นักวิชาการ มองว่า ชนชั้นนำกังวลอำนาจของตนจะตกอยู่ในมือประชาชน
จึงหันมาใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือขัดขวางแนวทางประชาธิปไตย
ทำให้ประเทศเสี่ยงที่จะเกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง
ในงานเสวนา Thailand if only ครั้งที่ 2 หัวข้อ "องค์กร (ไม่) อิสระ
นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
มหาวิทยาลัยเกียวโต ระบุสถาบันสำคัญของประเทศพยายามสวนกระแสประชาธิปไตย
และสนับสนุนแนวทางรัฐประหาร ทั้งที่หลายประเทศใกล้เคียง เช่น อินโดนีเซีย
เมียนมาร์ พัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยแล้ว
แต่ขณะนี้ประชาชนเข้าใจบริบท การเมืองไทยมากขึ้นกว่าในอดีต
โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ฝ่ายตรงข้ามประชาธิปไตย
จึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ปกป้องอำนาจของตัวเอง
และหันไปใช้กระบวนการตุลาการล้มล้างรัฐบาล
นาย ปวิน ยังมองว่าฝ่ายตรงข้ามประชาธิปไตย
จะไม่ปล่อยให้การเลือกตั้งเกิดขึ้น
เพราะทำให้เกิดพลังประชาธิปไตยที่ควบคุมยาก
ขณะที่กองทัพไม่สามารถเป็นคนกลางแก้ความขัดแย้งได้
เพราะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549
และกรณีสังหารคนเสื้อแดงปี 2553 ซึ่งหากทำเช่นเดิมอีก
ทุกอย่างจะกลับมาทำร้ายกองทัพเอง
รวมทั้งยังมีความเห็นต่างเรื่องการรัฐประหารในวงของกองทัพ
และกลุ่มต่อต้านรัฐบาล
ด้านนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์
มองว่าชนชั้นนำไม่มั่นใจว่ากองทัพจะเข้าข้างอย่างเต็มที่
อีกทั้งพลังของฝ่ายตรงข้ามประชาธิปไตยอยู่ในภาวะขาลง
ไม่ได้รับความศรัทธาเหมือนในอดีต จนอาจกลายเป็นชนชั้นนำรุ่นสุดท้าย
จึงต้องดิ้นรนอย่างรุนแรง พยายามขัดขวางการเลือกตั้ง ทั้งที่เป็นทางออก
และใช้กลไกองค์กรอิสระทำให้รัฐบาลขยับตัวไม่ได้
ขณะ ที่นายเอกชัย ไชยนุวัติ รองคณะบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
เห็นว่า ฝ่ายตรงข้ามประชาธิปไตยมองการเลือกตั้งเป็นศัตรู
จึงต้องอาศัยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญขัดขวางไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง
ส่วน การมีนายกรัฐมนตรีคนกลาง ตามมาตรา 7 ในรัฐธรรมนูญ นักวิชาการทั้ง 3
คนเห็นตรงกันว่าไม่มีหนทางที่จะทำได้ พร้อมตั้งข้อสังเกตท่าทีของนายสุเทพ
เทือกสุบรรณ ที่ดูมั่นใจกับการเสนอนายกรัฐมนตรีมาตรา 7
เพราะอาจได้รับสัญญาณบางอย่าง
และเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีรากฐานมาจากการเปลี่ยนผ่านอำนาจ
ซึ่งควรจับมือเปลี่ยนผ่านไปตามกรอบกฎหมาย ไม่เช่นนั้นประชาชนจะไม่ยอมรับ
และเกิดความแตกแยกกว่าเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น