ที่มา เฟซบุ๊ค Thanapol Eawsakul
และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
ประจักษ์ ก้องกีรติ
บทที่ 1 สู่การเมืองวัฒนธรรมไทยสมัย 14 ตุลาฯ 3
- การเมืองของอดีต ประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน :14 ตุลาฯ กับสังคมการเมืองไทย
- ปัญหาว่าด้วยขบวนการนักศึกษาปัญญาชนกับการอธิบาย 14 ตุลาฯ
- ว่าด้วยขอบเขตและวิธีการ
บทที่ 2 การก่อตัวทางสังคมของนักศึกษาและเครือข่ายวาทกรรมของปัญญาชน
- นักศึกษาธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2500 - 2516
- นักศึกษาในฐานะชนชั้นนำของสังคม
- ปัญญาชนกับการสร้างเครือข่ายวาทกรรม
บทที่ 3 รัฐบาลทหารกับวัฒนธรรมสงครามเย็น : สงครามอินโดจีนกับการควบคุมความจริง
- วัฒนธรรมสงครามเย็น
- วิกฤตในลาวกับการเข้าพัวพันในสงครามอินโดจีน :คำอธิบายเรื่อง “ศัตรูข้างบ้าน”, การ “ป้องกันตัวเอง” และ “มหามิตร”
- แหล่งข้อมูลข่าวสารราชการกับสงครามโฆษณาชวนเชื่อ
- จากลาวสู่เวียดนาม
- ระบอบเผด็จการทหารกับความลับในสงครามอินโดจีน
- ข่าวต่างประเทศ : ความจริงจากภายนอก
บทที่ 4 การก่อตัวของกระแสการต่อต้านสงครามเวียดนาม : วาทกรรมจากภายนอก ความคิดประชาธิปไตย และกระแสชาตินิยม
- บทบาทของปัญญาชน
- “ซ้ายใหม่”: การต่อต้านสงคราม สังคมนิยม-ประชาธิปไตยและพลังนักศึกษา
- กระแสต่อต้านสงครามในวรรณกรรม
- สู่การเคลื่อนไหวในรั้วมหาวิทยาลัย : การคัดค้านสงครามต่อต้านรัฐบาล และกระแสชาตินิยม
- นักศึกษากับการแพร่กระจายความรู้สู่สาธารณะ
- วาทกรรมจากอดีตกับการต่อต้านสงคราม
บทที่ 5 การรื้อฟื้นวาทกรรมจากอดีต : กษัตริย์ประชาธิปไตยและความคิดสังคมนิยม
- รัฐเผด็จการกับการทำลายความทรงจำ และการแยกปัญญาชนออกจากสาธารณะ
- การรื้อฟื้นวาทกรรม “สังคมนิยม” จากอดีต :การเชื่อมต่อประสบการณ์และแรงบันดาลใจทางการเมือง
- วาทกรรมกษัตริย์ประชาธิปไตย
บทที่ 6 บทสรุป : แบบเรียนการเมืองวัฒนธรรมจาก 14 ตุลาฯจากสงครามวาทกรรมสู่การเมืองบนถนนราชดำเนิน
- จาก 14 ถึง 6 ตุลาฯ
- แบบเรียนทางการเมืองวัฒนธรรมจาก 14 ตุลาฯ
- เครือข่ายวาทกรรม
- ชาตินิยมกลายพันธุ์
- วาทกรรมราชาชาตินิยมประชาธิปไตย
- ศิลปะและการเมืองของการอ้างอิงนอกบริบท
ประจักษ์ ก้องกีรติ
- การเมืองของอดีต ประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน :14 ตุลาฯ กับสังคมการเมืองไทย
- ปัญหาว่าด้วยขบวนการนักศึกษาปัญญาชนกับการอธิบาย 14 ตุลาฯ
- ว่าด้วยขอบเขตและวิธีการ
- นักศึกษาธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2500 - 2516
- นักศึกษาในฐานะชนชั้นนำของสังคม
- ปัญญาชนกับการสร้างเครือข่ายวาทกรรม
- วัฒนธรรมสงครามเย็น
- วิกฤตในลาวกับการเข้าพัวพันในสงครามอินโดจีน :คำอธิบายเรื่อง “ศัตรูข้างบ้าน”, การ “ป้องกันตัวเอง” และ “มหามิตร”
- แหล่งข้อมูลข่าวสารราชการกับสงครามโฆษณาชวนเชื่อ
- จากลาวสู่เวียดนาม
- ระบอบเผด็จการทหารกับความลับในสงครามอินโดจีน
- ข่าวต่างประเทศ : ความจริงจากภายนอก
- บทบาทของปัญญาชน
- “ซ้ายใหม่”: การต่อต้านสงคราม สังคมนิยม-ประชาธิปไตยและพลังนักศึกษา
- กระแสต่อต้านสงครามในวรรณกรรม
- สู่การเคลื่อนไหวในรั้วมหาวิทยาลัย : การคัดค้านสงครามต่อต้านรัฐบาล และกระแสชาตินิยม
- นักศึกษากับการแพร่กระจายความรู้สู่สาธารณะ
- วาทกรรมจากอดีตกับการต่อต้านสงคราม
- รัฐเผด็จการกับการทำลายความทรงจำ และการแยกปัญญาชนออกจากสาธารณะ
- การรื้อฟื้นวาทกรรม “สังคมนิยม” จากอดีต :การเชื่อมต่อประสบการณ์และแรงบันดาลใจทางการเมือง
- วาทกรรมกษัตริย์ประชาธิปไตย
- จาก 14 ถึง 6 ตุลาฯ
- แบบเรียนทางการเมืองวัฒนธรรมจาก 14 ตุลาฯ
- เครือข่ายวาทกรรม
- ชาตินิยมกลายพันธุ์
- วาทกรรมราชาชาตินิยมประชาธิปไตย
- ศิลปะและการเมืองของการอ้างอิงนอกบริบท
คำนำสำนักพิมพ์
ยังจะมีอะไรให้ศึกษาอีกหรือ ?
คือ คำถามที่ ประจักษ์ ก้องกีรติ ได้รับอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อคิดจะศึกษาประวัติศาสตร์14 ตุลาฯ ขณะเรียนอยู่ปริญญาโท
สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หากก็เป็นดังที่ผู้เขียนกล่าวไว้ว่า
“ยิ่งอ่านยิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ มากขึ้นเท่าไร
ก็ยิ่งพบความไม่ลงตัว
พบประเด็นคำถามชวนฉงนอันเป็นปริศนาที่ยากแก่การตอบมากขึ้นตามลำดับ
อันตรงกันข้ามกับความเห็นของคนจำนวนมากที่เชื่อว่า[14 ตุลาฯ]
ไม่มีอะไรให้ศึกษาอีกแล้ว” จึงเป็นที่มาของวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของเขาเรื่อง
“ก่อนจะถึง 14 ตุลาฯ :
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนภายใต้ระบอบเผด็จ
การทหาร (พ.ศ. 2506-2516)” ในปี 2545
ซึ่งภายหลังปรับปรุงมาเป็นหนังสือ และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ : การเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนก่อน 14 ตุลาฯ
ข้อเสนอหลักประการหนึ่งของงานชิ้นนี้คือ
การก่อตัวทางความคิดของนักศึกษาประชาชนอันนำไปสู่การโค่นล้มอำนาจเผด็จการ
ทหารที่สืบทอดอำนาจมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่รัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ในปี 2500 กระทั่งสิ้นสุดไปในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ
นั้นมีที่มาจากหลากหลายแหล่ง
ทั้งยังแลดูย้อนแย้งกันชนิดไม่น่าจะไปด้วยกันได้เสียด้วยซ้ำเมื่อมองจากอีก
ยุคสมัยหนึ่ง
ข้อเสนอทำนองนี้อาจฟังดูธรรมดา เพราะขบวนการมวลชนขนาดใหญ่ไม่ว่าที่ไหนในโลก
ปรกติแล้วก็หาได้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่เฉกเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่ทำให้งานศึกษาของประจักษ์มีความโดดเด่นและมีความสำคัญยิ่งก็คือ
การแสดงให้เห็นว่าความหลากหลายย้อนแย้งดังกล่าวได้กลายมาเป็นมรดกและเพดาน
ทางการเมืองที่สืบทอดมาถึงปัจจุบันนี้ด้วยซึ่งปรากฏให้เห็นอย่างชัดแจ้งชนิด
ยากจะจินตนาการไปถึงก่อนหน้าที่งานศึกษาชิ้นนี้จะปรากฏสู่บรรณพิภพครั้งแรก
ไม่นานหลังหนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2548
สังคมไทยก็ตกอยู่ภายใต้สภาวะทางการเมืองที่คุกรุ่น
ด้วยวาทกรรมพระราชอำนาจอันก่อตัวมาตั้งแต่ 14 ตุลาฯ
เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง จนนำไปสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
แล้วเราก็ได้เห็นปรากฏการณ์ที่ปัญญาชน 14 ตุลาฯ
จำนวนมากที่ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ของประชาชน กลับขานรับรัฐประหารในครั้งนี้
หนังสือเล่มนี้ช่วยทำความเข้าใจว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวมิได้เป็นเหตุบังเอิญ
ทางประวัติศาสตร์ หากแต่มีเชื้อมูลมาตั้งแต่ก่อน 14 ตุลาฯ
ที่วาทกรรมพระราชอำนาจหรือ “ราชาชาตินิยมประชาธิปไตย”
ยังคงทำงานอย่างทรงพลังในทางการเมือง และยิ่งทำให้ตระหนักว่า
“ประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลาฯ” นั้นมีข้อจำกัดอย่างไร
ฉะนั้นคงไม่เกินเลยนักที่จะกล่าวว่า หากเราต้องการเข้าใจการเมืองไทยในปัจจุบันอย่างถึงรากแล้ว หนังสือ และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ : การเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนก่อน 14 ตุลาฯ ของ ประจักษ์ ก้องกีรติ มีความจำเป็นอย่างยิ่งการนำงานชิ้นนี้มาพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ 2 โดย “ฟ้าเดียวกัน”
เป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดพิมพ์หนังสือชุด “สยามพากษ์”
ซึ่งเราได้คัดเลือกหนังสือที่เห็นว่ามีความสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจความ
เปลี่ยนแปลงของสังคมการเมืองไทยในยุคสมัยนั้นๆ
ขณะเดียวกันจุดร่วมของหนังสือชุดนี้คือการท้าทายหรือหักล้างงานศึกษาก่อน
หน้าด้วยข้อมูลและ/หรือกรอบทฤษฎี
แน่นอนว่าไม่มีงานวิชาการชิ้นใดปราศจากจุดอ่อนให้วิพากษ์หักล้าง
ไม่เว้นแม้แต่งานที่เราได้คัดสรรมาจัดพิมพ์ แต่เราเชื่อว่าหนังสือชุด
“สยามพากษ์” นี้เป็นงานที่ “ต้องอ่าน” ไม่ว่าจะเห็นพ้องด้วยหรือไม่ก็ตาม
ท่ามกลางยุคสมัยที่ดูประหนึ่งอะไรๆ ก็กลับตาลปัตรไปเสียหมด
อาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้ “มาก่อนกาล”
และทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ตัวละครทั้งหลายยัง
โลดแล่นมีบทบาทมีชีวิตอยู่ร่วมยุคร่วมสมัยกับเรา
ดังที่ผู้เขียนทิ้งท้ายไว้ว่า
“ผลงานทางปัญญาที่ทำไว้ในวันนี้ อาจจะไม่ได้มีบทบาททางการเมืองเพียง ณ เวลาที่มันถูกผลิตขึ้นมา เพราะในฐานะการเป็นคลังสมบัติทางปัญญา มันมีศักยภาพที่จะกลับมามีบทบาทได้เสมอในวันใดวันหนึ่ง เมื่อการเมืองของอดีตมาบรรจบกับการเมืองของปัจจุบัน”
ประจักษ์ ก้องกีรติ
คำนำ สำหรับพิมพ์ครั้งที่ 2
เมื่อครั้งที่ และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏฯ ตีพิมพ์ครั้ง
แรกในปี 2548
ผู้เขียนมิได้คาดคิดว่าหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองความยาวกว่า 500
หน้าที่มีเชิงอรรถรกรุงรังจะได้รับความสนใจมากเท่าใดนักจากผู้อ่านทั่วไป
เพราะคิดว่ากลุ่ม ผู้อ่านคงจะจำกัดอยู่ในกลุ่มนักศึกษาและนักวิชาการวงแคบๆ ที่ศึกษาการเมืองไทยช่วง 2500-2516
มิพักต้องพูดถึงความนึกฝันว่าจะมีโอกาสได้ตีพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 2
ต่อเมื่อ งานชิ้นนี้เผยแพร่มาแล้วหลายปี จึงได้ทราบ (ทั้งทางตรงและทางอ้อม)
ว่ามันถูกนำไปใช้ในการเรียนการสอนในหลายสาขาวิชานอกเหนือจากประวัติศาสตร์
และรัฐศาสตร์ด้วย อาทิ นิเทศศาสตร์ วรรณคดี ภาษาไทย วัฒนธรรมศึกษา ฯลฯ
นอกจากนั้น มันยังถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์ อภิปรายถกเถียงในหลายที่หลายโอกาสรวมทั้งในโลกไซเบอร์ (บางกรณีค่อนข้างดุเดือดรุนแรง)
ที่ผ่านมามีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและเห็นต่างกับการตีความประวัติศาสตร์ที่งาน
ชิ้นนี้นำเสนอเอาไว้
ซึ่งย่อมเป็นธรรมชาติของงานวิชาการทุกชิ้นที่ล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของกาล
เวลาที่ผ่านพ้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดหวังให้ผู้อ่านทุกคน
นักวิชาการทุกท่าน ไม่ต้องพูดถึงตัวละครที่ถูกพาดพิงถึง(ซึ่งในกรณี 14
ตุลาฯ ส่วนใหญ่ยังมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในปัจจุบัน)
มาเห็นพ้องต้องกันกับข้อเสนอของผู้เขียน
แม้เหตุการณ์ในอดีตจะจบไปแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ของอดีตมักจะไม่จบตามไปด้วย
และการถกเถียงที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับความหมายทางประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ใด
ก็ตามย่อมเป็นคุณมากกว่าโทษ
เพราะมันเป็นเครื่องบ่งชี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมนั้นยังสนใจใคร่รู้เกี่ยว
กับรากเหง้าและตัวตนในอดีตของตนเอง
ในแง่มุมนี้ 14 ตุลาฯ เป็นประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ตาย
แรงบันดาลใจเบื้องหลังหนังสือเล่มนี้
เกิดขึ้นมาจากความเชื่ออันแรงกล้าของผู้เขียนเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา
ปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าประวัติศาสตร์ 14 ตุลาฯ
เป็นประวัติศาสตร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ ไม่ลงตัว และไม่มีข้อสรุปอันกระจ่างชัด
มองในแง่ดีมันคือประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต
เต็มไปด้วยปริศนาที่ชวนให้ค้นหาคำตอบโดยเฉพาะสำหรับคนรุ่นหลังที่เกิดไม่ทัน
ยุคทันเหตุการณ์อันพลิกผันปั่นป่วนในทศวรรษดังกล่าว
ผู้เขียนเองก็นับเนื่องเป็นคนรุ่นที่เกิดไมทันเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ
ทว่าได้แรงบันดาลใจจากบทบาทอันอาจหาญของคนหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นสู้กับระบอบ
เผด็จการแม้จะต้องเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิต
เพื่อวางรากฐานประชาธิปไตยให้กับสังคมการเมืองที่ตนเองอาศัยอยู่
ที่น่าทึ่งมิใช่น้อยคือ
วีรกรรมของหนุ่มสาวไทยในครั้งนั้นยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้การลุกขึ้นสู้
โค่นล้มระบอบเผด็จการในอีกหลายประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่างานชิ้นนี้เริ่มต้นจากความชื่นชมในวีรกรรมอันหาญกล้าของนักศึกษา
ปัญญาชนและประชาชนในอดีต แต่มันไม่ได้มุ่งนำเสนอภาพอันโรแมนติกชวนฝัน
ตรงกันข้าม
งานชิ้นนี้ต้องการคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่ตัวละครทั้งหลายในประวัติศาสตร์
ที่อยู่ร่วมยุคสมัย
และหลีกเลี่ยงการผลิตซ้ำการนำเสนอภาพขบวนการนักศึกษาปัญญาชนในลักษณะที่เป็น
ฮีโร่ประชาชน รู้แจ้งทางปัญญา
มีเอกภาพทางความคิดและเป้าหมายของการต่อสู้ร่วมกันอย่างเด็ดเดี่ยว
ซึ่งถูกนำเสนอซ้ำแล้วซ้ำอีกในงานเขียนที่ผ่านมาเกี่ยวกับ 14 ตุลาฯ จำนวนมาก
จนส่งผลให้ภาพของขบวนการนักศึกษาแข็งทื่อตายตัว ขาดพลวัต
และมีลักษณะสูงส่งจนวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้การศึกษาที่เคารพความเป็นมนุษย์ของ
ผู้กระทำการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่สุดน่าจะเป็นการศึกษาที่ทำให้ผู้
อ่านเห็นทั้งเลือดเนื้อ ชีวิต ความรู้สึกมุ่งมั่น อุดมคติอันแรงกล้า
รวมทั้งความสับสน การลองผิด ลองถูกความขลาดเขลา
อ่อนเยาว์ไร้เดียงสาและความใฝ่ฝันอันหลากหลายของพวกเขา
งานศึกษาชิ้นนี้พยายามจะทำเช่นนั้นสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร
ผู้อ่านคงเป็นคนให้คำตอบได้ดีที่สุด
ในกรณี 14 ตุลาฯ ยิ่งผู้เขียนศึกษาค้นคว้ามากเท่าไร
ก็ยิ่งพบความซับซ้อนสับสน ลักลั่น ย้อนแย้ง และอีเหละเขะขะของประวัติศาสตร์
14 ตุลาฯ มากขึ้น ภาพของการผสมปนเปของวาทกรรมต่างๆ ที่ขัดกัน
(กษัตริย์นิยม เสรีนิยม ประชาธิปไตยซ้ายเก่า ซ้ายใหม่ ชาตินิยม)
แต่มารวมอยู่ด้วยกันได้ในขบวนการนักศึกษาปัญญาชนในช่วงก่อน 14 ตุลาฯ
ที่ถูกนำเสนอในหนังสือเล่มนี้
ก็คือส่วนหนึ่งของความย้อนแย้งและลักลั่นของประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อ
“ประชาธิปไตย” ที่ดำรงสืบเนื่องมาในสังคมไทย ทั้งก่อนและหลัง 14 ตุลาฯ
แนวคิดและคำว่า “ประชาธิปไตย” ถูกตีความอย่างแตกต่างหลากหลายจากกลุ่มต่างๆ
ในสังคมไทย ย้อนกลับไปได้ตั้งแต่สมัยกบฏร.ศ. 130 รัชกาลที่ 7 คณะราษฎร
กลุ่มเจ้านาย กบฏบวรเดช ขบวนการเสรีไทย กบฏวังหลวง กบฏสันติภาพ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กองทัพบกสมัยสฤษด์ ธนะรัชต์
ขบวนการสามประสานนักศึกษา ชาวนา กรรมกร (2516-2519)
กลุ่มนายทหารประชาธิปไตย องค์กรพัฒนาเอกชน/องค์กรภาคประชาชน เจ้าพ่อภูธร
นายทุนเจ้าสัว ขบวนการปฏิรูปการเมืองธงเขียว 2540 ราษฎรอาวุโส
จนมาถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ
การคลี่คลายของวาทกรรมเกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยดำเนินไปอย่างน่าทึ่ง
และมหัศจรรย์พันลึก สะท้อนผลประโยชน์ อัตลักษณ์
และโครงสร้างความสัมพันธ์ของสถาบันการเมืองต่างๆ
ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสลับซับซ้อนและไม่เคยหยุดนิ่ง
ลำพังการแปรรูปเปลี่ยนร่างของวาทกรรมจาก “กษัตริย์ประชาธิปไตย” จากทศวรรษ
2490 สู่ “ราชาชาตินิยมประชาธิปไตย” สมัยก่อน 14 ตุลุาฯ มาจนถึง
“เราจะสู้เพื่อในหลวง” (หรือ “ราชาชาตินิยมที่ตัดขาดจากประชาธิปไตย”)
ครั้งเกิดการรัฐประหาร 2549 ก็
ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนย้อนแย้งไม่ลงตัวระหว่างสถาบันกษัตริย์กับ
ระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งนับเป็นปมเงื่อนใจกลางของการเมืองไทยตั้งแต่หลังการปฏิวัติ
2475เป็นต้นมา
พัฒนาการของวาทกรรมชุดดังกล่าวควรถูกศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบเป็นงานศึกษา
ต่างหากอีกหนึ่งชิ้นที่เกินกว่าพื้นที่สั้นๆ ในคำนำชิ้นนี้จะทำได้
การต่อสู้เพื่อช่วงชิงและสถาปนาคำนิยามให้กับประชาธิปไตยจึงเป็นสนามของการ
ต่อสู้อันเข้มข้น เป็นพื้นที่ของสิ่งที่งานชิ้นนี้เรียกว่า
“การเมืองวัฒนธรรม” (cultural politics)
ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่ช่วยเปิดมุมมองให้เราเข้าใจการพัฒนาประชาธิปไตย
(อันระหกระเหิน) ของสังคมไทยได้อย่างลึกซึ้งถึงราก
อุปสรรคของการมีประชาธิปไตยเริ่มต้นตั้งแต่ในระดับความคิดพื้นฐานที่คนใน
สังคมไทยยังเห็นต่างกันอย่างสุดขั้ว ว่าประชาธิปไตยคืออะไร
กำเนิดจากการพระราชทานหรือการต่อสู้ของคนสามัญ
สามารถประสิทธิ์ประสาทความเสมอภาคเท่าเทียมทั้งในทางการเมืองเศรษฐกิจ
และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้หรือไม่
หรือเผด็จการผู้ทรงธรรมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนากว่าประชาธิปไตยของประชาชน ฯลฯ
ถึงที่สุดการศึกษาประวัติศาสตร์ 14
ตุลาฯจึงเป็นกระจกส่องสะท้อนให้เราเห็นสายธารประวัติศาสตร์ทั้งก่อนหน้าและ
หลังจากนั้นการดิ้นรนแสวงหาสังคมการเมืองที่ดีกว่ายังคงดำเนินต่อไปในสังคม
สยามประเทศ
หากมองในประวัติศาสตร์ช่วงยาว
ก็จะพบว่าความสับสนและผสมปนเปทางอุดมการณ์ความคิดมิใช่อาการเฉพาะตัวที่
ปรากฏในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เท่านั้น
แต่เป็นอาการร่วมของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ที่กลุ่มพลังจารีตนิยม
รอยัลลิสต์ชาตินิยม สังคมนิยม เสรีนิยม และประชาธิปไตย
ทั้งปะทะประสานและรอมชอมประนีประนอมกันอย่างซับซ้อนตลอดมาตั้งแต่อดีตจวบจน
ปัจจุบัน บ่อยครั้งประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยและผลิตซ้ำตัวเอง
เต็มไปด้วยอาการผิดฝาผิดตัว การกลายพันธุ์ทางอุดมการณ์
การอ้างอิงประวัติศาสตร์นอกบริบท การสร้างเครือข่ายวาทกรรมที่สับสนปนเป
และการสลับขั้วเป็นพันธมิตรและศัตรูทางการเมืองแบบพิสดารผกผัน
ดังที่ความเคลื่อนไหวในช่วงหนึ่งทศวรรษก่อน 14 ตุลาฯ
แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างประจักษ์ชัด ทั้งนี้ผู้เขียนหวังใจว่า
กรอบความเข้าใจที่งานชิ้นนี้พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ศึกษาการเมืองสมัย 14 ตุลาฯ
สามารถนำไปดัดแปลงประยุกต์ใช้ทำความเข้าใจการเมืองในยุคสมัยอื่นๆ ได้ด้วย
สุดท้าย เพื่อที่จะ “แลไปข้างหน้า” และ “ฝ่าข้ามไป”
ซึ่งยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน สังคมไทยจึงจำเป็นต้อง “แลไปข้างหลัง”
เพื่อเห็นเส้นทางอันยอกย้อนที่ตนเองได้เดินผ่านมาตั้งแต่สมัย 14 ตุลาฯ
งานชิ้นนี้มิใช่การศึกษา 14 ตุลาฯ ที่สมบูรณ์รอบด้านที่สุด
มันเป็นเพียงความพยายามต่อจิ๊กซอว์ทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งด้วยแนวการ
วิเคราะห์แบบการเมืองวัฒนธรรม ที่ไม่ได้มอง 14 ตุลาฯ
ในฐานะเหตุการณ์ทางการเมือง (political event) ที่เกิดและจบลงภายใน 10
วันในเดือนตุลาคม 2516
แต่ในฐานะกระบวนการต่อสู้อันยาวนานยืดเยื้อทางวาทกรรม วัฒนธรรม และ
อุดมการณ์ที่ยังคงสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถึงที่สุด
การต่อสู้และขับเคี่ยวทางการเมืองในปัจจุบันแยกไม่ออกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
จากการต่อสู้เมื่อ 40 ปีก่อน
14 ตุลาฯเป็นทั้งแบบจำลองหรือโมเดลของการเคลื่อนไหว
แหล่งอ้างอิงทางอุดมการณ์และวาทกรรม พื้นที่ของความทรงจำและประสบการณ์
ทั้งที่เป็นความทรงจำส่วนบุคคลและความทรงจำร่วมของสังคม ตัวอย่างเช่น
การเคลื่อนไหวในช่วงก่อนการรัฐประหาร2549 ที่เรียกร้องขอนายกฯ
พระราชทานผ่านการใช้มาตรา 7 ก็เป็นความพยายามอ้างอิงกับประสบการณ์ 14 ตุลาฯ
อย่างมิอาจปฏิเสธได้
เช่นเดียวกับความเชื่อของนักเคลื่อนไหวรุ่นหลังจำนวนไม่น้อยใน “14 ตุลาฯ
โมเดล” ว่าหากชนชั้นนำ
ปราบปรามประชาชนบนท้องถนนอย่างรุนแรงจนเกิดการนองเลือดสูญเสียแล้ว
ชนชั้นนำจะถูก“บีบ” หรือกดดันจากชนชั้นนำกลุ่มอื่นด้วยกันให้ลงจากอำนาจไป
เป็นต้น
ในแง่นี้“14 ตุลาฯ” กลายเป็นอดีตที่สร้างกรอบจำกัดจินตนาการของปัจจุบัน
จนสังคมไทยอาจจะสูญเสียความสามารถในการจินตนาการถึงการสร้างระเบียบการอยู่
ร่วมกันเป็นสังคมการเมืองแบบใหม่ในอนาคตที่ข้ามพ้นไปจากเดิมประวัติศาสตร์
14 ตุลาฯ
จึงเป็นเรื่องของปัจจุบันมากเท่ากับเป็นเรื่องของอดีตและเป็นสมบัติของสังคม
ส่วนรวมเท่าๆ กับเป็นสมบัติส่วนบุคคลของคนที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์
แต่ไม่ว่ามันจะมีฐานะเป็นอะไร 14 ตุลาฯ
จะมีความหมายอย่างแท้จริงต่อเมื่อมันเปิดให้มีการตั้งคำถาม ท้าทาย
และตีความใหม่อย่างไม่รู้จักจบสิ้น โดยไม่ถูกปิดกั้นทั้งจากอำนาจรัฐ
หรือจากพลังทางสังคมที่สร้างประวัติศาสตร์ 14 ตุลาฯขึ้นมาเสียเอง
ในการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 นี้ ผู้เขียนเลือกจะคงเนื้อหาไว้เช่นเดิม
โดยมิได้ดัดแปลงเสริมแต่ง
เพราะเห็นว่าต้นฉบับเดิมได้ทำหน้าที่ทางประวัติศาสตร์ของมันอย่างที่มันควร
จะเป็นแล้ว แม้ว่าในใจลึกๆ
จะมีความปรารถนาที่จะเพิ่มเนื้อหาบางตอนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แต่ก็คิดว่าควรจะเขียนเป็นบทความชิ้นใหม่ต่างหากออกไป
การปรับปรุงคงมีเพียงในส่วนของการแก้ไขตัวสะกด วรรคตอน ชื่อคน เชิงอรรถ
และบรรณานุกรมให้ถูกต้องเที่ยงตรงยิ่งขึ้น
และการจัดทำนามานุกรมรายชื่อบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในช่วงการเคลื่อนไหวก่อน
14 ตุลาฯ ที่ไม่มีในการพิมพ์ครั้งที่ 1
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันที่ให้ความสนใจและใส่ใจในการทำต้นฉบับอย่าง
ประณีตและงดงาม
ทำให้ต้นฉบับใหม่มีความสมบูรณ์กว่าต้นฉบับพิมพ์ครั้งแรกหลายประการดังที่
กล่าวไป
ขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับคุณธนาพล อิ๋วสกุล สำหรับแรงผลักดัน
ความช่วยเหลือและการประสานงานอย่างแข็งขันจนทำให้หนังสือสำเร็จลุล่วง
คุณกุลธิดา สามะพุทธิที่ช่วยจัดหารูปประกอบ คุณพัชรี อังกูรทัศนียรัตน์
สำหรับการตรวจทานและแก้ไขต้นฉบับอย่างละเอียดลออและรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง
และคุณประชา สุวีรานนท์ สำหรับการออกแบบปกอันสวยสดงดงาม
เพื่อนร่วมงานทุกท่านที่ธรรมศาสตร์และต่างสถาบันที่คอยให้กำลังใจและความ
ช่วยเหลือต่างๆ
ที่ขาดมิได้คือทุกคนในครอบครัว ทั้งแม่พี่สาว น้องสาว และน้องชาย ที่เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเสมอมา
ประจักษ์ ก้องกีรติ
40 ปี 14 ตุลาฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น