"เรา
ทุกคน สามารถเป็นผู้ให้ด้วยทำสิ่งดีๆ
ที่เราอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ผู้รับนั้น
อาจจะเห็นว่า มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากมายมหาศาลเสียจริงๆ"
(อ้างอิง: The last cab ride - http://academictips.org/blogs/the-last-cab-ride/)
บันทึกจากเรื่องจริงโดย คุณเค้นท์ เนอร์เบอร์น (Kent Nerburn)
เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ผมทำงานหาเลี้ยงอาชีพตนเองด้วยการเป็นคนขับรถแท็กซี่
มีอยู่ในกลางดึกครั้งหนึ่ง
ที่ผมจะต้องไปรับผู้โดยสารในตึกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในที่เปล่าเปลี่ยวมืด
มาก
นอกเสียจากแสงไฟดวงเดียวที่เห็นส่องสว่างออกมาจากหน้าต่างในห้องที่อยู่ชั้น
แรกเท่านั้นเอง
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้
ผู้ขับรถแท็กซึ่หลายท่านก็คงจะเพียงบีบแตรอยู่เพียงครั้งเดียวหรืออย่างมาก
ก็สองครั้ง รอจอดอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขับรถออกไป
แต่ผมได้เห็นผู้คนที่มีความเป็นอยู่อย่างอนาถาจำนวนนับไม่ถ้วน
ที่ต้องพึ่งบริการรถแท๊กซี่
เพราะมันเป็นหนทางเดียวของพวกเขาที่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้
ผมจะไปรออยู่ที่หน้าประตูบ้านของลูกค้าเสมอ นอกเสียจากว่า
สถานการณ์ที่อยู่นั้น มันส่งกลิ่นอันตรายโชยออกมาให้รู้สึก
ผู้โดยสารคนนี้อาจจะเป็นใครบางคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากผม
และผมก็ต้องให้เหตุผลกับตัวเอง ดังนั้น
ผมก็เลยเดินตรงไปยังประตูและเคาะประตูเพื่อที่จะเรียกลูกค้า
"รอสักครู่นะ" เสียงตอบที่ออกมาอย่างแผ่วเบาจากคนสูงอายุ
ผมสามารถได้ยินบางสิ่งบางอย่างถูกลากอยู่บนพื้นห้อง
หลังจากที่หยุดเงียบอยู่นานชั่วขณะหนึ่ง ประตูหน้าบ้านก็เปิดออกมา
ผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่งซึ่งอยู่ในวัยประมาณ 80 ปีก็ยืนอยู่ข้างหน้าผม
เธอสวมชุดเดรส (Print Dress) และใส่หมวกทรงกลมไม่มีปีก (Pillbox hat)
พร้อมกับผ้าคลุมหน้า (Veil) ติดอยู่กับหมวก
ซึ่งดูแล้วก็เหมือนใครบางคนที่เคยเห็นจากภาพยนต์เก่าๆ ในราวๆ ปี 2483-2493
และเธอมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ
ที่ทำจากผ้าไนล่อนอยู่เคียงข้างตัวเธออยู่ใบหนึ่ง
อพาทเม้นท์ที่เธออยู่นั้น ดูเหมือนกับว่า
ไม่เคยมีใครเคยเข้ามาอยู่ที่นั่นเลยเป็นเวลานับปี เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด
ก็ถูกคลุมด้วยผ้าบางผืนใหญ่ ไม่มีนาฬิกาใดๆ ประดับอยู่บนกำแพง
ไม่มีของกระจุ๋มกระจิ๋ม (knickknacks) หรือเครื่องใช้ไม้สอย (Utensils)
อยู่บนเค้าเตอร์เลย
ส่วนในมุมห้องก็มีกล่องกระดาษแข็งใบหนึ่งซึ่งบรรจุไปด้วยรูปภาพและเครื่อง
แก้ว (Glassware)
"ขอความกรุณาให้คุณช่วยยกกระเป๋าของฉันไปยังที่รถได้ไหม?"
เธอขอร้องกล่าวขึ้นมา ผมนำเอากระเป๋าเดินทางของเธอเข้ามาอยู่ในรถแท็กซึ่
และจากนัั้น ก็เดินกลับไปช่วยเหลือพยุงเธอเดินออกมา
เธอรับแขนของผมและเราก็เดินออกมาช้าๆ อยู่ตรงขอบถนนนั้น
เธอพูดขอบคุณให้กับผมหลายครั้งในความมีน้ำใจของผม
"มันไม่เป็นไรเลย" ผมบอกเธอ
"ผมเพียงแต่พยายามจะปฎิบัติเรื่องนี้ให้กับผู้โดยสาร
เหมือนกับที่ผมต้องการที่จะปฎิบัติอย่างเดียวกันให้กับแม่ของผมเอง"
"โอ้.. เธอเป็นเด็กดีมากทีเดียว" เธอกล่าวขึ้น
เมื่อเราขึ้นมาอยู่ในรถแท็กซี่เรียบร้อย
เธอก็ส่งที่อยู่ของจุดหมายปลายทางให้กับผม จากนั้น ก็ถามขึ้นมาว่า
"คุณช่วยขับรถผ่านเข้าไปในเมืองหน่อยได้ไหม?"
"แต่นั่นไม่ใช่หนทางที่ใกล้ที่สุดนะครับ" ผมตอบเธออย่างทันที
"เอ้อ.. ฉันไม่ว่าหรอก" เธอกล่าว "ฉันไม่รีบร้อนอะไรนักหนา ฉันกำลังมุ่งหน้าไปสู่สถานพักฟื้นเท่านั้นเอง"
ผมมองไปที่กระจกหลัง และก็เห็นดวงตาของเธอที่กำลังเปล่งประกายออกมา
"ฉันไม่มีพี่น้องคนใดเหลืออยู่อีกแล้วในโลกนี้" เธอยังคงพูดต่อ "หมอก็บอกว่า ฉันเองก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก"
ผมเอื้อมมืออย่างเบาที่สุดเพื่อไปปิดปุ่มเพื่อหยุดไม่ให้มิเตอร์วิ่งต่อไป "ถนนทางไหนที่คุณต้องการให้ผมขับไปครับ?" ผมถามเธอขึ้นมา
ภายในระยะเวลาสองชั่วโมง
เราได้ขับตระเวนผ่านเข้าไปในเมืองใหญ่ เธอแสดงให้ผมเห็นตัวตึกที่ครั้งหนึ่ง
เธอเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมลิฟท์อยู่
เราขับผ่านไปยังบริเวณเขตที่เธอกับสามีของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเมื่อ
ครั้งที่ทั้งสองยังสมรสกันอยู่ใหม่ๆ
เธอบอกให้ผมขับไปจอดอยู่ตรงหน้าโรงเก็บสินค้าเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่ง
ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นโรงเวทีลีลาศที่เธอเคยไปเต้นรำที่นั่นเมื่อสมัยตอนที่เธอ
ยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ
บางครั้ง เธอขอร้องให้ผมลดความเร็วลง
เมื่ออยู่ตรงหน้าตึกๆ หนึ่งอย่างเป็นเรื่องพิเศษเฉพาะตัว
หรือไม่ก็ไปอยู่ที่มุมถนนแห่งหนึ่ง
และเธอก็นั่งจ้องเพ่งดูเข้าไปในความมืดโดยไม่ได้กล่าวคำพูดใดๆ
ออกมาแม้แต่สักคำเดียว
และเมื่อตะวันเริ่มส่องแสงรางๆ อย่างสลัวๆ ออกมาช้าๆ
อยู่ตรงขอบฟ้า เธอก็กล่าวอย่างทันทีทันใดว่า "ฉันเหนื่อยมากแล้ว
เราควรจที่จะตรงไปสู่จุดหมายกันเสียทีเถอะ"
เราขับรถในความเงียบสงัดมายังที่อยู่ซึ่งเธอได้มอบไว้ให้กับผม...
มันเป็นตึกที่ไม่สูงนัก เหมือนกับบ้านเล็กๆ
ของผู้ที่ต้องการพักฟื้น มีถนนผ่านเข้าไปที่อยู่ใต้หลังคาทางเดิน
ผู้ปฎิบัติงานสองคนเดินตรงเข้ามาที่หน้ารถแท็กซี่่อย่างรวดเร็วเมื่อตอนที่
เราเข้ามาเตรียมจอดรถ
พวกเขาดูร้อนรนและมีเจตจำนงที่ทำการให้ถูกต้องทุกอย่างโดยเฝ้ามองเธออยู่ทุก
ฝีก้าว พวกเขาก็คงรอเธออยู่เช่นกัน
ผมเปิดกระโปรงหลังรถและนำเอากระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ
หิ้วออกมาวางไว้ตรงหน้าประตู
ผู้หญิงคนนั้นก็นั่งอยู่ในรถเข็นเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว
"ฉันติดหนึ้คุณอยู่เท่าไร?" เธอถาม และเอามือไปล้วงกระเป๋าใส่เงินของเธอ
"ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยครับ" ผมกล่าว
"แต่คุณจะต้องหาเงินเลี้ยงชีวิตของคุณนะ" เธอแย้งตอบขึ้นมา
"แต่ก็ยังมีผู้โดยสารอื่นๆ ตามมาเช่นกัน"
และโดยไม่ต้องคิดอะไรในตอนนั้นเลย ผมก็ก้มต้วลงและสวมกอดให้กับเธอครั้งหนึ่ง เธอกอดตัวผมอยู่อย่างแน่นเลยทีเดียว
"เธอให้ความสุขอันแสนปิติในช่วงเวลาเล็กๆ กับผู้หญิงแก่ๆ
คนหนึ่งเชียวนะ รู้หรือเปล่าเนี่ย..." เธอกล่าว
"ขอบใจเธอเป็นอย่างมากทีเดียว"
ผมบีบมือของเธอ
จากนั้นก็เดินออกไปสู่แสงเรือนรองยามรุ่งอรุณ และข้างหลังของผมนั้น
ประตูก็ปิดสนิทไปแล้ว มันเป็นเสียงของการปิดฉากของชีวิตหนึ่งลงไป
ผมไม่ได้รับผู้โดยสารคนใดอีกตลอดเวลาการทำงานในกะนั้น
ผมขับรถเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย และพะวงหลงวุ่นอยู่ในความคิด
และตลอดเวลาที่เหลืออยู่ของวันนั้น ผมก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำหนึ่ง
ถ้าผู้หญิงชราคนนั้น ได้มาพบกับคนขับรถแท๊กซี่ที่มีอารมณ์ร้อนแรงหรือ
พบกับใครคนใดคนหนึ่งที่ใจร้อนเพื่อที่จะให้หมดกะเวลางานของเขาล่ะ?
หรือว่าถ้าผมปฎิเสธที่จะไปรับเธอ หรือเพียงแต่บีบแตรเพียงครั้งเดียว
ก่อนที่จะขับรถออกไปล่ะ? ในการทบทวนความทรงจำอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้คิดว่า
ผมได้ทำสิ่งใดๆ ที่สำคัญมากกว่าที่เห็นในชีวิตผมเลย
เราอยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องคิดกันว่า ชีวิตของเราหมุนโคจรอยู่รอบๆ
ช่วงเวลาอันสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ และบ่อยครั้งที่
ช่วงเวลาอันสำคัญอย่างยิ่งใหญ่นี้
ก็เข้ามาพบกับเราโดยไม่ทันรู้ตัวมาก่อนหน้า
--เหมือนกับมันได้ถูกหุ้มห่อส่งมาให้ ซึ่งคนอื่นๆ
อาจจะเพียงแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กอันน้อยนิดเท่านั้นเอง
********************************
ความคิดเห็นของผู้แปล:
(เชิญ Tag หรือ Share บทความนี้ได้ตามสบายค่ะ)
อยากจะหาบทความซึ้งๆ ดีๆ มาให้อ่านกันเป็นอุทาหรณ์ เนื่องในวันขึ้นปีใหม่
เมื่อได้อ่านบทความเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลกกว่า
ที่เคยแปลมาก่อน และก็ชอบมันเสียด้วย ดิฉันเลยตัดสินใจแปลมาให้เพื่อนๆ
ได้อ่าน ในยามที่เรามีวิกฤตการณ์อันร้อนแรงภายในประเทศ
และเพื่อเป็นเรื่องให้ขบคิดกัน
เราทุกคน สามารถเป็นผู้ให้ด้วยทำสิ่งดีๆ
ที่เราอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ผู้รับนั้น
อาจจะเห็นว่า มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากมายมหาศาลเสียจริงๆ
และผู้รับก็จะจำเรื่องที่ผู้ให้มอบไว้ อย่างประทับใจเช่นกัน
สิ่งนั้นคือ น้ำใจกับความเมตตา และความรู้สึกที่มีให้กับผู้อื่นว่า เขาเป็นมนุษย์ปุถุชนเช่นเดียวกับเราเท่านั้นเอง
เราทุกคนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับคนทุกคนในชีวิตได้...
Everyone can make a difference and everyday is a chance to do so because everyone should try ..
ในช่วงชีวิตหนึ่ง เราอาจจะได้เห็นสิ่งดีๆ
ที่เป็นความเมตตาจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เข้ามาประกอบในส่วนที่เราคิดว่า
มันเลวไปหมดทุกอย่าง บางทีสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ
อาจจะนำความชุ่มชื้นมาให้กับหัวใจของเรา ซึ่งหมายความว่า โลกใบนี้
มันก็ยังมีสิ่งที่น่าชื่นชม และเป็นพลังให้เราอยู่สู้ต่อไปในชีวิต
********************************
ขออาราธนาคุณพระและสิ่งประเสริฐสุขในสากลโลก
จงช่วยบันดาลให้ท่านผู้อ่านและครอบครัว ประสบความสุข สดชื่น สมหวัง
และสัมฤทธิ์ผลดังที่ปรารถนาไว้ คิดสิ่งใด ขอให้สมประสงค์ดั่งใจหมาย
พบความสุขและความเจริญตลอดไป
"May you achieve all your aspirations...
May you have a brilliant Year...
Let the next twelve months be the most amazing days that one each have...
May your dreams be turned into reality and your happiness know no bounds....
May you have a year, that is filled with love, laughter, brightness and hope....
Have a lovely, Wonderful and Happy New Year 2014 ... "
สุขสันต์วันปีใหม่ พ.ศ. 2557 ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น