คำชี้ชวนวิงวอน
ภิกษุทั้งหลาย โยคกรรม อันเธอพึงกระทำ เพื่อให้รู้ว่า
“นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์
นี้ความดับสนิทแห่งทุกข์
นี้ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์”
นิพพาน เราได้แสดงแล้ว,
ทางให้ถึงนิพพาน เราก็ได้แสดงแล้ว
แก่เธอทั้งหลาย.
กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู
แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
โดยอาศัยความเอ็นดูแล้ว
จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย,
กิจนั้น เราได้กระทำแล้วแก่พวกเธอ.
นั่น โคนไม้; นั่น เรือนว่าง.
พวกเธอจงเพียรเผากิเลส,
อย่าได้ประมาท,
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ
ในภายหลังเลย.
นี่แหละ วาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา
แก่เธอทั้งหลาย.
มหาวาร. สํ. ๑๑/๔๑๓/๑๖๕๔.
สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๒/๗๔
การสาธยายธรรม
ที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น
...ภิกษุทั้งหลาย ! ข้ออื่นยังมีอีก
:
พระศาสดา หรือเพื่อนสพรหมจารี
ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นครู
รูปใดรูปหนึ่ง
ก็มิได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ;
และเธอนั้น
ก็มิได้แสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดาร
ตามที่เธอได้ฟังมา ได้เล่าเรียนมา
แต่เธอ กระทำการท่องบ่นซึ่งธรรม
โดยพิสดาร
ตามที่ตนฟังมา เล่าเรียนมา อยู่.
เธอย่อมเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ
รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม ในธรรมนั้น
ตามที่เธอ ทำการท่องบ่นซึ่งธรรม
โดยพิสดาร
ตามที่ได้ฟังมา เล่าเรียนมาอย่างไร
เมื่อเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งอรรถ
รู้พร้อมเฉพาะซึ่งธรรม,
ปราโมทย์ ย่อมเกิดขึ้นแก่เธอนั้น;
เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด;
เมื่อใจปีติ กายย่อมรำงับ;
ผู้มีกายรำงับแล้ว ย่อมเสวยสุข;
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น.
ภิกษุทั้งหลาย !
นี้คือ
ธรรมเป็นเครื่องให้ถึงวิมุตติ ข้อที่สาม,
ซึ่งในธรรมนั้น
เมื่อภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรเผากิเลส มีตนส่งไปแล้ว
อยู่,
จิตที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น
อาสวะที่ยังไม่สิ้นรอบ
ย่อมถึงซึ่งความสิ้นรอบ
หรือว่าเธอย่อมบรรลุตามลำดับ
ซึ่งความเกษมจากโยคะอันไม่มีอื่นยิ่งกว่า
ที่ตนยังไม่บรรลุตามลำดับ.
ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๓/๒๖.
อานนท์! บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า,
เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน
และไม่รู้ชัด ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ
แห่งความเป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล,
เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ,
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ของเขาตามความเป็นจริง
บุคคลนั้น ไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง
ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต
ไม่แทงตลอดแม้ด้วยความเห็น
ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย
เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม
ไม่ไปทางเจริญ
ย่อมถึงความเสื่อม
ไม่ถึงความเจริญ...
อานนท์! ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล, เป็นผู้มีราคะกล้า,
เป็นผู้มักโกรธ, เป็นผู้ฟุ้งซ่าน
แต่รู้ชัด
ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ
แห่งความเป็นผู้ทุศีล, เป็นผู้มีศีล,
เป็นผู้มีราคะกล้า, เป็นผู้มักโกรธ,
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ของเขาตามความเป็นจริง
บุคคลนั้น กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง
กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต
แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยความเห็น
ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย
เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ
ไม่ไปทางเสื่อม
ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว
ไม่ถึงความเสื่อม ...
เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้
ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้
นอกจากตถาคต
อานนท์ ! เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลาย
อย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล
และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล
เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน
เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้
... .
-บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๑๔๗/๗๕
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน
อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ
ธรรมเหล่านั้น เป็นธรรมอันภิกษุนั้นฟังเนืองๆ
คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี
ด้วยความเห็น
เธอมีสติหลงลืม เมื่อกระทำกาละ
ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง
บทแห่งธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่เธอ
ผู้มีความสุขในภพนั้น
สติบังเกิดขึ้นช้า
แต่สัตว์นั้น
ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน... .
-บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๕๑/๑๙๑.
09 - คำชี้ชวนวิงวอน mp3
09 - คำชี้ชวนวิงวอน mp3 พุทธวจน ฉบับ ๑๐ สาธยายธรรม วัดนาป่าพง ฟัง และ DOWNLOAD (MP3) http://watnapp.com/audio/view_categor...
สำหรับผู้ประสงค์การสาธยายธรรม (สชฺฌาย) คำที่ตรัสจากพระโอษฐ์ ของตถาคตนั้นเป็นสิ่งที่สมควรต่อการสาธยายได้ทั้งหมด
แต่บท ที่พระองค์สาธยายด้วยพระองค์เองเมื่ออยู่วิเวกหลีกเร้นผู้เดียวนั้นคือ
อิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปบาท
อิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปบาท
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๘๕/๑๕๙.
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมกระทำไว้ในใจ
โดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทานปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย
ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ โทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว
จึงมีความดับแห่งสังขาร
เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป
เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา
เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา
เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะ
โทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงดับสิ้น
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้
ขอนอบน้อมแด่
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
พระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ประตูนครแห่งความไม่ตาย
ตถาคตเปิดโล่งไว้แล้ว
เพื่อสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงถิ่นอันเกษม.
กระแสแห่งมารผู้มีบาป
ตถาคตปิดกั้นเสียแล้ว กำจัดเสียแล้ว
ทำให้หมดพิษสงแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มากมูนด้วยปราโมทย์
ปรารถนาธรรมอันเกษมจากโยคะเถิด.
- บาลี ม. ม. ๑๓/๔๖๔/๕๑๑