ที่มา
ประชาไท
Thu, 2013-10-31 11:29
30 ต.ค.2556 ที่โรงแรมหลุยส์ แทเวิร์น เครือข่ายเฝ้าระวัง
พิทักษ์และปกป้องสถาบัน มีการจัดประชุมสมาชิกเครือข่าย โดยมีผู้เข้าร่วมราว
200-300 คน ภายในงานมีการพูดถึงขบวนการล้มสถาบัน
และมีการเปิดฉายคลิปบางส่วนของละครเวที “เจ้าสาวหมาป่า”
ที่จัดแสดงในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา
ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยผู้ดำเนินรายการชี้ว่าอาจมีการหมิ่นสถาบันผ่านละครดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีการนัดแนะเครือข่ายฯ
ให้นำคลิปละครดังกล่าวเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่ที่อยู่อาศัยใน
ความผิดมาตรา 112 ในวันที่ 1 พ.ย.นี้
โดยจะมีการแจกคลิปภายหลังงานสำหรับผู้ที่สนใจเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการ
ดำเนินคดี ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 52 คนได้ลงชื่อแสดงความสนใจ
นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากเครือข่ายจากจังหวัดอยุธยาได้ร่วมแลกเปลี่ยนถึง
ความยากลำบากในการแจ้งความคดีมาตรา 112
ซึ่งพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมักไม่รับแจ้งความ
แม้แต่อัยการหรือสภาทนายความประจำจังหวัดก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผศ.ยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
กล่าวว่า กรณีนี้ควรแจ้งความเอาผิดกับผู้แสดง, ผู้แต่งบทละคร,
ผู้จัดงานและผู้เผยแพร่
โดยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องไปหารายชื่อบุคคลเหล่านี้
หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความให้ผู้แจ้งยืนยันให้ตำรวจทำบันทึกเหตุผล
การไม่รับแจ้งความเป็นลายลักษณ์อักษร
อีกทั้งในการแจ้งความควรรวบรวมรายชื่อจำนวนมากเพื่อแสดงพลังมวลชน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากมาตรการทางกฎหมายในการแจ้งความทุกภูมิภาคแล้ว
ควรมีมาตรการเชิงรุกในการลงโทษทางสังคมกับผู้กระทำผิดด้วย
รศ.กิจบดี ก้องเบญจภุช รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า
ผู้ที่ยุ่งกับสถาบันกษัตริย์ไม่เคยมีใครได้ดี ปรีดี พนมยงค์
ต้องลี้ภัยทางการเมืองไปเสียชีวิตที่รั่งเศส จอมพล
ป.พิบูลสงครามก็เสียชีวิตในต่างประเทศเช่นกัน
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความยุติธรรมนั้นหมดไป
การเมืองกลายเป็นการเล่นพรรคเล่นพวก ไม่มีใครที่เคารพความสุจริต ดังนั้น
ในการจัดการกับกระบวนการทำลายสถาบัน
เราจึงควรแจ้งความเพราะเรื่องนี้เป็นอาญแผ่นดิน
เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว หากไม่ดำเนินการก็สามารถใช้มาตรา 157
เอาผิดเจ้าหนาที่ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า
กมธ. วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์
สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบการจัดงานรำลึก 40
ปี 14 ตุลาฯ จัดโดยคณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์
ซึ่งมีนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ในฐานะที่ปรึกษารมว.ต่างประเทศเป็นประธาน
ทั้งในส่วนของการจัดทำหนังสือ “ย้ำยุค รุกสมัย” และละครเวที
“เจ้าสาวหมาป่า” การแสดงงิ้วการเมือง ลิเกการเมือง
การแสดงละครเวทีนั้นเป็นการล้อเลียนพระเจ้าอยู่หัวและบิดเบือนข้อเท็จจริง
ว่าพระองค์เกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนของสปอนเซอร์การจัดงานไม่ว่าจะเป็น
กฟผ.ปตท.ธกส.กรมส่งเสริมการปกครองฯ ทาง กมธ.ได้เรียกมาชี้แจงแล้วพบว่า
มีการสนับสนุนเงินทุนตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท
โดยที่ไม่รู้เห็นกับเนื้อหาของงาน
สมชายยังระบุเนื้อหาสำคัญในหนังสือย้ำยุคฯ
ด้วยว่ามีบทกวีและบทความจากนักวิชาการหลายคนที่มีเนื้อหาสอดรับกับการจัดงาน
ซึ่งกำลังศึกษาว่าจะสามารถดำเนินคดีกับส่วนใดได้บ้าง
สำหรับเครื่องมือในการดำเนินงานของเครือข่ายฯ นั้น สมชายเห็นว่า
ต้องช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลที่ดี
ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสังคมทั้งในลักษณะปากต่อปาก ทางเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์
และวิทยุชุมชน เพราะวิทยุชุมชนก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ข้อมูลผิดๆ
เช่น การสร้างละครไม่น้อยกว่า 170 ตอนเผยแพร่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด
“คนส่วนหนึ่งอยากเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ อะไรที่เป็นอุปสรรคเขาก็เอาออก ไม่ว่าจะเป็น ส.ว.สรรหา ข้าราชการ หรือกระทั่งสถาบัน”
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหนัาศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ
ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) กล่าวว่า การทำลายสถาบันมี 2
สาเหตุหลัก คือ นักการเมืองสามารถซื้อได้ทุกอย่าง
แต่ยังซื้อความจงรักภักดีจากทหารและศาลไม่ได้
เพราะทั้งสองสถาบันผูกพันอยู่กับสถาบันกษัตริย์
2.ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน
ทุกประเทศอิจฉาและไม่ต้องการให้ไทยอยู่ในภาวะสงบสุข
จึงร่วมสนับสนุนการบ่อนทำลายศูนย์กลางของประเทศ
ประกอบกับบทบาทของสหรัฐอเมริกาที่เห็นว่า
การที่คนไทยรักคนคนเดียวเป็นเรื่องขัดหลักประชาธิปไตย
จึงร่วมสนับสนุนให้มีการยกเลิกมาตรา 112
ส่วนเหตุผลที่ต้องมีมาตรา 112 พล.ท.นันทเดช
ระบุว่าเนื่องจากประมุขทุกประเทศต้องได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ,
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มีสถานะศักดิ์สิทธิ์,
พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเป็นวิถีชีวิตของคนไทย,
พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเป็นคดี ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัว,
พระมหากษัติย์เป็นความมั่นคงของชาติ
พล.ท.นันเดชกล่าวอีกว่า การดูหมิ่นสถาบันเกิดขึ้นอย่างจริงในปี 2547
ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
ก่อนหน้านั้นคดีลักษณะนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ภาวะทางจิตไม่สมบูรณ์
แต่หลัง 2547 ผู้ต้องหาหมิ่นฯ
ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือเครือข่ายของทักษิณ
เราจึงต้องตั้งคำถามว่าหากทักษิณรักสถาบันจริงๆ ทำไมไม่ห้ามปรามคนเหล่านี้
วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ บรรยายพิเศษเรื่อง
“ขบวนการล้มสถาบันฯ มีอยู่จริง” ระบุว่า สถาบันกษัตริย์มีมาอย่างน้อย 1,000
ปี และถูกล้มล้างมาตั้งแต่ปี 2475
ทำให้กษัตริย์ใช้อำนาจผ่านอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
ไม่มีอำนาจจริงแล้ว
แต่เหตุที่ยังมีความพยายามล้มล้างเพราะพระองค์นี้เป็นศูนย์รวมใจคนทั้งชาติ
“ใครคิดจะยึดประเทศเป็นของตัวเองจึงต้องทำลายสถาบันกษัตริย์ก่อน
มีการพูดกันจนคนเข้าใจผิดว่าสถาบันฯ เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง
อันที่จริงเป็นอันตรายกับคนคนเดียว
ซึ่งมีความมุ่งหมายยึดประเทศและให้คนไทยเป็นทาส”
วสิษฐยืนยันว่าขบวนการล้มล้างสถาบันฯ มีอยู่จริง
แม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ยังกำหนดกรณีกลุ่มบุคคลที่ทำงานเป็นโครงข่ายทำลายสถาบันให้เป็นคดีพิเศษ
ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 โดยจัดให้มีคณะกรรมการพิเศษจาก 13 หน่วยงาน
ไม่ว่า อัยการสูงสุด, กระทรวงกลาโหม, ไอซีที, หน่วยข่าวกรอง, กองทัพบก,
สันติบาล, ศรภ., สตช. ฯลฯ
“น่าเสียดายที่เมื่อคุณอภิสิทธิ์พ้นตำแหน่งเมื่อปี 54
การทำงานของคณะกรรมการนี้ก็ไม่คืบหน้า ก่อนหน้านั้นมีการดำเนินการหลายอย่าง
มีเว็บหมิ่นถูกปิด 430,000 รายแต่รัฐบาลนี้ไม่ได้สืบสวนต่อ”
“อย่างละครเจ้าสาวหมาป่าที่แสดงในงาน 14 ตุลา ตัวผมอยู่ในเหตุการณ์ 14
ตุลา ขอยืนยันว่าถ้าวันนั้นไม่มีพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยย่อยยับแหลกลาน”
วิสิษฐกล่าวและว่า เหตุการณ์เมื่อ 14 ต.ค.16
เมื่อเกิดจลาจลและพระองค์ทราบข่าว ทรงรับสั่งให้ทหารตำรวจเอาแมกกาซีนปืนออก
และสั่งเปิดประตูวังให้ชาวบ้านเข้าไปหลบ
และหลังเหตุการณ์ทรงจำเป็นต้องตั้งนายกฯ ใหม่
เนื่องจากธรรมนูญชั่วคราวของจอมพลถนอมไม่ได้กำหนดว่าหากนายกฯ
หลุดจากตำแหน่งต้องทำอย่างไร
จะเห็นได้ว่าการที่พระมหากษัติย์จะลงมายุติความขัดแย้งได้ก็ต่อเมื่อหมด
ทางออกทางกฎหมายแล้ว เรียกว่าระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
พระองค์มีพระบารมีห้ามทัพได้ ชาวบ้านรวมกันติด
เพราะฉะนั้นวิธีทำลายประเทศไทยจึงต้องทำลายสถาบัน
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กของเครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบันระบุว่า
เครือข่ายฯ
ทำหน้าที่เฝ้าระวังการล่วงละเมิดต่อสถาบันทุกช่องทางทั้งในอินเทอร์เน็ต
วิทยุชุมชน สิ่งพิมพ์ การรวมตัวปลุกระดม
โดยมีสำนักข่าวทีนิวส์เป็นศูนย์กลางจัดตั้งประสานงาน
และคอยรายงานข่าวเกี่ยวกับ “ขบวนการล้มเจ้า” โดยเครือข่ายฯ
จะประสานทุกเบาะแสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการเช่น ICT , สตช., DSI
เป็นต้น และเป็นแกนกลางในการประสานงานจัดกิจกรรมต่างๆ