ที่มา Thai Free News
รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2556
พรรค
ประชาธิปัตย์เป็นพรรครัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย
ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2489 แต่ได้แจ้งเป็นทางการว่า
ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 ซึ่งเป็นวันจักรี เพื่อแสดงจุดยืนว่า
เป็นพรรคนิยมกษัตริย์และเป็นศัตรูกับรัฐบาลคณะราษฎรที่นำโดยนายปรีดี
พนมยงค์ในขณะนั้น
ตลอด
หลายสิบปีมานี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เผยแพร่และตอกย้ำความเชื่อที่ว่า
“พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ” มาโดยตลอด
ความเชื่อนี้เป็นที่แพร่หลายในหมู่มวลชนของพรรค
แม้แต่การเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ก็ยังอ้างความเชื่อดังกล่าว
ในปริบทปัจจุบันว่า “ต่อต้านเผด็จการรัฐสภาของระบอบทักษิณ”
แต่
ถ้าหากเราเข้าใจว่า ประเด็นใจกลางของการต่อสู้ทางการเมืองไทยนับแต่ 2475
จนถึง 2500 รวมศูนย์อยู่ที่ปัญหาว่า
“อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยหรือเป็นของพระมหากษัตริย์?” แล้ว
เราก็จะเห็นทะลุถึงเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างถึงแก่นว่า
ภารกิจทางประวัติศาสตร์ของพวกเขาไม่ใช่การต่อสู้กับเผด็จการทั้งทหารหรือ
พลเรือน
หากแต่เป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งของพวกอำนาจเก่าในการทำลายล้างใครก็ตาม
ที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นภัยคุกคาม
ภาย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นายปรีดี พนมยงค์มีความปรารถนาที่จะ “ปรองดอง”
กับคณะเจ้า จึงหาทางยุติความขัดแย้งด้วยการนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง
ให้บุคคลในคณะเจ้าซึ่งถูกจำคุกหรือถูกเนรเทศในเวลานั้นได้กลับคืนสู่เสรีภาพ
แต่คนกลุ่มนี้กลับไม่ยินยอม “ปรองดอง” กับนายปรีดี
หากแต่รวมตัวกันเคลื่อนไหวเพื่อแก้แค้นคณะราษฎรและรื้อฟื้นอำนาจเก่ากลับคืน
มา เครื่องมือชิ้นแรกสุดที่คนพวกนี้สร้างขึ้นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์
ภารกิจ
ชิ้นแรกของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นจึงเป็นการใช้เวทีทั้งในและนอกรัฐสภามา
ทำลายล้างคณะราษฎร โดยมีเป้าหมายใหญ่คือนายปรีดี พนมยงค์
ผู้เป็นมันสมองของการปฏิวัติ 2475
พรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทอย่างสำคัญในการใส่ร้ายป้ายสีนายปรีดีว่า
เป็นผู้บงการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
มีส่วนสำคัญในการสร้างเงื่อนไขให้คณะทหารของจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ก่อการรัฐประหาร 2490 ทำลายล้างกลุ่มนายปรีดีได้สำเร็จ
หลัง
จากนั้น
พรรคประชาธิปัตย์ก็หันปลายหอกการโจมตีมายังส่วนที่เหลืออยู่ของคณะราษฎรคือ
จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในขณะที่รัฐบาลจอมพล
ป.พิบูลสงครามก็มีความโน้มเอียงไปทางอำนาจนิยม มีการปราบปราม
จับกุมคุมขังและสังหารนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นิทานเรื่อง
“พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ”
จึงเริ่มต้นขึ้นจากการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต่อต้านจอมพล
ป.พิบูลสงครามนี้เอง จนกระทั่งพวกนิยมกษัตริย์ร่วมมือกับสฤษดิ์
ธนะรัชต์ก่อรัฐประหาร 2500 โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายของคณะราษฎร ถอนรากถอนโคนการปฏิวัติ 2475
จนหมดสิ้น
ภาย
ใต้เผด็จการสฤษดิ์และช่วงต้นของเผด็จการถนอม-ประภาส
พรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้มีการเคลื่อนไหวต่อต้านแต่อย่างใดเพราะนี่เป็นช่วง
เถลิงอำนาจอย่างเต็มรูปของแนวร่วมเผด็จการสฤษดิ์กับพวกจารีตนิยม
จนกระทั่งเมื่อกลุ่มถนอม-ประภาสก่อรัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514
ยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในกลุ่มตระกูลของตน
จนอาจเป็นอันตรายต่อพวกจารีตนิยมแล้วนั่นแหละพรรคประชาธิปัตย์จึงได้มีการ
เคลื่อนไหว โดยอดีต สส. 3 คนยื่นฟ้องคณะปฏิวัติในข้อหากบฏต่อศาลอาญา
แต่กลับถูกจอมพลถนอมสั่งจำคุก ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำนิทานเรื่อง
“พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ”
เมื่อ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคประชาธิปัตย์ก็มีบทบาทเพียงเข้าร่วมรัฐบาลผสม
เป็นขาหยั่งในรัฐสภาสนับสนุนพลเอกเปรมยาวนานถึงแปดปี
และเป็นที่ทราบกันดีว่า
ยุคสมัยของพลเอกเปรมเป็นช่วงเวลาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้รับการฟื้นฟูพระ
ราชอำนาจมากที่สุดนับแต่ 2475 เป็นต้นมา
เมื่อ
เกิดรัฐประหารของ รสช.ในปี 2534
พรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้มีบทบาทในการต่อต้านรัฐประหารแต่อย่างใด
แม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลผสมที่สนับพลเอกสุจินดา
คราประยูร
แต่ก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวใหญ่ต่อต้านพลเอกสุจินดาในเดือน
พฤษภาคม 2535 แล้วกลับฉวยโอกาสชนะการเลือกตั้งได้ด้วยวาทกรรม
“เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” และ “จำลองพาคนไปตาย”
บทบาท
ของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นเครื่องมือของจารีตนิยมในปัจจุบันยิ่งชัดเจน
เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรถูกมองว่า เป็นภัยคุกคาม
จนเกิดเป็นขบวนการโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในต้นปี 2549
โดยพรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทเป็นตัวจุดชนวนหรือตัวเร่งสถานการณ์ในทุกขั้นตอน
ตั้งแต่สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
บอยคอตการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ร้องขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน
สนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน
ร่วมกับพันธมิตรเสื้อเหลืองโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
แล้วอาศัยคณะนายทหารก่อรัฐประหารเงียบจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
จากนั้นก็ยอมเป็นเครื่องมือให้ใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนอย่างนองเลือดใน
ช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 หลังแพ้เลือกตั้ง
ก็ตั้งหน้าเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยใน
ปัจจุบัน
ทุก
วันนี้ นิทานเรื่อง “พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ”
มีคนเชื่อน้อยลงไปทุกที
เพราะคนไทยวันนี้จำนวนมากไม่ได้ขี้หลงขี้ลืมอีกต่อไป หากแต่ได้
“รู้ความจริง” กันอย่างทั่วถึง ที่สำคัญคือ
พฤติการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดว่า
เนื้อแท้ของพรรคการเมืองนี้ไม่ใช่ต่อต้านเผด็จการ
หากแต่เป็นการรับใช้พวกจารีตนิยมที่ครอบงำระบอบรัฐสภาในปัจจุบัน
อนาคต
ของระบอบเผด็จการในประเทศไทยนั้นริบหรี่เต็มที
อนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจไม่พ้นชะตากรรมเดียวกันถ้าไม่สามารถวิวัฒน์ตน
จากการเป็นมือเท้าของพวกจารีตนิยมไปเป็นพรรคการเมืองที่เสนออนาคตที่เป็นทาง
เลือกสำหรับประเทศไทย
ดังเช่นพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษที่เริ่มต้นหลายร้อยปีก่อนก็เป็นเพียงพรรค
นิยมกษัตริย์ที่ดื้อดึงล้าหลัง แต่ภายหลัง “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์” ปี
1688 เมื่อสถาบันกษัตริย์อังกฤษต้องยินยอมอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
พรรคอนุรักษ์นิยมก็สามารถปฏิรูปตนเอง
กลายเป็นทางเลือกที่ไม่อาจมองข้ามได้ของคนอังกฤษมาทุกยุคสมัย
ผลัดกันแพ้ชนะในสนามเลือกตั้งกับพรรคเสรีนิยมและพรรคแรงงานจนถึงปัจจุบัน
พรรค
ประชาธิปัตย์นั่นแหละที่จะต้อง “ข้ามพ้นทักษิณ” ให้ได้
เลิกงมงายไล่กวดอยู่กับเงาของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” เงยหน้าขึ้นสูง
แล้วมองไปในอนาคตข้างหน้า
ถึงวันที่เผด็จการสิ้นสุดลงและพรรคไม่ได้รับการคุ้มกะลาหัวจากพวกจารีตนิยม
อีกต่อไป แล้ววันนั้น
พรรคประชาธิปัตย์จะล่มสลายไปกับเผด็จการหรือจะผันตัวเองมาเป็นทางเลือกที่
จริงจังในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประเทศไทย?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น