แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สนทนาธรรมกับ คุณพัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ งานธรรมไร้พรมแดนครั้งที่ ๑

ที่มา ห้องธรรมะใจสว่าง เชียงดาว



วีดีโอ : สนทนาธรรม กับ คุณพัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ งานธรรมไร้พรมแดนครั้งที่ ๑ วันอาทิตย์ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ ๒๕๕๖
++ ดำเนินการถ่ายทำและอำนวยการผลิตถวายโดย ทีมงานห้องธรรมะใจสว่างเชียงดาว www.jaisawang.net ++

“สุดซอย” สะท้อนอะไร?

ที่มา ประชาไท


                                                                           
 
ผู้ เขียนขอออกตัวก่อนว่า มิปรารถนาพรบ.นิรโทษกรรมสุดซอยด้วยเหตุผลคือไม่ต้องการล้างผิดให้ กับ”ฆาตกร”  แต่จากการเป็นคนนอกที่เฝ้ามองและเฝ้าเชียร์ขบวนการเสื้อแดงอยู่ห่างๆและ เอาใจช่วยเสมอรวมทั้งเป็นคนหนึ่งที่เลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่ผ่าน มา จะดีจะชั่วด้วยเหตุผลเดียวคือ ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร เป็นเหตุผลเดียวที่ยังคงเลือกเพื่อไทยแม้จะกล้ำกลืนฝืนทนกับพฤติกรรมห่วยๆ ทัศนะแย่ๆของบุคลากรทั้งหลายทั้งแหล่ที่ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองที่ไม่ ค่อยจะได้เรื่อง หรือหลงทิศผิดทางกันก็บ่อย

ผู้เขียนถือว่า  การเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับพรรคการเมือง ทักษิณ  และคนจำนวนมากมีจุดร่วมเดียวกันคือต้านอำนาจนอกระบบและผลพวงของการรัฐประหาร และคิดแทนใครหลายๆคนที่ออกไปสู้รบ บาดเจ็บ ล้มตาย รวมทั้งถูกจับกุมคุมขังว่าเขาและเธอเหล่านั้นมีจุดร่วมทางความคิดเช่นเดียว กัน และเป็นการตาย บาดเจ็บ เพื่อให้เกิดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพื่อให้เกิดอำนาจรัฐที่เราบอกใครต่อใครในเวลานั้นได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นรัฐบาลที่เราเลือกมากับมือและได้รับชัยชนะท่วมท้นให้เป็นรัฐบาล ถึงขนาดพูดกันว่าเลือกกี่ครั้งกี่ครั้งก็ยังได้เป็นรัฐบาล

หลังได้ เป็นรัฐบาลแล้ว การเดินทางของคนเสื้อแดงกับรัฐบาลต่างประนีประนอมและประคองซึ่งกันและกันบาง ครั้งทุลักทุเล บางคราวพูดไม่ออก ประชาชนจำนวนมากรู้และเข้าใจ อำนาจโครงสร้างส่วนบนของสังคมไทย เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง แต่มีกฎหมายคอยปิดกั้น และไล่ล่ากลุ่มคนที่เห็นต่าง ความเป็นรัฐบาลในโครงสร้างเก่า จึงเลือกที่จะไม่แตะบ่วงที่รัดคอผู้คน อาจเพราะกลัวว่าบ่วงจะมารัดคอตัวเอง

มาจนถึงเวลานี้ มี พรบ.นิรโทษกรรม”สุดซอย”เกิดขึ้น ด้วยความเป็นกองเชียร์ดีเด่นมาตลอดจึงแอบคิดเอาว่า เฮ้ยสงสัยจะโยนหินถามทาง หยั่งกระแสเช็คเรตติ้งหรือเปล่านะ แหย่แล้วค่อยถอย ซึ่งเป็นทริคที่ใช้มาตลอด สู้ๆ ถอยๆ ถอยๆ สู้ๆ แต่ล่วงเลยมาจนวันนี้ที่รัฐสภากำลังอภิปรายพรบ.กันอย่างดุเดือด ผู้เขียนหวั่นๆว่าสงสัยงานนี้คนอยู่แดนไกลสั่งลุยเองซะล่ะมั้ง  จนอดรู้สึกหดหู่ใจแทนพี่น้องเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่เป็นกาลิเลโอเดินทางไปไกล แล้ว ที่ว่าคนอยู่แดนไกลและบรรดาพลพรรคเลือกที่จะแลกเลือดเนื้อของเสื้อแดง เกี๊ยเซี๊ยะกับอำนาจนอกระบบเพื่อที่จะให้เรื่องแล้วๆกันไป และตัวเองจะได้กลับบ้าน  ถ้าเหตุการณ์จะจบลงแบบนั้น  ในฐานะกองเชียร์ดีเด่นเสื้อแดง จึงอยากแสดงความห่วงใยและฝากการแลกเปลี่ยนต่อไปดังนี้

ปรากฎการณ์”สุดซอย”สำหรับผู้เขียนสะท้อนให้เห็นว่า
1.โครงสร้างการเมืองไทยมันไม่เปลี่ยนแปลงไป เท่าไหร่นัก รัฐบาลที่ว่าเราคิดว่าเป็นรัฐบาลของประชาชนจำนวนกว่า 15 ล้านเสียงที่เลือกเข้าไปพูดให้ถึงที่สุด ก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะเป็นผู้นำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจในแง่ของ การขยายพื้นที่สิทธิ เสรีภาพทางความคิด การแสดงออกทางการเมือง การเห็นต่าง รวมทั้งไม่สามารถปกป้องผู้คนที่ออกมาต่อสู้เพื่อให้พวกตนได้เป็นรัฐบาลได้

2.เมื่อ โครงสร้างการเมือง และอำนาจทางการเมืองไม่เปลี่ยน ปรากฏการณ์สุดซอยจึงเกิดขึ้นและเป็นผลลัพธ์ของการตกลงกันทางอำนาจของชนชั้น นำ  สู้กันแล้วเมื่อไม่มีฝ่ายใดชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เรื่องที่จะเอาผิดกันก็ให้จบๆเรื่องกันไป ผู้เขียนคิดว่า เราอาจจะได้เห็นใครบางคนกลับบ้านและกลับมาอย่างเป็นผู้เรียบร้อยนั่ง พับเพียบหมอบกราบกันเลยทีเดียวเชียว

3.ผู้เขียนคิดว่า คงมีหลายคนที่รู้สึกว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาของเรามันสูญเปล่า ขมขื่น ผิดหวัง ผู้เขียนอยากให้กำลังใจว่ามันไม่ได้สูญเปล่าเลย การต่อสู้ที่ผ่านมามีคุณูปการมากในสังคมไทย เรามีกาลิเลโอมากขึ้น  และเกิดการตระหนักว่าศักดิ์ศรีของคนจน คนชนบท คนหาเช้ากินค่ำมันมีค่าและทัดเทียมกับพวกผู้ลากมากดี คนชั้นกลางที่รังเกียจนักการเมือง และมีคุณปการอื่นๆอีกมากมายที่เรารู้และนึกถึงได้เองในใจ  เช่นเดียวกันกับเรา”รู้”และจดจำได้ว่าใครคือ”ฆาตกร”
ท้ายสุด ผู้เขียนไม่ได้โน้มเอียงไปในทางที่เอาปรากฏการณ์นี้มาก่นด่านักการเมือง แต่อยากให้ตระหนักและระมัดระวังในการต้องสัมพันธ์กับบุคคลากรเหล่านั้น คำว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เป็นคำพูดที่จริงเสมอในแวดวงคนที่ทำงานและคุ้นเคยกับ”นักการเมือง”  ผู้เขียนยังคงยืนยันว่า ถึงแม้นักการเมืองแบบไทยๆจะเป็นสปีชี่ส์พิเศษที่พลิกไปพลิกมาได้ตามความ ผันแปรของอำนาจ และการอยู่รอด แต่เราก็ยังต้องยืนยันในการมีอยู่ของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ที่เราสามารถก่นด่า วิจารณ์  รวมทั้งเลือกได้ ถอดถอนได้  และเมื่อตระหนักถึง”ความแสบ”ของพวกเขาเหล่านั้นในปรากฏการณ์สุดซอยครั้งนี้ พึงระลึกด้วยว่า อำนาจนอกระบบ “แสบกว่า”หลายต่อหลายเท่านัก

ไม่ ว่า”สุดซอย”จะนำมาซึ่งการ”สุดทาง”ของทักษิณ เพื่อไทย และเสื้อแดง หรือไม่ก็ตาม ผู้เขียนขอเสนออย่างอ่อนน้อมต่อพี่น้องเสื้อแดงว่า ใช้เวลานี้มาทบทวนและจัดวางความสัมพันธ์ และกำหนดการเคลื่อนไหวไปข้างหน้าในเชิงให้บทเรียนต่อกันและกันบ้างจะดี ไหม    และท้ายที่สุดอีกครั้ง ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อญาติของผู้เสียชีวิต ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ  ผลของการต่อสู้ได้ถูกจารึกไว้ในการรับรู้ของผู้คนแล้ว  การถูกเอามาฉวยใช้เกิดจากความสามานย์ของคนที่ใจหยาบช้าเท่านั้น

เครือข่ายปกป้องสถาบัน นัดแจ้งความ 112 ละครเจ้าสาวหมาป่า

ที่มา ประชาไท


30 ต.ค.2556 ที่โรงแรมหลุยส์ แทเวิร์น เครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบัน มีการจัดประชุมสมาชิกเครือข่าย โดยมีผู้เข้าร่วมราว 200-300 คน ภายในงานมีการพูดถึงขบวนการล้มสถาบัน และมีการเปิดฉายคลิปบางส่วนของละครเวที “เจ้าสาวหมาป่า” ที่จัดแสดงในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยผู้ดำเนินรายการชี้ว่าอาจมีการหมิ่นสถาบันผ่านละครดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการนัดแนะเครือข่ายฯ ให้นำคลิปละครดังกล่าวเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่ที่อยู่อาศัยใน ความผิดมาตรา 112 ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ โดยจะมีการแจกคลิปภายหลังงานสำหรับผู้ที่สนใจเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการ ดำเนินคดี ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 52 คนได้ลงชื่อแสดงความสนใจ
นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากเครือข่ายจากจังหวัดอยุธยาได้ร่วมแลกเปลี่ยนถึง ความยากลำบากในการแจ้งความคดีมาตรา 112 ซึ่งพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมักไม่รับแจ้งความ แม้แต่อัยการหรือสภาทนายความประจำจังหวัดก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผศ.ยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต กล่าวว่า กรณีนี้ควรแจ้งความเอาผิดกับผู้แสดง, ผู้แต่งบทละคร, ผู้จัดงานและผู้เผยแพร่ โดยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องไปหารายชื่อบุคคลเหล่านี้ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความให้ผู้แจ้งยืนยันให้ตำรวจทำบันทึกเหตุผล การไม่รับแจ้งความเป็นลายลักษณ์อักษร อีกทั้งในการแจ้งความควรรวบรวมรายชื่อจำนวนมากเพื่อแสดงพลังมวลชน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากมาตรการทางกฎหมายในการแจ้งความทุกภูมิภาคแล้ว ควรมีมาตรการเชิงรุกในการลงโทษทางสังคมกับผู้กระทำผิดด้วย
รศ.กิจบดี ก้องเบญจภุช รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า ผู้ที่ยุ่งกับสถาบันกษัตริย์ไม่เคยมีใครได้ดี ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยทางการเมืองไปเสียชีวิตที่รั่งเศส จอมพล ป.พิบูลสงครามก็เสียชีวิตในต่างประเทศเช่นกัน ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความยุติธรรมนั้นหมดไป การเมืองกลายเป็นการเล่นพรรคเล่นพวก ไม่มีใครที่เคารพความสุจริต ดังนั้น ในการจัดการกับกระบวนการทำลายสถาบัน เราจึงควรแจ้งความเพราะเรื่องนี้เป็นอาญแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว หากไม่ดำเนินการก็สามารถใช้มาตรา 157 เอาผิดเจ้าหนาที่ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า กมธ. วิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์ สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบการจัดงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ จัดโดยคณะกรรมการ 14 ตุลาเพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งมีนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ในฐานะที่ปรึกษารมว.ต่างประเทศเป็นประธาน ทั้งในส่วนของการจัดทำหนังสือ “ย้ำยุค รุกสมัย” และละครเวที “เจ้าสาวหมาป่า” การแสดงงิ้วการเมือง ลิเกการเมือง การแสดงละครเวทีนั้นเป็นการล้อเลียนพระเจ้าอยู่หัวและบิดเบือนข้อเท็จจริง ว่าพระองค์เกี่ยวข้องกับการเมือง ส่วนของสปอนเซอร์การจัดงานไม่ว่าจะเป็น กฟผ.ปตท.ธกส.กรมส่งเสริมการปกครองฯ ทาง กมธ.ได้เรียกมาชี้แจงแล้วพบว่า มีการสนับสนุนเงินทุนตั้งแต่ 50,000-200,000 บาท โดยที่ไม่รู้เห็นกับเนื้อหาของงาน
สมชายยังระบุเนื้อหาสำคัญในหนังสือย้ำยุคฯ ด้วยว่ามีบทกวีและบทความจากนักวิชาการหลายคนที่มีเนื้อหาสอดรับกับการจัดงาน ซึ่งกำลังศึกษาว่าจะสามารถดำเนินคดีกับส่วนใดได้บ้าง
สำหรับเครื่องมือในการดำเนินงานของเครือข่ายฯ นั้น สมชายเห็นว่า ต้องช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลที่ดี ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสังคมทั้งในลักษณะปากต่อปาก ทางเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และวิทยุชุมชน เพราะวิทยุชุมชนก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ข้อมูลผิดๆ เช่น การสร้างละครไม่น้อยกว่า 170 ตอนเผยแพร่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด
“คนส่วนหนึ่งอยากเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ อะไรที่เป็นอุปสรรคเขาก็เอาออก ไม่ว่าจะเป็น ส.ว.สรรหา ข้าราชการ หรือกระทั่งสถาบัน”
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหนัาศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) กล่าวว่า การทำลายสถาบันมี 2 สาเหตุหลัก คือ นักการเมืองสามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ยังซื้อความจงรักภักดีจากทหารและศาลไม่ได้ เพราะทั้งสองสถาบันผูกพันอยู่กับสถาบันกษัตริย์ 2.ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ทุกประเทศอิจฉาและไม่ต้องการให้ไทยอยู่ในภาวะสงบสุข จึงร่วมสนับสนุนการบ่อนทำลายศูนย์กลางของประเทศ ประกอบกับบทบาทของสหรัฐอเมริกาที่เห็นว่า การที่คนไทยรักคนคนเดียวเป็นเรื่องขัดหลักประชาธิปไตย จึงร่วมสนับสนุนให้มีการยกเลิกมาตรา 112
ส่วนเหตุผลที่ต้องมีมาตรา 112 พล.ท.นันทเดช ระบุว่าเนื่องจากประมุขทุกประเทศต้องได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ, พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์มีสถานะศักดิ์สิทธิ์, พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเป็นวิถีชีวิตของคนไทย, พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเป็นคดี ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัว, พระมหากษัติย์เป็นความมั่นคงของชาติ
พล.ท.นันเดชกล่าวอีกว่า การดูหมิ่นสถาบันเกิดขึ้นอย่างจริงในปี 2547 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก่อนหน้านั้นคดีลักษณะนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ภาวะทางจิตไม่สมบูรณ์ แต่หลัง 2547 ผู้ต้องหาหมิ่นฯ ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือเครือข่ายของทักษิณ เราจึงต้องตั้งคำถามว่าหากทักษิณรักสถาบันจริงๆ ทำไมไม่ห้ามปรามคนเหล่านี้
วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ บรรยายพิเศษเรื่อง “ขบวนการล้มสถาบันฯ มีอยู่จริง” ระบุว่า สถาบันกษัตริย์มีมาอย่างน้อย 1,000 ปี และถูกล้มล้างมาตั้งแต่ปี 2475 ทำให้กษัตริย์ใช้อำนาจผ่านอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ  ไม่มีอำนาจจริงแล้ว แต่เหตุที่ยังมีความพยายามล้มล้างเพราะพระองค์นี้เป็นศูนย์รวมใจคนทั้งชาติ
“ใครคิดจะยึดประเทศเป็นของตัวเองจึงต้องทำลายสถาบันกษัตริย์ก่อน มีการพูดกันจนคนเข้าใจผิดว่าสถาบันฯ เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง อันที่จริงเป็นอันตรายกับคนคนเดียว ซึ่งมีความมุ่งหมายยึดประเทศและให้คนไทยเป็นทาส”
วสิษฐยืนยันว่าขบวนการล้มล้างสถาบันฯ มีอยู่จริง แม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังกำหนดกรณีกลุ่มบุคคลที่ทำงานเป็นโครงข่ายทำลายสถาบันให้เป็นคดีพิเศษ ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 โดยจัดให้มีคณะกรรมการพิเศษจาก 13 หน่วยงาน ไม่ว่า อัยการสูงสุด, กระทรวงกลาโหม, ไอซีที, หน่วยข่าวกรอง, กองทัพบก, สันติบาล, ศรภ., สตช. ฯลฯ
“น่าเสียดายที่เมื่อคุณอภิสิทธิ์พ้นตำแหน่งเมื่อปี 54 การทำงานของคณะกรรมการนี้ก็ไม่คืบหน้า ก่อนหน้านั้นมีการดำเนินการหลายอย่าง มีเว็บหมิ่นถูกปิด 430,000 รายแต่รัฐบาลนี้ไม่ได้สืบสวนต่อ”
“อย่างละครเจ้าสาวหมาป่าที่แสดงในงาน 14 ตุลา ตัวผมอยู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลา ขอยืนยันว่าถ้าวันนั้นไม่มีพระมหากษัตริย์ ประเทศไทยย่อยยับแหลกลาน” วิสิษฐกล่าวและว่า เหตุการณ์เมื่อ 14 ต.ค.16 เมื่อเกิดจลาจลและพระองค์ทราบข่าว ทรงรับสั่งให้ทหารตำรวจเอาแมกกาซีนปืนออก และสั่งเปิดประตูวังให้ชาวบ้านเข้าไปหลบ และหลังเหตุการณ์ทรงจำเป็นต้องตั้งนายกฯ ใหม่ เนื่องจากธรรมนูญชั่วคราวของจอมพลถนอมไม่ได้กำหนดว่าหากนายกฯ หลุดจากตำแหน่งต้องทำอย่างไร จะเห็นได้ว่าการที่พระมหากษัติย์จะลงมายุติความขัดแย้งได้ก็ต่อเมื่อหมด ทางออกทางกฎหมายแล้ว เรียกว่าระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ พระองค์มีพระบารมีห้ามทัพได้ ชาวบ้านรวมกันติด เพราะฉะนั้นวิธีทำลายประเทศไทยจึงต้องทำลายสถาบัน
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กของเครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบันระบุว่า เครือข่ายฯ ทำหน้าที่เฝ้าระวังการล่วงละเมิดต่อสถาบันทุกช่องทางทั้งในอินเทอร์เน็ต วิทยุชุมชน สิ่งพิมพ์ การรวมตัวปลุกระดม โดยมีสำนักข่าวทีนิวส์เป็นศูนย์กลางจัดตั้งประสานงาน และคอยรายงานข่าวเกี่ยวกับ “ขบวนการล้มเจ้า” โดยเครือข่ายฯ จะประสานทุกเบาะแสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการเช่น ICT , สตช., DSI เป็นต้น และเป็นแกนกลางในการประสานงานจัดกิจกรรมต่างๆ 

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 31/10/56 ไม่ล้างผิดฆาตกร...

ที่มา blablabla




ทำปากกล้า ขาสั่น ไม่หวั่นไหว
ทั้งที่ใจ ร้อนรุ่ม กว่าสุมขอน
จากผลพวง ของทรราช ฆาตกร
ไม่สังวรณ์ เรื่องอัปรีย์ ที่มันทำ....

หาว่าถูก กลั่นแกล้ง ตะแบงบอก
พูดกลับกลอก เผยตัวตน จนน่าขำ
เผยทาสแท้ พวกวิปริต จิตใจดำ
เลวระยำ เกินมนุษย์ สุดบรรยาย....

ขอร้อง..อย่าสอดไส้ ไปล้างผิด
หากสิ้นคิด แล้วเดินหน้า พาฉิบหาย
ทุบกำแพง แห่งความหวัง พังทลาย
ไม่นึกอาย แถมย่ำยี เหล่าวีรชน....

หากดื้อดึง นับถอยหลัง วันพังพาบ
ทิ้งตราบาป ให้ประชา พาสับสน
บทสุดท้าย พวกสับปลับ ต้องอับจน
รอดูผล คนชีกอ สอพลอนัก....

๓ บลา / ๓๑ ต.ค.๕๖
กำลังใจหาซื้อไม่ได้ แต่ให้กันได้

ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นด้วยกับเหมาเข่ง"วันรัก สุวรรณวัฒนา"

ที่มา Thai Free News







ไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมเหมาเข่ง และการบิดหลักการด้วยถ้อยคำหว่านล้อมเพื่อให้ซูฮกและรับใช้สิ่งที่ตนต้องการอย่างข้างๆคูๆ

เห็นว่าควรแยกระหว่าง "ลบล้างผลพวงรปห." (คตส. และอื่นๆ) ในวาระอื่นเวลาอื่น กับ "การนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองในคุก" 

ไม่ซื้อการเหมาเข่ง ไม่ใช่แค่เพราะ 
1. ฆาตกรจะลอยนวล 
แต่เพราะ 2. เราต้องการการค้นหา "ความจริง" ซึ่งเป็นกระบวนการที่สังคมต้องเรียนรู้ผ่านเวลาและการถกเถียง เพื่อเติบโตและป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าประชาชนกลางเมืองอีก
3. ในนามของ "ความยุติธรรม" คนผิดจะต้องได้รับโทษ คนสนับสนุน (ที่ไม่ได้ลงมือทำ แต่อยู่หน้าจอทีวีหรือคอมฯ) ต้องรับรู้ว่าตนคือผู้มีส่วนร่วมฆ่าทางอ้อม ความยุติธรรมในทุกๆรูปแบบของมันคือหลักการสำคัญสุดซึ่งเหมาเข่งละเลยและทำให้เลือนลาง

"การลืมๆกันไป" นี่แหละจะยิ่งส่งผลลบกับสังคมไทยอย่างฝังรากลึก (กี่หนแล้วที่พยายามกลบเกลื่อนประวัติศาสตร์ด้วยการบังคับให้ "ลืม" และกี่หนแล้วที่ประชาชนยังคงถูกฆ่ากลางเมือง)

เราในฐานะ historical subject หรือคนที่สามารถ "เขียน" ปวศ.ของตัวเราเองได้เอง ไม่ใช่ทาสหรือไพร่ในเรือนเบี้ยที่การเมืองเป็นเรื่องของชนชั้นนำเท่านั้น

"เรา" ในฐานะผู้สร้างประวัติศาสตร์ของเราเอง เรามีภาระหน้าที่ที่จะต้องสร้าง "บรรทัด ฐาน" เรื่องความยุติธรรม และเรื่องการไม่ทนต่อ "ความรุนแรง" ที่รัฐกระทำต่อคนในชาติ และเรามีภาระหน้าที่ที่จะต้อง "ค้นหาความจริง" ดีเบต เปิดโปงและถกเถียงว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไร โดยใคร เพื่ออะไร เพื่อให้สังคมวงกว้างได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าสำนึกและชีวิตทาง "ประชาธิปไตย" ไปร่วมกัน

"เหมาเข่ง" นอกจากจะส่งผลร้ายและวิปลาสต่อสังคมการเมืองใน "ปัจจุบัน" แล้ว ยังเป็นการกระทำอันไร้ยางอายต่อ "อดีต" ของตัวเอง และจะได้สร้าง "บรรทัดฐาน" ที่บิดเบี้ยวและอำมหิตต่อไปใน "อนาคต" ... เพราะประวัติศาสตร์กำลังถูกเขียนขึ้น ณ ขณะปัจจุบัน

เหมาเข่ง จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ "กลยุทธ์" ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ทักษิณ คนเสื้อแดง ญาติวรีชน กลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆหรือปชป.เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ "หลักการ" (หรือความ "ไร้หลักการ" ถ้ายังจะดันทุรัง) ของวิธีคิด นิติรัฐและอนาคตทางประชาธิปไตยของประเทศนี้ด้วย

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นด้วยกับ "เหมาเข่ง


http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=49171.0

นิติราษฎร์ฟันธงพรบ.สุดซอยขัดรัฐธรรมนูญ ชี้ช่องสภาลงมติตีตกแล้วยกร่างฉบับวรชัยมาปัดฝุ่นแทน

ที่มา Thai E-News






วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อ่านแถลงการณ์นิติราษฎร์ ต่อร่างนิรโทษกรรม ท่ามกลางผู้ฟังจำนวนมาก ที่ห้องประชุม LT1 คณะนิติศาสตร์ มธ. ยันร่างฯ นิรโทษกรรมมุ่งหมายเฉพาะประชาชน การแก้ไขร่างฯ ของสภาที่ขยายไปยังเจ้าหน้าที่รัฐขัดต่อเจตนารมณ์ของร่างฯ ดังกล่าว และขัดรธน. พร้อมย้ำแนวทางลบล้างผลพวงรัฐประหาร(ภาพและคำบรรยาย:ประชาไท)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์

31 ตุลาคม 2551

นักวิชาการคณะนิติราษฎร์ ได้แถลงจุดยืนต่อร่างพรบ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมีข้อเสนอให้สภาผู้แทนฯลงมติให้ร่างนี้ตกไป แล้วเอาร่างที่ผ่านการรับรองแล้วในวาระแรก(ฉบับวรชัย) มาให้ สภาฯทั้งสภาฯพิจารณา โดยลงมติตั้ง "กรรมาธิการเต็มสภา"

ประเด็นใหญ่ โดยสรุปคือ

1.ขัดหลักรัฐธรรมนูญ เพราะแปรญัตติเกินกว่าหลักการที่ สภาฯรับรองไปแล้วในวาระแรก ซึ่งขัดกับระเบียบประชุมสภา ประเด็นที่แปรญัตติเกินมีทั้งเรื่องครอบคลุมเกิน จากประชาชนผู้ร่วมชุมนุมตามร่างเดิมที่รับหลักการแล้ว กลายเป็นรวมคดีที่เกิดจาก คปก. ทั้งหมด (หน้า 2 ในแถลงการณ์นิติราษฎร์ที่แจกในงาน) และเกินในแง่เวลา จากที่รับหลักการนิรโทษสิ่งที่เกิดจาก 19 กันยา กลายมาเป็น ย้อนหลังไปถึง 2547 (ข้อ 5 ในแถลงการณ์นิติราษฎร์)

2 ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ด้วยการยกเว้นคดี 112 ทั้งๆที่เป็นผลมาจากการชุมนุม-ขัดแย้งทางการเมือง (ข้อ 2 ในแถลงการณ์นิติราษฎร์)

ข้อเสนอทางหลักการ-นิติราษฎร์ยืนยันเสนอว่า ต้องแยกคดีที่เกิดจากความขัดแย้ง-การชุมนุมการเมือง จากการรัฐประหาร กับคดีที่เป็นผลพวงรัฐประหาร เช่น คดี คตส. - การแก้ปัญหาคดีประเภทหลัง นิติราษฎร์ ยืนยันให้ใช้วิธีลบล้างผลพวงรัฐประหารที่เคยเสนอไปแล้ว

ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
............

นักวิชาการ "นิติราษฎร์" แถลงชี้พรบ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับสุดซอย ขัดหลักรัฐธรรมนูญ

ความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ....
และข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร
ตามที่นายวรชัย เหมะ กับคณะได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจาก การชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีหลักการและเหตุผลคือ ให้นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมือง เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศ รักษาและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 
รวมทั้งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง อันจะเป็นรากฐานที่ดีของการลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดอง และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาและมีมติแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว โดยขยายการนิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง “บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการ ชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้น ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมา ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง” แต่ไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
เมื่อพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่งแล้ว พบว่าสภาผู้แทนราษฎรนิรโทษกรรมเฉพาะแก่ “บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่การกระทำนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการ เมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อ ต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใด ๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น” จากถ้อยคำดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบกับหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร จะเห็นได้ว่า สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนผู้กระทำการตาม ที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น  โดยไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม ทั้งไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความ ผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 แต่อย่างใด และเมื่อพิจารณาประกอบกับชื่อของร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวที่ใช้ชื่อว่า “ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทาง การเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ....” แล้ว ยิ่งทำให้เห็นประจักษ์ชัดว่าร่างพระราชบัญญัติฯ นี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ให้รวมถึงบุคคลอื่นนอกจากประชาชน จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่หนึ่ง อันเป็นการต้องห้ามตามข้อ 117 วรรคสามแห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ซึ่งทำให้กระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ห้ามมิให้การแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พระราชบัญญัติในวาระที่สองขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นส่วน หนึ่งของรัฐธรรมนูญ
นอกจากประเด็นปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว คณะนิติราษฎร์เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ยังมีปัญหาในประการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1) การนิรโทษกรรมตามที่ปรากฏในร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ซึ่งครอบคลุมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ การสลายการชุมนุมอันนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนที่เข้าร่วมในการ ชุมนุมนั้น นอกจากจะไม่เป็นธรรมต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้ว ยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการ เมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) การปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของ ประชาชนรอดพ้นจากความรับผิดดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในอดีตนอกจากจะเป็นการตอก ย้ำบรรทัดฐานที่เลวร้ายให้ดำรงอยู่ต่อไปแล้ว ยังสร้างความเคยชินให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ในการปฏิบัติต่อประชาชนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นโดยไม่ต้องกังวลว่าตนจะต้อง รับผิดในทางกฎหมายในอนาคต
2) ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นนั้น กำหนดยกเว้นไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถึงแม้ว่าการกระทำความผิดของบุคคลนั้นจะเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการ ชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม การบัญญัติกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ย่อมขัดหรือแย้งกับหลักแห่งความเสมอภาคที่ รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 30 เนื่องจากหลักดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญ เหมือนกัน ให้เหมือนกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญแตกต่างกันให้แตกต่างกันออกไปตามสภาพของ สิ่งนั้นๆ การนิรโทษกรรมตามความมุ่งหมายของร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญอยู่ที่การ ยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการ เมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นความผิดฐานใด ดังนั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตัดมิให้ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ได้กระทำไปโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระอย่างเดียวกันให้แตกต่างกัน และขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ
3) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้ มีผลกับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งครอบคลุมเหตุการณ์จำนวนมาก มีบุคคลที่อาจได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้หลายกลุ่ม และบุคคลดังกล่าวถูกดำเนินคดีในขั้นตอนที่แตกต่างกัน จากเหตุหลายประการดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความซับซ้อนจนหลายกรณีไม่อาจระบุลงไปให้แน่ชัดได้ว่าบุคคลใดบ้าง เข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จึงอาจทำให้การวินิจฉัยไม่เป็นเอกภาพ ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคในชั้นของการบังคับใช้กฎหมายในท้ายที่สุด
4) ถึงแม้ว่ากระบวนการกล่าวหาบุคคลที่เกิดขึ้นโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้ง ขึ้นภายหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 จะดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม และบุคคลที่ถูกกล่าวหาและถูกพิพากษาว่ามีความผิดสมควรได้รับคืนความเป็นธรรม ก็ตาม แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทาง การเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีสภาพและลักษณะของเรื่องแตกต่างไปจากการกระทำของบุคคลที่ถูกกล่าวหาโดย คณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ  ประการสำคัญ ในสภาวการณ์ความขัดแย้งของสังคมขณะนี้ การเสนอให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลดังกล่าวอาจเหนี่ยวรั้งให้การหาฉันทามติในการ นิรโทษกรรมแก่ประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า หรือไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ทั้งนี้ การแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมให้กับบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการทำรัฐประหาร สมควรกระทำด้วยการลบล้างผลพวงของรัฐประหารตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์
5) มีข้อสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมให้กับการกระทำความผิดใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ศ. 2547 จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมตั้งแต่พ.ศ. 2547 อาจส่งผลให้มีเหตุการณ์หรือการกระทำความผิดบางอย่างที่ไม่สมควรได้รับการ นิรโทษกรรม เพราะไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549  ได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ด้วย
6) นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตด้วยว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือ องค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบต่อเนื่องมา ไม่ว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดย สิ้นเชิงนั้น เมื่อพิจารณาจากคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงย่อมทำให้รัฐต้องคืนสิทธิให้แก่ ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม เช่น ในคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว รัฐมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยึดมาตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา ถึงแม้ว่าคณะนิติราษฎร์จะเห็นว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพิพากษาว่ากระทำ ความผิดโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการที่จะได้รับคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดไป โดยกระบวนการทางกฎหมายที่เชื่อมโยงกับการทำรัฐประหาร แต่การที่จะได้รับคืนทรัพย์สินดังกล่าวนั้นควรจะต้องเป็นไปโดยหนทางของการลบ ล้างคำพิพากษาตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร มิใช่โดยการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัติฯ นี้
ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์
โดยเหตุที่ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ มีปัญหาบางประการดังกล่าวมาข้างต้นคณะนิติราษฎร์ จึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้
1) ต้องแยกบุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุ เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ออกจากบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้ง ขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
2) ให้ดำเนินการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการ เมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุ เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่นิรโทษกรรมให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ ชุมนุมประท้วง ตลอดจนการสลายการชุมนุมไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใด ๆ ทั้งนี้ ตามร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง ที่คณะนิติราษฎร์ได้เคยเสนอไว้
3) สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้ง ขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ให้ลบล้างคำพิพากษา คำวินิจฉัย ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในทุกขั้นตอนที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำรัฐ ประหาร ทั้งนี้ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร
4) อย่างไรก็ตาม โดยเหตุที่ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ไม่ได้รับการพิจารณานำไปปฏิบัติจากผู้เกี่ยวข้อง ประกอบกับขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการนิรโทษกรรมอยู่ในระหว่างการ พิจารณาในวาระที่สองของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การนิรโทษกรรมแก่ประชาชนซึ่งกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำ ความผิดอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นไปโดยรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นอยู่ คณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้พิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้
4.1  เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฯ จนขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ทำให้มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงไม่สามารถใช้เป็นฐานในการพิจารณาในวาระที่สองได้ ด้วยเหตุนี้ สภาผู้แทนราษฎรจึงสมควรแก้ไขความบกพร่องดังกล่าวโดยการลงมติว่ากระบวนการตรา พระราชบัญญัติฯ นี้ขัดกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรข้อ 117 วรรคสาม เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตกไป
4.2  ให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติยกเลิกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดเดิม และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาเพื่อเริ่มพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระที่สองใหม่
คณะนิติราษฎร์: นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

(ห้องประชุม LT1 คณะนิติศาสตร์ มธ.)

ดร.ประแสงด่ารัวๆส.ส.แดงทรยศมวลชนที่พาไปตาย

ที่มา Thai E-News

 

นปช.กะหรี่ ทรยศ วิญญาณผีตายโหงที่พวกมันไปพาเขามาตายเป็นร้อย ......พวกมึงกลัวพรรคจะไล่มึึง ไอ้สถุน!
ถอนคำว่า นปช.กะหรี่ ครับ มานึกได้ว่าเมียนปช.หลายคน สุ่มเสี่ยงครับ

พรุ่งนี้มึงถ้าโหวตผ่าน น้ำหน้ามึงคือไอ้หมาขี้เรื้อน ลาออกจาก นปช.ไป ผมไม่ว่าอะไำรพรรค ล่อพวกนปช. นี่แหละ


นปช.เทียม พวกมึงกลัวพรรคจะไล่มึึง ไอ้สถุน!
รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ






อ้อ ตัวพ่อเลย อภิวันท์

บรรดา สส.เมีย นปช. ช่วยกันดูด้วยนะครับ ปะเดี๋ยวมันเล็ดลอดตาผมไป 
เมียกี้ร์ เมียไวพจน์ เมียอดิศร เมียใครอีกวะ?
..ผัวอ.ธิดา ไม่มีปัญหา น้องเดียร์ ผมกราบยกเว้นในทุกกรณี ครับ ไม่แตะ
ได้เวลาพักผ่อน ตี 5เช้าต้องปลุกและแบกลูกยัดใส่รถไปส่งโรงเรียนอีก ..... ก่อนนอน ขออาสาสมัครสัก20ท่านได้ป่าวไม่ต้องการ 10000อย่างหนูหริ่ง แค่ไปรุมถ่มน้ำลายใส่หน้าไอ้พวกนปช.ทรยศ วิญญาณผีตายโหงที่พวกมันไปพาเขามาตายเป็นร้อย ...... ล่ามันเรียงตัวเลย
ลงชื่อมาเลยครับ
The Oak ลูกในใส้นายกทักษิณยังยอมกลืนเลือด เห็นแก่วิญญาณคนเสื้่อแดงที่ตาย อยากให้พ่ออดทน
พวกมึงยังทำบัดซบโหวตผ่าน มึงเป็นคนหรือสัตว์นรกกันแน่วะ?

คนเสื้อแดง "ก้าวข้ามทักษิณฯไปแล้ว เหลือแต่พรรคอำมาตยาธิปัตย์ เท่านั้นที่ยัง "ติดหล่มทักษิณฯอยู่" ใครเห็นด้วย กด Like โพสต์นี้ครับ
-----------------

สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจ ที่คนเสื้อแดงออกมาไม่เห็นด้วย กับพรบ.สุดซอย

"เพราะนี่คือการ...ดูเพิ่มเติม
รูปภาพ : คนเสื้อแดง "ก้าวข้ามทักษิณฯไปแล้ว เหลือแต่พรรคอำมาตยาธิปัตย์ เท่านั้นที่ยัง "ติดหล่มทักษิณฯอยู่" ใครเห็นด้วย กด Like โพสต์นี้ครับ
-----------------

สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจ ที่คนเสื้อแดงออกมาไม่เห็นด้วย กับพรบ.สุดซอย

"เพราะนี่คือการพิสูจน์ว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พูดแผ่นเสียงตกร่อง หลอกประชากรสลิ่มมาตลอดว่า คนเสื้อแดงทำเพราะเงิน, มีแต่ขี้ข้าทักษิณฯ, ทักษิณใช้เงินจ้างคนมาชุมนุมนั้น เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ"
-----------------

สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสื้อแดงก็คือ การไม่เห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยของพี่น้องเสื้อแดงในครั้งนี้....

**มีเหตุผลมาจาก**
"พี่น้องเสื้อแดงต้องการให้ คนที่สั่งฆ่าประชาชนเกือบ100ศพ ได้รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้อย่างสาสม ในขณะที่พี่น้องเสื้อแดงทุกคนอยากให้ พตท.ทักษิณฯได้กลับบ้านครับ..!!"
-----------------

ผมยอมรับว่า ความแตกต่างระหว่างคนที่รักทักษิณฯ เพราะชื่นชอบการทำงาน กับคนที่รักทักษิณฯเพราะทักษิณฯเป็นพ่อ อาจมีความแตกต่างกันบ้าง เพราะยังไงลูกๆ(ที่มีเพียง3คน) ก็ต้องอยากให้พ่อกลับเหนือสิ่งอื่นใด ขณะที่เสียงส่วนใหญ่เกรงว่า "คนสั่งฆ่า" จะได้อานิสงส์ไปด้วยครับ

พ่อผมสอนให้ผมรักในประชาธิปไตย สอนให้เคารพการตัดสินใจของ"เสียงส่วนใหญ่" และผมก็เข้าใจหัวอกของคนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย แล้วเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์บาดเจ็บล้มตายไปต่อหน้าต่อตา อย่างที่พูดกันว่า "ประชาชนออกมาเรียกร้องขอหีบบัตรเลือกตั้ง แต่ฆาตกรใจบาปกลับยัดเยียดหีบศพให้แทน"

ที่ผ่านมา ถ้าไม่มีพี่น้องเสื้อแดงคอยเป็นเกราะกำบัง ไม่ยอมให้กระบวนการ2มาตรฐาน มาทำร้ายครอบครัวเรามากไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ชะตากรรมผมและครอบครัวจะเป็นอย่างไร ดังนั้น...

"ผมจึงได้คุยกับน้องทั้ง2คนว่า พี่น้องเสื้อแดงเห็นควรอย่างไร เราจะยอมรับในสิ่งนั้น"ครับ
-----------------

เราทั้ง3คนได้แต่หวังว่า จะมีกรรมวิธีใดๆ ที่ไม่เหมาเข่งสุดซอย และสามารถแยกแยะฆาตกร ออกจากกรณีที่คณะรัฐประหาร ได้แต่งตั้งบุคคลที่ใครๆก็รู้กันอยู่ว่าไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณฯ และแสดงตนเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด มาเป็นผู้ตรวจสอบและดำเนินคดีอย่างนี้

"ไม่ต้องถึงกับนิรโทษสุดซอยหรอกครับ ขอเพียงแค่มีการพิจารณาคดีใหม่ เปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ ฎีกา เช่นเดียวกับคดีอื่นทั่วไป โดยไม่มีคนแบบ คตส.เข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็พอใจแล้วครับ"

เหมือน ซากปรักหักพัง ให้ตู่้ต้องเหนื่อยมากอบกู้



ถ้อยคำรำลึกและเปิดสดมภ์นุสรณ์นวมทอง ตู่ชวนเสื้อแดงออกถนนใหญ่วันเพื่อไทยถูกลวงฆ่าในซอยตัน

ที่มา Thai E-News



จตุพร พรหมพันธุ์ ชวนร่วมงานเปิดสดมนุรณ์นวมทอง ไพวัลย์ ในวันนี้ขณะที่ประชาธิปัตย์กำลังระดมม็อบต่อต้านนิรโทษกรรมฉบับสุดซอยในสภา โดยย้ำว่านี่เป็นแนวทางที่เสื้อแดงจะออกมาถนนใหญ่ ขณะที่พรคเพือไทยโดนลวงไปฆ่าในซอยตัน



17.00-21.00 น. อนุสรณ์สถาน14ตุลา แยกคอกวัว

ถ้อยคำรำลึกโดย...
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 
สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ 
จอม เพชรประดับ
ชินวัฒน์ หาบุญพาด
ทีมสร้างภาพยนตร์ นวมทอง ไพรวัลย์ 

การอ่านบทกวี จากกลุ่มกวีประชาชน

ดนตรีโดย วงผ่านฟ้า / จ.เจตน์ / Rishadan Port





31ตุลาคม2556โปรดมาร่วมกันเปิดสดมภ์อนุสรณ์นวม ทองไพรวัลย์ที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐถนนวิภาวดีรังสิตตั้งแต่ เวลา9.00-12.00น.ครับมาเชิดชูความเสียสละกันให้มากๆนะครับ

หมอเหวง เชิญพี่น้องมารำลึกลุงนวมทอง 31 ตุลาคม 2556 เพื่อเชิดชูจิตใจ"ฆ่าได้หยามไม่ได้"



วันนี้ 30 ตุลาคม 2556  วันสุกดิบของลุงนวมทอง สส.ไพโรจน์ อิสสระเสรีพงษ์ไม่ว่างในวันจริง
พรุ่งนี้ (31 ตุลาคม 2556) เชิญผมมารำลึกลุงนวมทอง ผมเลยมาร่วม. พร้อมตรวจงานจริงพรุ่งนี้ ถือว่าพร้อมเต็มที่ครับ

พรุ่งนี้วันจริง 31ตุลาคม 2556 ขอให้มากันเพื่อเชิดชูจิตใจ"ฆ่าได้หยามไม่ได้ของลุงนวมทอง"และประเทศนี้ไม่ ต้องการรัฐประหาร ไม่ต้องการฆาตกรฆ่าคนสองมือเปล่ากลางถนนอีกต่อไปแล้วครับ พวกทหารมันเคยสัญญากับป้าบุญชูว่าจะสร้างบ้านให้ป้าบุญชูเมียลุงและหางานให้ ลูกสองคนทำ แต่พวกมันตระบัดสัตย์ครับแล้วนี่จะไป set zero กับพวกตระบัดสัตย์ได้ยังไงครับ

แม้เรื่องเล็กๆแค่สร้างบ้านเล็กๆไม่เกินสองแสนบาทกับหางานให้ลูกเขา เจ็ดปีแล้วพวกมันยังตระบัดสัตย์เลย

แล้วโฆษกทัพบก พอ.อัคร ทิพยโรจน์นั่นแหละที่หยามหยันเหยียบย่ำลุงนวมทองว่า "ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครมีอุดมการณ์แก่กล้าพอที่จะพลีชีพเพื่อประชาธิปไตย" แล้วกองทัพบกหายไปไหนปล่อยให้โฆษกมาหยามหยันประชาชนไทยได้อย่างไร อย่างนี่เราจะไปเชื่อทรราชย์ เชื่อปชป.ได้อย่างไร ปชป.เจ้าพ่อตระบัดสัตย์ด้วยเลยครับแล้วพี่น้องเราจะปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลได้ อย่างไรครับ การให้อภัย การปรองดองทำได้ครับ แล้วเราก็ยินดีทำแต่ต้องหลังจากสัจจธรรมปรากฏ
และความยุติธรรมได้รับการสถาปนาขึ้นอย่างมั่นคงเท่านั้นครับ

นพ.เหวง โตจิราการ 30 ตุลา 56 9.00น.

หมอเหวงเปิด จดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ผู้บัญชาการกองทัพบก “ขอโทษ” ลุงนวมทองไพรวัลย์และรับผิดชอบต่อครอบครัว




ทีมข่าว นปช.
30 ตุลาคม 2556

จดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ผู้บัญชาการกองทัพบก “ขอโทษ” ลุงนวมทองไพรวัลย์และรับผิดชอบต่อครอบครัว “ลุงนวมทองไพรวัลย์”

รัฐสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม.10300
30 ตุลาคม 2556

เรื่อง    เรียกร้องให้ “ผู้บัญชาการกองทัพบก ขอโทษ ลุงนวมทองไพรวัลย์อย่างเป็นทางการ และรับผิดชอบต่อครอบครัวของลุงนวมทองไพรวัลย์

เรียน    ผู้บัญชาการทหารบก

    ภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สื่อจำนวนมาก และผู้ที่สนับสนุนรัฐประหารจำนวนมาก แสดงการชื่มชมการรัฐประหารจนท่วมท้นประเทศ

    ลุงนวมทองไพรวัลย์ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และต้องการกระตุกสังคมไทยอย่างรุนแรงให้เห็นความชั่วร้ายเลวทรามของรัฐ ประหาร19กันยายน2549 จึงใช้ “ปฏิบัติการแท็กซี่ชนรถถัง มุ่งประสงค์สละชีพเพื่อกระตุกสังคมไทยให้เห็นความชั่วร้ายของการรัฐประหาร”

 แต่เนื่องจากลุงนวมทองไม่ต้องการชนพลทหารที่เฝ้ารถถัง ลุงนวมทองจึงไม่เสียชีวิต จากนั้นก็มีสื่อและพวกรัฐประหารนิยมประนามลุงนวมทองอย่างเสียหายเช่น เสพยาบ้า เป็นบ้าไปแล้ว ไม่มีผู้โดยสารจึงเครียดฯลฯ
    หลังจากที่รักษาตัวและได้รับกำลังใจจาก สมาพันธ์ประชาธิปไตย ลุงนวมทองก็กลับมาใช้ชิวิตเช่นเดิม

แต่ “โฆษกกองทัพบก หยามเหยียด ลุงนวมทอง อย่างเลวร้าย อย่างที่คนไทยด้วยกันไม่คิดว่าจะทำเช่นนี้ต่อกันได้” คือ

    โฆษก กองทัพบกในสมัยนั้น พอ.อัคร ทิพยโรจน์ ได้เหยียบย่ำ หยามหยัน ลุงนวมทองไพรวัลย์ ว่า “ผมไม่เชื่อว่า จะมีคนมีอุดมการณ์แก่กล้าพอที่จะพลีชีพให้กับประชาธิปไตย”

    ลุงนวมทองได้ใช้การกระทำที่เป็นจริงพลีชีพเพื่อประชาธิปไตย โดยกระทำการ”แขวนคอตนเองที่สะพานคนข้ามถนนหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิต”และเขียนจดหมายพลีชีพว่า “นิสัยคนไทย ฆ่าได้-หยามไม่ได้”  “เกิดชาติหน้า ขออย่าให้พบกับการปฏิวัติอีกต่อไป”

    ผู้บัญชาการกองทัพบกครับ โฆษกของกองทัพบกนะครับ เป็นผู้กล่าวคำหยามหยัน ลุงนวมทองและกล่าวในฐานะ “โฆษกกองทัพบก”ครับ

     ลุงนวมทองได้ใช้การกระทำที่เป็นจริง “ตบหน้า”โฆษกกองทัพบกคนดังกล่าวแล้วครับ ในวันนั้นผู้บัญชาการกองทัพบก อยู่ที่ไหนครับ

    จากวันนั้น ถึงวันนี้ เป็นเวลา7ปีแล้วครับ(31ตุลาคม2549-31ตุลาคม2556) ผู้บัญชาการกองทัพบกในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่เคยสำนึกถึงความผิดที่”โฆษกกอง ทัพบก พอ.อัคร ทิพย์โรจน์” ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองกระทำต่อ ประชาชนไทยที่ “เกลียดชังการรัฐประหารยิ่งกว่าชีวิตตนเอง”

ผู้บัญชาการกองทัพบกผ่านมาหลายท่านแล้ว เคยกล่าวคำขอโทษต่อลุงนวมทองไพรวัลย์ให้ปรากฏต่อสาธารณชนแล้วหรือยังครับ แล้วที่ไปรับปากกับ ภรรยาลุงนวมทองว่าจะดูแล ครอบครัว ทางผู้บังคับบัญชาของกองทัพบกทำแล้วหรือยัง เจ็ดปีแล้วครับ ท่านยังไม่ได้ทำตามคำมั่นสัญญาของท่านเลยท่านจะยังตระบัดสัตย์ไปถึงวันไหน ครับ จึงจะปฏิบัติตามสัจจะวาจาที่มีต่อครอบครัว”ไพรวัลย์” ปณิธานของมนุษย์ในโลก นี้ อย่าว่าแต่ ทหารเลยครับ

แม้ประชาชนทั่วไปก็ยังต้องถือไว้ยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง ก็คือ “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์”  ครับ

    ผมเรียกร้องผู้บัญชาการกองทัพบกให้กระทำการ  “ขอโทษลุงนวมทองไพรวัลย์อย่างเป็นทางการ และรับผิดชอบต่อครอบครัวของลุงนวมทองไพรวัลย์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ” ครับ
                            ขอแสดงความนับถือ

                            (นพ.เหวง โตจิราการ)
                    สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย

แกนนำนปช.ลั่นเพื่อไทยถูกลวงไปฆ่าในซอยตัน จตุพรกร้าวเตือนอย่าผลักเสื้อแดงจากมิตรไปเป็นศัตรู

ที่มา Thai E-News



ธิดา:เรายังมีความคิดแบบเดิม จะให้พัฒนาสุดซอยไปจนถึงนิรโทษกรรมคนสั่งฆ่าประชาชนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ อันนี้คือจุดยืนที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ในประเทศเห็นด้วยกับเรา 
 จตุพร:พรรคเพื่อไทยกำลังถูกลวงไปฆ่าในซอยตัน ผมต้องบอกกับพรรคเพื่อไทยว่า อย่าได้ผลักให้พวกผมเป็นศัตรู 

โดย ทีมข่าว นปช.
ที่มา เว็บไซต์นปช.
30 ตุลาคม 2556

วันนี้ เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5  กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) ได้แถลงข่าวประจำวันพุธที่ 30 ตุลาคม 2556 นำโดยอ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.  และแกนนำส่วนกลางท่านอื่นอีกมากมาย






อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.

สวัสดี ค่ะพี่น้องที่มาที่นี่และทางบ้าน ขอบคุณที่พี่น้องมากันอย่างอุ่นหนาฝาขั่ง เพราะเราเข้าใจว่าพี่น้องมาให้กำลังใจแกนนำนปช.ทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่จุดยืน จุดเดิม เรากล้าพูดเช่นนี้เพราะเราคิดว่าท่ามกลางการต่อสู้เราสัมผัสหัวใจกันได้ และจุดยืนของนปช.นี้ คำพูดนี้ ยังเป็นจุดยืนเดิมและความรู้สึกเดิม ตั้งแต่10เมษา53ถึงพฤษภา 53 เรายังมีความคิดแบบเดิม แม้นว่ามีการพัฒนาไปจำนวนหนึ่งแต่จะให้พัฒนาสุดซอยไปจนถึงนิรโทษกรรมคนสั่ง ฆ่าประชาชนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ คือที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการการปรองดองและไม่ยอมให้ประเทศเดินไป ข้างหน้า แล้วอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงว่า ในการปรองดองนั้นมันจะต้องเริ่มต้นจากความเป็นจริงที่ปรากฏความปรองดองจะ เกิดขึ้นได้ในทุกแผ่นดินก็ต่อเมื่อมีความยุติธรรมและมีนิติธรรมเกิดขึ้นก่อน ในแผ่นดินนั้น ไม่ใช่การเจรจาตกลงของชนชั้นนำในแผ่นดิน อันนี้ไม่มีทางที่จะเกิดการปรองดองขึ้นได้ในประเทศนี้ นอกจากเป็นความสมัครใจของประชาชนทั้งประเทศจึงจะเกิดขึ้นได้

ลำพัง ความเชื่อที่ว่ามีชนชั้นอยู่จำนวนหนึ่งสามารถคุยกันได้ตกลงกันได้ แล้วจะทำให้ประเทศชาติปรองดองได้นั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะความขัดแย้งหลักมันมาจากการปกครอง ผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง ชนชั้นนำที่มีความขัดแย้งกันนั้นเป็นความขัดแย้งชั่วคราว แต่ความขัดแย้งที่แท้จริงและจำเป็นต้องแก้ มันจำเป็นที่จะต้องมีฐานจากประชาชน เราจึงขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการปรองดองที่ยั่งยืนแท้จริงจะต้องมีความ จริงปรากฏ ยุติธรรมและได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ ไม่ใช่การเจรจากลุ่มชนชั้นนำเพียงไม่กี่คน ไม่มีทางสำเร็จได้ค่ะ 

ประเด็น แรกก็จะนำเสนอในความขัดแย้งที่หลายคนเข้าใจ ว่าขณะนี้มีปัญหามีจุดยืนที่แตกต่างกันและดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยก็ดู เหมือนจะมีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อสส.เสื้อแดงที่อยู่ในพรรค นั่นก็เป็นสิทธิของการนำของพรรคเพื่อไทย แต่นปช.ในฐานะองค์กรต่อสู้ของประชาชน เราจำเป็นที่ต้องยืนหยัดอยู่บนจุดยืนของประชาชนส่วนใหญ่และสัมผัสใกล้ชิดต่อ หัวใจประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมาหลายปี เราอยากจะแสดงความคิดเห็นว่าในสถานการณ์อันเดียวกันนั้น พรรคเพื่อไทยมีประกอบที่แตกต่างจากนปช. เพราะฉะนั้นคิดเห็นในพรรคเพื่อไทยจึงมีหลากหลาย สมาชิกของพรรคเพื่อไทยหลายคนใกล้เคียงเครือข่ายของระบอบอำมาตย์ด้วยซ้ำ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอาจจะยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีทัศนะและท่าทีต่อเหตุการณ์ที่ต่างกัน หรือแม้กระนั้นบางคนอาจจะไม่ประสงค์ที่จะให้เสื้อแดง นปช.เติบใหญ่แข็งแรงด้วยซ้ำ นี่คือทัศนะของผู้ปกครองที่จะมองผู้ถูกปกครองอย่างหวาดระแวง เป็นธรรมดาเราเข้าใจ

แต่ สำหรับนปช.นั้นเรามองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพันธมิตรที่แนบแน่น พูดง่ายๆว่าเราอยู่ฝั่งเดียวกัน ความคิดเห็นที่ต่างกันเราคิดว่าเป็นรองไม่ใช่ความขัดแย้งหลัก เราจึงสงวนท่าทีและรักษาท่าทีอย่างระมัดระวังไม่ให้ความขัดแย้งนี้เป็นความ ขัดแย้งหลัก ดังโฆษกได้พูดว่า แม้เราจะมีความคิดเห็นต่างกัน แต่จะให้คนเสื้อแดงไปเฮโลสาระพากับม็อบอุรุพงษ์หรือพรรคประชาธิปัตย์เป็นไป ไม่ได้แน่นอน เพราะนี่คือการกุมหลักการของนักต่อสู้แม้จะเจ็บปวดหรือหลายคนบอกแม้จะต้อง กลืนเลือดก็ตาม แต่ขาของเราต้องยืนอยู่ข้างประชาชนเต็มที่และเราเตือนเพื่อนเราว่าอย่าถลำไป ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งเป็นอันขาด นี่คือคำเตือนของเรา

เพราะ ฉะนั้นความคิดที่ต่างกันจึงทำให้การแก้ปัญหาต่างกัน บางส่วนจนกระทั้งเป็นความคิดครอบงำในพรรคเพื่อไทยนั้น ก็เป็นความคิดที่จะยุติเพื่อที่ไม่ได้ทำให้ความจริงปรากฏ เพราะคิดว่านี่จะเป็นหนทางที่แก้ปัญหาแต่เราคิดต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ฝ่ายอัยการได้มีการฟ้องร้องสุเทพ เทือกสุบรรณกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นี่น่าจะเป็นความยินดีปรีดาและคนเสื้อแดงเป็นอันมาก ขณะนี้การไต่สวนได้ดำเนินไปตลอดเวลา ในบางส่วนได้มีการออกมาพูดว่ากฏหมายนิรโทษกรรม(ถ้าสำเร็จ) การค้นความจริงก็ยังจะต้องค้นความจริงต่อไป อันนี้ไม่ใช่แน่นอนถ้านิรโทษกรรมสำเร็จ คดีความต่างๆที่กำลังดำเนินการอยู่ในศาลก็จะยุติไปหมด ไม่มีการคำว่ามีองค์กรค้นคว้าหาความจริงดังที่มีท่านบางท่านได้แถลงเมื่อคืน นี้ อันนั้นไม่ใช่ความจริงเราไม่อยากพูดว่าเป็นความเท็จแต่ท่านอาจจะไม่รู้ก็ได้ ประสบการณ์ของอ.ธิดาที่ผ่าน 6 ตุลามาพบว่ายินดีที่มีนิรโทษกรรม คดีความต่างๆการไต่สวนซึ่งกำลังสืบสาวไปหาสาเหตุและต้นตอทั้งหลายยุติ เพราะยิ่งสาวก็ยิ่งใกล้ ดังนั้นถ้ามีการนิรโทษกรรมก็หมายความว่าการไต่สวนหาความจริงที่มีการสังหาร ประชาชนทุกคดียุติหมด ไม่มีเรื่องที่บอกว่าจะมีองค์กรมาทำ อันนั้นไม่จริง

พูด ถึงเรื่องเมื่อคืน มีคำพูดบางอย่างที่บอกไว้ว่า เราไม่ไต่สวนในประเทศแต่เอาไปฟ้องร้องต่างประเทศ ก็ต้องขอพูดว่าไม่เป็นความจริง ไม่ควรจะเป็นนิทานที่หลอกกันซ้ำซากอีกต่อไป ถ้าคุณจริงใจจะให้ไปศาลยังโลก ขณะนี้เพียงแต่รมต.ต่างประเทศเซ็นชื่อรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เฉพาะกรณีเหตุการณ์เมษา-พฤษภา53 เท่านี้อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศก็เข้ามาดำเนินงานได้ นอกจากไม่ทำแล้วยังนิรโทษกรรมแล้วหน้าที่ไหนที่จะไปฟ้องศาลอาญาระหว่าง ประเทศ นี่เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นสองเรื่องนี้เราไม่รู้ว่าจะมีเรื่องเท็จเรื่องอื่นอีกหรือป่าว แต่ในฐานะมิตรสหายกันก็ขอเตือนว่าเรื่องอะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงอย่ามาหลอก คนเสื้อแดงเลย เพราะคนเสื้อแดงเขารู้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆเลย

เพราะ ฉะนั้นเราขอแสดงจุดยืนด้วยเหตุผลว่า เราจำเป็นที่เราจะยินดีให้มีพรบ.นิรโทษกรรม ก็ด้วยเหตุผลเดียวในเวลานั้นและเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี55 ตั้งแต่ที่โบนันซ่า เขาใหญ่ เราเสนอ 3 เรื่อง เรื่องที่1ก็คือนิรโทษกรรมประชาชน เรื่องที่2 ให้เซ็นรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ และเรื่องที่3 คือลุยการแก้ไขมาตรา291วาระ3 สามเรื่องนี้ไม่บรรลุเลยค่ะ และเรื่องนี้เราเสนอมาตั้งแต่ต้น เราจำเป็นที่จะต้องนำเสนอนิรโทษกรรมของเราเป็นพระราชกำหนด แล้วคุณวรชัย มาขออนุญาตว่า ขอออกเป็นพรบ. เนื้อหาเหมือนพระราชกำหนดของนปช. เพราะเราทนเห็นพี่น้องเราที่ได้รับความอยุติธรรมอยู่ข้างเดียวไม่ไหว เราจึงจำเป็นต้องขอนิรโทษกรรมฉบับประชาชนไปก่อน เพราะฉะนั้นคือการแสดงเจตนารมณ์และแสดงออกพรบ.นิรโทษกรรมฉบับวรชัย เหมะ ซึ่งมุ่งให้ประชาชนออกมาโดยเร็วที่สุดและขจัดความขัดแย้งทั้งปวง ทั้งหมดนี้ยังเป็นจุดที่พวกเรายังยืนอยู่เหมือนเดิม ครั้งแรกที่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลใหม่ๆ คุณณัฐวฒิ ใสยเกื้อก็เสนอพรบ.ปรองดองต่างหาก ซึ่งไม่เหมือนของพรรคก็มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน ก็คือนิรโทษประชาชนยกเว้นแกนนำในความหมายของผู้ก่อการร้ายและผู้กระทำฆ่าคน อย่างเล็งเห็นผลก็มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน เราจึงต้องขออภัยผู้สนับสนุน หรือผู้ที่เห็นด้วยกับร่างกรรมาธิการเสียงข้างมากประเภทยกเข่งหรือสุดซอยว่า เรามีหลักการและเหตุผลเช่นนี้ไม่ใช่ว่าด้วยอารมณ์ ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถเปลี่ยนจุดเดิมได้ เชื่อมั่นว่าจุดยืนอันนี้คือจุดยืนที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ในประเทศเห็นด้วย กับเรา เราเชื่อเช่นนั้น

ฉะนั้น ณ จุดยืนนี้เราก็ยังยืนยันเหมือนดังที่โฆษกพูดว่า เป็นความแตกต่างระหว่างความคิดเห็นระหว่างมิตรด้วยกันที่จะไม่ทำลายมิตรด้วย กัน สำหรับนปช.ไม่มีความคิดที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยเสียหายหรือทำลายพรรคเพื่อไทย แน่นอนค่ะ เราขอยืนยัน แต่ก็ขอเตือนเหตุการณ์ครั้งนี้ระบอบอำมาตย์ได้บรรลุจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่ง พรรคเพื่อไทยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ก็คือเขาสามารถทำให้คนเสื้อแดง มีบางส่วนที่แตกแยกกัน ทำให้เกิดความแตกต่างและแยกจำนวนหนึ่งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงหรือ นปช. เพราะฉะนั้นท่าทีระหว่างกันจึงสำคัญมาก ก็ขอร้องพี่น้องเราว่า ไม่ว่าจะมีความคิดต่างกันอย่างไรขอให้อยู่ที่จุดยืนที่ว่า นี่คือความแตกต่างความขัดแย้งระหว่างประชาชนข้างเดียวกันที่ไม่ต้องการทำลาย ล้างกัน นี่ไม่ใช่ความขัดแย้งเรากับอำมาตย์ อย่าทำให้ระบอบอำมาตย์นั้นได้บรรลุวัตถุประสงค์เป็นอันขาดโดยการทำลายคน เสื้อแดงหรือทำลายนปช. มิฉะนั้นแล้วโศกนาฎกรรมก็จะเกิดขึ้นกับฝ่ายประชาชนทั้งหมด

เรื่อง ที่สองก็คือ อัยการฟ้องร้องพรรคประชาธิปัตย์เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ อภิสิทธิ์และสุเทพ เทือกสุบรรณ เราหวังว่ากรณีนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศไทยนั้นความจริงต้องปรากฏ การไต่สวนกำลังดำเนินไป นี่ต้องไม่ใช่ละครฉากหนึ่งแต่เราต้องการให้เป็นเรื่องจริงต้องดำเนินต่อไป อย่าให้เป็นเพียงการแสดงของระบอบอำมาตย์เป็นอันขาด เพราะว่าคนเสื้อแดงจะไม่ต้องการเล่นละครด้วยกับระบอบอำมาตย์เป็นอันขาด

สุด ท้ายก็คือ ขอเชิญชวนพี่น้องไปให้มาก จะมีการปราศรัย การวางพวงหรีด การเปิดอนุเสาวรีย์ของคนสามัญชนเป็นคนแรกในที่สาธารณะก็คือ นวมทอง ไพรวัลย์ เพื่อแสดงการยืนยันว่าเรานั้นยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการต่อต้านรัฐประหาร ทุกรูปแบบ แล้วคนเสื้อแดงนั้นจะกุมความขัดแย้งหลักไว้ได้ เราจะไม่ให้เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องผลประโยชน์เข้ามาทำลายการต่อสู้ของ ประชาชนเป็นอันขาดฝั่งระบอบอำมาตย์และกลุ่มอนุรักษ์นิยมล้าหลังสุดขั่วเหล่า นี้ ที่เขากลัวที่สุด นี่เป็นเรื่องสำคัญผ่านมาร่วม100ปียังไม่มีขบวนการประชาชนไหนเข้มแข็งเหมือน คนเสื้อแดง เพราะฉะนั้นเรามาร่วมกันด้วยจิตวิญญาณครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าเราพูดเพื่อให้ญาติคนตายสบายใจ ปัญญานิรโทษกรรมให้กับคนฆ่าประชาชนนั้น นี่เป็นการต่อสู้สำหรับวีรชนในอดีต ปัจจุบันและอนาคต นี่ไม่ได้ทำเพื่อให้ญาติวีรชนสบายใจอย่างที่หลายคนคิดและก็คิดว่าถ้าเยียวยา ด้วยเงินจำนวนหนึ่งแล้วก็น่าจะเรียบร้อย การเยียวยาไม่ได้มีเฉพาะเรื่องเงิน สำคัญก็คือเยียวยาชื่อเสียงของประชาชนทั้งหมดที่ได้ร่วมกันต่อสู้แล้วถูกตรา หน้าว่า เป็นผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง เป็นการเยียวยาเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของประชาชนและคนเสื้อแดงทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องเฉพาะญาติวีรชนอย่างเดียวค่ะ

ด้านคุณจตุพร พรหมพันธุ์แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้างเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) 

ได้กล่าวถึง สถานการณ์ในขณะนี้ เป็นการวัดหัวใจของคนเสื้อแดง  ว่าเราจะมีจุดยื่นที่แข็งแกร่งและมั่นคงหรือไม่  


ด้าน ผมเองและพรรคเพื่อไทยหรือ นปช.เราเคยพูดว่าจะเอาพ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านนี่เป็นเรื่องจริงแต่เราไม่เคย พูดว่า จะปล่อยฆาตกรให้พ้นผิดแม้แต่เพียงครั้งเดียว แต่เราเองก็เห็นว่าเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยที่แวดล้อมรัฐบาลชุดนี้เขาไม่ได้ ซื่อสัตย์กับรัฐบาลชุดนี้  การปล่อยกลลวงต่างกรรมต่างวาระ ตั้งแต่การเสนอพ.ร.บ.ปรองดองในห่วงเวลาที่กำลังรอโหวตรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ขณะที่บอกให้พรรคเพื่อไทยตายใจ ผมเองก็ไม่ใช่ บอกให้ณัฐวุฒิรวมร่วมรายชื่อเสนออีกทางหนึ่ง ไม่ปลดปล่อยฆาตกรและพวกผมให้ดำเนินคดีต่อไป 

แต่ เราได้พิสูจน์ชัดเจนว่า  เครือข่ายอำมาตยาธิปไตยนั้นหลอกเราให้เชื่อสนิท แล้วไปบอกให้พรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรทุกเครือข่าย เตรียมตัว ทันทีที่เสนอพ.ร.บ.ปรองดองพวกนั้นล้อมสภาเรียบ ในที่สุดก็เดินต่อไปไม่ได้ รัฐธรรมนูญมาตรา 291 ก็ถูกหยุดชะงักตามไปด้วยทั้งที่รออีกหนึ่งสัปดาห์ เราก็จะได้โหวตรัฐธรรมนูญมาตรา 291 แล้ว 

บัด นี้เรามี สสร.เรมมีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชนขึ้นมาใหม่แล้ว แต่เพราะเราไปเชื่อเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย บัดนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่จะหลอกให้ฝ่ายประชาชน หลอกพรรคเพื่อไทย บอกว่าให้เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปแก้ไขฉบับวรชัย หน้าเสนอหน้าเป็นวรชัย ออกมาเป็นประยุทธ แล้วก็บอกว่าสุดซอย

เวลา นี้ต้องรู้ตัวอย่างหนึ่งว่า เรากำลังถูกลวงไปฆ่าในซอยตัน พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการประชุมกันตั้งแต่เมื่อวานนี้  วันนี้ก็ได้แถลง สี่ รองหัวหน้าพรรคลาออกจากกรรมการบริหาร สุเทพ นัดชุมนุม 6 โมงเย็นวันพรุ่งนี้ ที่สถานนี้รถไฟสามเสน ซึ่งเป็นตะเข็บรอยต่อ ของพ.ร.บ.ความมั่นคง มีการระดมผู้คน ในเขตพื้นที่พรรคประชาธิปัตย์ ในทุกภูมิภาค และในกรุงเทพ 


ตั้งแต่ในวันพรุ่งนี้เราไม่รู้ว่าในการพิจารณาในสภานั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นอกสภาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง  

และ เราต้องรู้อย่างหนึ่งว่า วันที่ 11 พฤศจิกายนนั้น จะเป็นวันตัดสินของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารก่อนหน้านี้ในวันที่ 8 พฤศจิกายน  จะมีการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นเรื่องการแก้ที่มาของสว. ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองซึ่ง ตั้งโทษไปถึง ยุบพรรคตัดสิทธิ์ทางการเมือง ดำเนินคดีทางอาญา หลังจากนั้นปปช. ก็ประกาศชัดเจนว่า เรื่องจำนำข่าว เขาจะให้จบในเดือนพฤศจิกายน  พรรคประชาธิปัตย์ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้ว่างใน ห่วงเวลาในวันที่ 10 เศษๆ เพราะสภาจะปิดสมัยประชุม ในวันที่ 28 พฤศจิกายน  เพราะฉะนั้นมรสุมทุกทิศทาง ไม่รู้กี่เท้าจะถาโถมเข้าในในรัฐบาลนี้ 

การ เสนอปลดปล่อยฆาตกรนี่เป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์แล้ว ผมต้องบอกกับพรรคเพื่อไทยว่า อย่าได้ผลักให้พวกผมเป็นศัตรู 3 คนที่ประกาศงดออกเสียงไม่ว่าจะเป็นณัฐวุฒิ หมอเหวง วรชัย ถ้าคุณจะใช้กติกาของพรรคปลดเขาออกจากสมาชิก ให้บวกผมไปด้วย จตุพร พรหมพันธุ์ อีกคน 


แต่ ผมจะไม่ยื่นลาออกจากสมาชิกพรรค เพราะผมต้องการให้สติพรรคเพื่อไทยว่า ในการตัดสินใจ โดยอ้างว่าสุดซอยนั้น ท้ายที่สุดถ้าคุณถูกลวงไปฆ่า เมื่อหันหลังกลับมาคุณจะไม่เหลือใครอีกเลย พวกผมจึงไม่มีหน้าที่ ที่จะไปสนับสนุน 

การ ที่มาบอกว่าจะใช้กฎเหล็กบังคับสมาชิกซึ่งเป็นเพื่อนมิตรที่ร่วมเป็นร่วมตาย กับพี่น้องคนเสื้อแดงนั้น คนที่ประกาศกฎเหล็กนั้น คุณเคยร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงสักครั้งบ้างไหม พวกผมเองเรารักพรรคเพื่อไทย รักรัฐบาลชุดนี้ แต่เราไม่มีวันที่จะสนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยไปปลดปล่อยฆาตกรที่ฆ่าพี่น้อง เราเด็ดขาด 

เพราะ ฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังเผชิญหน้าในขณะนี้นั้น ผมต้องเรียนตรงๆว่า สถานการณ์ทางการเมือง ที่ถูกหลอกทางการเมืองในเดือนพฤษภาคม ปี2555 ในการเสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดองนั้น หรือการหลอกของประธานองค์กรอิสระคนหนึ่ง ที่เสนอให้มีการทำประชามติ และพวกกระผมไปทักท้วงอย่างรุนแรง ที่โบนันซ่านั้น ยังเบากล่าวการลวงไปฆ่าในในซอยตัน ให้มีการแสดงตนไม่อีนังขังตอกับความตายของคนเสื้อแดง และเมื่อไม่สำเร็จ ก็มีการตั้งเป้ากันว่า พรรคกับคนเสื้อแดงก็จะกลายเป็นปัญหา แต่เมื่อเรายืนอย่างแข็งแรง 


แน่ นอนที่สุดเขาก็เดินมาตอกลิ่มกับคนเสื้อแดง ว่าให้สนับสนุนสุดซอยไปเถิด ให้ปลดปล่อยฆาตกรไปเถิด แล้วอ้างว่าเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน ผมบอกว่าเอานายกทักษิณกลับบ้าน ทำเถิดจะทำวิธีใดก็ตามไม่ว่าจะอยู่ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำทุกเรื่องราว คนเสื้อแดงพร้อมจะแลกชีวิตให้ แต่อย่างใดเอากรณีของการกลับมาของพ.ต.ท.ทักษิณไปเดิมพันด้วยการปลดปล่อย อภิสิทธิ์กับสุเทพ 

ดัง นั้นเหตุการณ์ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป ซึ่งผมไม่รู้ว่าถัดจากวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราต้องรู้อย่างหนึ่งว่า เป้าหมายสิ่งที่ฝ่ายตรงกันข้ามเขากลัวที่สุด คือความแข็งแรงของคนเสื้อแดงที่จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับรัฐบาล ประชาธิปไตย แต่ไอ้พวกนั้นมันหลอกล่อ บอกว่าเสื้อแดงแข็งแรงและจะกลายเป็นปัญหาของรัฐบาล เพราะมันต้องการฆ่ารัฐบาล มันต้องฆ่าคนเสื้อแดงก่อน ถ้าคนเสื้อแดงสามัคคีกัน เครือข่ายอำมาตยาธิปไตยไม่สามารถแทรกตรงการของคนเสื้อแดงได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องยืมมือคนเสื้อแดงด้วยกันเพื่อที่จะมาสลาย

ผม ต้องเรียนเพื่อนหมู่มิตรว่า ตำแหน่งแห่งหน  ลาภยศสรรเสริญแม้ว่าในห้วงเวลาในชีวิต อาจจะมีเศษเสี้ยวชีวิตเผลอคิดไปบ้าง แต่มันเล็กกว่า กับความตายและความสูญเสียของประชาชน ซึ่งจะนำมาแลกไม่ได้เลย ไม่ว่าเกียรติยศ ชื่อเสียงก็ตาม 


ผม ถือว่าตลอดระยะเวลาของคนเสื้อแดงนั้นในห่วงของการเป็นรัฐบาล เราได้พยายามประคับประคองรัฐบาล แทบจะไม่ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เครือข่ายอมาตย์ จนกระทั่งชักจะลืมพล.อ.เปรม ไปนานแล้ว เพื่อต้องการให้รัฐบาลเดินหน้า พยายามไม่วิพากษ์พิจารณ์กองทัพ เพื่อต้องการให้รัฐบาลเดินหน้า ยกให้ๆ

มา วันนี้ถามว่า จะต้องให้พวกผมยกนายอภิสิทธิ์กับสุเทพให้อีกเหรอ ไม่เหลืออะไรแล้ว นปช.จึงอยู่ในสภาพหวานอมขมกลืนมาโดยตลอด เพราะเราต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าตลอด 2 ปีนี้ไม่ข้องแวะ สี่เสาเลยไม่กระทบกับกลไกของอำนาจรัฐใดๆเลย แต่มาวันนี้จะให้มาพวกผมไปสนับสนุน ไปแสดงความยินดี และก็บอกว่า มาร่วมนับหนึ่งประเทศไทยกัน ก็พรรคประชาธิปัตย์เขาไม่ร่วมนับหนึ่งด้วย ฆาตกรมันยังนับศพอยู่เลย ขณะที่เรานับหนึ่ง

ผม จึงบอกว่า ณ ขณะนี้ เราต้องพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา และผมเองก็เห็นว่า ขบวนการคนเสื้อแดงที่ท่านอ.ธิดาได้บอกว่า ถ้าวันนี้มันล่มสลายเพราะเราจิตใจที่ไม่เข็มแข็งพอ อีกร้อยปีไม่รู้จะสร้างขบวนประชาชนที่ยิ่งใหญ่กว่าคนเสื้อแดงนี้ได้อีกหรือ ไม่ 


พวก ผมทุกคนไม่มีใครคิดอยู่ถึงร้อยปีแต่ขบวนการประชาชนนี้จะต้องอยู่อีกเป็นนับ ร้อยปี เพราะฉะนั้นในวันที่รุ่นของเรายังอยู่ เราจะทำลายขบวนการประชาชนที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้ 

การ ต่อสู้ที่ผ่านมานั้น เราไม่เคยสำเร็จแม้แต่เพียงข้อเดียว รัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ ฆาตกรก็ไม่ถูกลงโทษ แล้ววันนี้เรากำลังจะปล่อยฆาตกร ถามว่าตลอดเส้นทางการต่อสู้นั้น เราได้จับสัมผัสใดๆบ้างที่เป็นความสุข ความสุขชิ้นเดียวที่กำลังได้ คือเอาฆาตกรไปดำเนินคดีในศาลสถิตยุติธรรม คุณก็กลับทำลายความสุขที่เรามีได้ 

เพราะ ฉะนั้น ผมเรียนยืนยันว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมไม่สนใจ ไม่เป็นอะไรเลยในชีวิตนี้ก็ไม่สนใจ เพราะตำแหน่งที่ไม่มีใครปลดผมได้คือ  คนเสื้อแดงตำแหน่งเดียว แล้วไม่ต้องกลัวว่า ผมจะทรยศใดๆกับพรรคเพื่อไทย ผมไม่มีวันจะทำอย่างนั้น แต่พรรคเพื่อไทยต้องตั้งคำถามกลับพรรคเพื่อไทยเองว่า จะปฏิบัติอย่างเดียวกับที่ผมปฏิบัติกับพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า 

เพราะ ฉะนั้น ขบวนการของเรานั้นจะต้องเดินด้วยความยากลำบาก ผมไม่รู้ว่า เราจะเหลือกี่คนในวันนั้น แต่ผมรู้ว่าประชาชน พี่น้องที่ร่วมฉะตากรรมที่มีความรู้สึก จะได้คิดเหมือนกับที่อยู่ที่นี่ทุกคนว่า เราจะลืมความตาย การบาดเจ็บ การสูญสิ้นอิสรภาพของพวกเรามิได้ 

และ ที่สำคัญที่สุดตลอดระยะเวลาที่ฆ่า จนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยมีคำว่าขอโทษเสียใจ สำนึก รับผิดชอบต่อการกระทำจากฆาตกรแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวคำ มีแต่การเยาะเย้ยถากถางว่า ผู้ก่อการร้าย เป็นคนเลว เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกล้มล้างสถาบัน จะเยียวยาขัดขวาง นิรโทษปลดปล่อยประชาชนไม่ยอม นี่คือท่าทีของฆาตกร ที่แสดงเหยียบย้ำหัวใจของคนเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 10 เมษา 

จน ถึงปัจจุบัน วันที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องสองคนนั้น ซึ่งจะต้องนำตัวไปส่งศาลแล้วจะต้องตกเป็นจำเลยในคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็ง เห็นผลนั้น คนเหล่านี้ก็จะตกเป็นจำเลย คดีจะพิจารณาเป็นกี่ปีนั้นก็ว่ากันไป พวกผมก็ถูกดำเนินคดี ชีวิตกับชีวิตแลกกันไป แต่เป็นวันที่พี่น้องประชาชนที่ร่วมในการต่อสู้นั้นจะเป็นวันที่เขามีความ สุขที่สุด ว่าสองคนนี้บัดนี้ได้ ตกเป็นจำเลยฐานฆ่าคนตายแล้ว แต่คนเหล่านั้นยังไม่ได้เฉียดคุก แม้แต่เพียงวินาทีเดียว 

ปรากฏว่าทันทีที่อัยการสั่งฟ้อง วันรุ่นขึ้นฝ่ายเราก็เสนอปลดปล่อยสองคนนั้นทันที 

ผม ต้องเรียนกับท่านตรงๆว่า เราไม่ได้มีจิตใจอาฆาตและที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ที่ท่านอ.ธิดา บอกชัดเจนว่าเราไปหวังศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ชาติหน้าก็ไม่มีทาง ถ้าอภิสิทธิ์ สุเทพได้เป็นรัฐบาล เสนอนิรโทษกรรมให้กับตัวเองสิครับ ไอ้อย่างนั้นเราร้องศาลอาญาระหว่างประเทศได้ เพราะกระบวนการยุติธรรมในประเทศเราไม่เดิน นี่เป็นฝ่ายผู้ฆ่า ไปนิรโทษกรรมให้กับฆาตกร ทั้งที่ฆาตกรมันจะประกาศยโสโอหัง ประกาศไม่รับ แล้วเรายังดึงดันให้มันจนถึงขณะนี้  


ผม ต้องเรียนอย่างตรงไปตรงมาว่า ขบวนการโคนล้มรัฐบาล ในท่ามกลางการตอกลิ่มและต้องการให้เสื้อแดงมาอธิบายโทรทัศน์หลังจากผมเนี่ย ทำไปเถิดถ้าคิดว่าเป็นหนทางสำเร็จ ขอให้โชคดีก็แล้วกัน แต่ผมต้องเรียนว่า การพิสูจน์นั้นมันจะเป็นอย่างเร็วมาก ไม่กี่วันก็จะเห็นว่าถูกลวง ถูกหลอกกันอย่างไร ผมบอกว่าคนเสื้อแดงเราไม่มีหน้าที่จะโดนหลอก

เรา ได้พยายามชวนแล้วว่าอย่าเข้าไปซอยเลยมันซอยตัน ฆาตกรมันจะลวงไปฆ่า ออกมาถนนใหญ่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับ 291 หรือ 309 ออกมาถนนใหญ่กันดีกว่า แต่ถ้าพาเราไปถูกฆ่าในซอยด้วย มันไม่เหลือใครจริงๆ แล้วประเภทเราเมื่อเข้าไปสุดซอย ไปถึงซอยตันแล้วพอมีเรื่องแล้วไม่หนีซะด้วยสิ แล้วไอ้พวกพาไปหายหน้าไปไหนไม่รู้อีก แล้วก็ไปตายเรียบในซอยตัน ชันสูตรผลิกศพว่าเป็นชายไทยเสื้อแดงอีกแล้ว ครับท่าน 


ผม จึงบอกว่าผมไม่ร่วมเข้าซอยตันนี้ด้วย ผมจะมารอที่ถนนใหญ่ เพราะว่าขบวนการประชาชนนี้เราจะพาประชาชนไปถูกฆ่าอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่เป็นความรักระหว่างเรากับพรรคเพื่อไทย ผมจึงเรียนว่าใครก็ตามที่กำลังจะแสดงให้เห็นว่า การที่เรามีความเห็นต่างนั้นเป็นศัตรูกับพรรคเพื่อให้ตัวเองดูดีนั้น คุณอย่าได้ทำเลย ซึ่งผมรู้ว่าคนเสื้อแดงแยกความถูกต้องชั่วดีได้ ผมจึงเรียนกับท่านว่า เรารักพรรคเพื่อไทยเราจึงต้องพูดความจริงกับเขา แม้ว่าการพูดความจริงเขาอาจจะไม่ชอบ

แต่ เรามีบทเรียน ความตายและหนทางตลอดระยะเวลา ที่ผ่านมานั้น บทเรียนชีวิตเรามากมายเพราะฉะนั้นมันจึงข้ามพ้นความรู้สึกใดๆทั้งปวง ผมจึงบอกท้ายที่สุดประชาชนจะได้ตัดสินใจ การแสดงจุดยืนทางความรู้สึกนั้น แม้ว่าจะเหลือแค่คนเดียวก็ยังต้องแสดงจุดยืนอยู่ แต่ต้องขอบคุณพี่น้องว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นพี่น้องได้ร่วมแสดงจุดยืน เป็นจำนวนมากและมากจริงๆและจะมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าพรรคเพื่อไทยเดินไปผิดพลาดอย่างน้อยที่สุดยังเหลือขบวนการคนเสื้อ แดงอยู่

แต่ ถ้าคนเสื้อแดงเดินผิดพลาดไปด้วยคุณก็จะไม่เหลือใคร เพราะฉะนั้นการตัดสินใจของเราเพื่อรักษาประชาธิปไตย ให้ดำรงอยู่ต่อไป แม้ว่าวันนี้ใครจะเข้าใจผิดอย่างไรก็ชั่ง เรารู้ใจเราว่าเราบริสุทธิ์ใจที่ต้องการรักษาขบวนการประชาธิปไตยนี้ได้อยู่ ยืนยาวที่สุด 


วัน หนึ่งเมื่อคุณได้รู้ว่าถูกหลอกมาเหมือนเดิมคุณก็จะรู้ว่าคนเสื้อแดงยังยื่น อยู่อย่างแข็งแกร่งและไม่ยอมให้ใครมาทำลายขบวนการประชาธิปไตย