the accusation through the written documents.
The documents that were used to file accusations
against myself also included the interview by Mr. Vicha Mahakhun, given
to the Than Sethakit newspaper, which mentioned that I have to take the
responsibility in the rice pledging scheme. I should have been given
access to necessary documents so that I can be able to present my side
of the case more accurately. The NACC denied my request, suggesting that
it is an important document and could affect the legal procedure. This
should be seen as infringing my basic rights of a Thai citizen as
stipulated in the constitution. The documents that I was initially given
was only 49 pages long and last Thursday I was given additional 280
pages. This means that I will only have 3 days to examine the additional
280 pages before I must defend my case on Monday.
ooo
เรื่องเกี่ยวข้อง...https://www.youtube.com/watch?v=CNaZwEUNzMw#t=86
ภาพ Thaifreenews.net |
ยุติธรรมที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
กรณีพิจารณาคดีประกันราคาข้าวรัฐบาลอภิสิทธิ์
"นายวิชา กล่าวต่อว่า กรณีทุจริตโครงการระบายข้าว เมื่อปี 2552 นั้น
เป็นกรณีกล่าวหาว่าทุจริตในการระบายข้าว
และมีกรณีร้องขอให้ถอดถอน นางพรทิวา นาคาศัย
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กรณีเดียวกัน
โดยมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดการไต่สวนจึงล่าช้ากว่าปกติ
ขอเรียนชี้แจงว่า ทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ซึ่งเป็นองค์คณะไต่สวนคดีดังกล่าวนั้น
ได้มีการดำเนินการไต่สวนต่อเนื่องตลอดมา
เป็นกรณีฮั้วประมูลมีเอกสารประกอบเป็นจำนวนมาก
และมีอุปสรรคในการดำเนินการ เนื่องจากไม่สามารถนำเอกสารสำคัญ
ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาได้
เพราะบุคคลที่ครอบครองเอกสารปฏิเสธอ้างว่าไม่มีเอกสาร
เนื่องจากถูกน้ำท่วม แม้แต่ส่วนราชการ ก็ไม่ยอมมอบเอกสาร
อ้างว่า มีการขนย้ายตอนน้ำท่วมไม่สามารถหาเอกสารได้
จนครั้งหลังสุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557
ได้เตือนไปอีกครั้งไม่ว่า จะเป็นกรมการค้าต่างประเทศ
อคส.และ อ.ต.ก.แต่ยังไม่ได้รับเอกสารดังกล่าวจนกระทั่งบัดนี้ "
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น