แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: พรรคประชาธิปัตย์

ที่มา Thai Free News

 รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2556

 พรรค ประชาธิปัตย์เป็นพรรครัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2489 แต่ได้แจ้งเป็นทางการว่า ก่อตั้งเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 ซึ่งเป็นวันจักรี เพื่อแสดงจุดยืนว่า เป็นพรรคนิยมกษัตริย์และเป็นศัตรูกับรัฐบาลคณะราษฎรที่นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ในขณะนั้น

 ตลอด หลายสิบปีมานี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เผยแพร่และตอกย้ำความเชื่อที่ว่า “พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ” มาโดยตลอด ความเชื่อนี้เป็นที่แพร่หลายในหมู่มวลชนของพรรค แม้แต่การเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ก็ยังอ้างความเชื่อดังกล่าว ในปริบทปัจจุบันว่า “ต่อต้านเผด็จการรัฐสภาของระบอบทักษิณ”

แต่ ถ้าหากเราเข้าใจว่า ประเด็นใจกลางของการต่อสู้ทางการเมืองไทยนับแต่ 2475 จนถึง 2500 รวมศูนย์อยู่ที่ปัญหาว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยหรือเป็นของพระมหากษัตริย์?” แล้ว เราก็จะเห็นทะลุถึงเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างถึงแก่นว่า ภารกิจทางประวัติศาสตร์ของพวกเขาไม่ใช่การต่อสู้กับเผด็จการทั้งทหารหรือ พลเรือน หากแต่เป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งของพวกอำนาจเก่าในการทำลายล้างใครก็ตาม ที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นภัยคุกคาม

ภาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นายปรีดี พนมยงค์มีความปรารถนาที่จะ “ปรองดอง” กับคณะเจ้า จึงหาทางยุติความขัดแย้งด้วยการนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง ให้บุคคลในคณะเจ้าซึ่งถูกจำคุกหรือถูกเนรเทศในเวลานั้นได้กลับคืนสู่เสรีภาพ แต่คนกลุ่มนี้กลับไม่ยินยอม “ปรองดอง” กับนายปรีดี หากแต่รวมตัวกันเคลื่อนไหวเพื่อแก้แค้นคณะราษฎรและรื้อฟื้นอำนาจเก่ากลับคืน มา เครื่องมือชิ้นแรกสุดที่คนพวกนี้สร้างขึ้นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์

ภารกิจ ชิ้นแรกของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นจึงเป็นการใช้เวทีทั้งในและนอกรัฐสภามา ทำลายล้างคณะราษฎร โดยมีเป้าหมายใหญ่คือนายปรีดี พนมยงค์ ผู้เป็นมันสมองของการปฏิวัติ 2475 พรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทอย่างสำคัญในการใส่ร้ายป้ายสีนายปรีดีว่า เป็นผู้บงการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีส่วนสำคัญในการสร้างเงื่อนไขให้คณะทหารของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก่อการรัฐประหาร 2490 ทำลายล้างกลุ่มนายปรีดีได้สำเร็จ

หลัง จากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็หันปลายหอกการโจมตีมายังส่วนที่เหลืออยู่ของคณะราษฎรคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในขณะที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามก็มีความโน้มเอียงไปทางอำนาจนิยม มีการปราบปราม จับกุมคุมขังและสังหารนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นิทานเรื่อง “พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ” จึงเริ่มต้นขึ้นจากการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต่อต้านจอมพล ป.พิบูลสงครามนี้เอง จนกระทั่งพวกนิยมกษัตริย์ร่วมมือกับสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก่อรัฐประหาร 2500 โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายของคณะราษฎร ถอนรากถอนโคนการปฏิวัติ 2475 จนหมดสิ้น

ภาย ใต้เผด็จการสฤษดิ์และช่วงต้นของเผด็จการถนอม-ประภาส พรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้มีการเคลื่อนไหวต่อต้านแต่อย่างใดเพราะนี่เป็นช่วง เถลิงอำนาจอย่างเต็มรูปของแนวร่วมเผด็จการสฤษดิ์กับพวกจารีตนิยม จนกระทั่งเมื่อกลุ่มถนอม-ประภาสก่อรัฐประหาร 17 พฤศจิกายน 2514 ยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในกลุ่มตระกูลของตน จนอาจเป็นอันตรายต่อพวกจารีตนิยมแล้วนั่นแหละพรรคประชาธิปัตย์จึงได้มีการ เคลื่อนไหว โดยอดีต สส. 3 คนยื่นฟ้องคณะปฏิวัติในข้อหากบฏต่อศาลอาญา แต่กลับถูกจอมพลถนอมสั่งจำคุก ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำนิทานเรื่อง “พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ”

เมื่อ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ก็มีบทบาทเพียงเข้าร่วมรัฐบาลผสม เป็นขาหยั่งในรัฐสภาสนับสนุนพลเอกเปรมยาวนานถึงแปดปี และเป็นที่ทราบกันดีว่า ยุคสมัยของพลเอกเปรมเป็นช่วงเวลาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้รับการฟื้นฟูพระ ราชอำนาจมากที่สุดนับแต่ 2475 เป็นต้นมา

เมื่อ เกิดรัฐประหารของ รสช.ในปี 2534 พรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้มีบทบาทในการต่อต้านรัฐประหารแต่อย่างใด แม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลผสมที่สนับพลเอกสุจินดา คราประยูร แต่ก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวใหญ่ต่อต้านพลเอกสุจินดาในเดือน พฤษภาคม 2535 แล้วกลับฉวยโอกาสชนะการเลือกตั้งได้ด้วยวาทกรรม “เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” และ “จำลองพาคนไปตาย”

บทบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นเครื่องมือของจารีตนิยมในปัจจุบันยิ่งชัดเจน เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรถูกมองว่า เป็นภัยคุกคาม จนเกิดเป็นขบวนการโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในต้นปี 2549 โดยพรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทเป็นตัวจุดชนวนหรือตัวเร่งสถานการณ์ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย บอยคอตการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ร้องขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน สนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน ร่วมกับพันธมิตรเสื้อเหลืองโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน แล้วอาศัยคณะนายทหารก่อรัฐประหารเงียบจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จากนั้นก็ยอมเป็นเครื่องมือให้ใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนอย่างนองเลือดใน ช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 หลังแพ้เลือกตั้ง ก็ตั้งหน้าเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยใน ปัจจุบัน

ทุก วันนี้ นิทานเรื่อง “พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับเผด็จการ” มีคนเชื่อน้อยลงไปทุกที เพราะคนไทยวันนี้จำนวนมากไม่ได้ขี้หลงขี้ลืมอีกต่อไป หากแต่ได้ “รู้ความจริง” กันอย่างทั่วถึง ที่สำคัญคือ พฤติการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดว่า เนื้อแท้ของพรรคการเมืองนี้ไม่ใช่ต่อต้านเผด็จการ หากแต่เป็นการรับใช้พวกจารีตนิยมที่ครอบงำระบอบรัฐสภาในปัจจุบัน

อนาคต ของระบอบเผด็จการในประเทศไทยนั้นริบหรี่เต็มที อนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจไม่พ้นชะตากรรมเดียวกันถ้าไม่สามารถวิวัฒน์ตน จากการเป็นมือเท้าของพวกจารีตนิยมไปเป็นพรรคการเมืองที่เสนออนาคตที่เป็นทาง เลือกสำหรับประเทศไทย ดังเช่นพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษที่เริ่มต้นหลายร้อยปีก่อนก็เป็นเพียงพรรค นิยมกษัตริย์ที่ดื้อดึงล้าหลัง แต่ภายหลัง “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์” ปี 1688 เมื่อสถาบันกษัตริย์อังกฤษต้องยินยอมอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พรรคอนุรักษ์นิยมก็สามารถปฏิรูปตนเอง กลายเป็นทางเลือกที่ไม่อาจมองข้ามได้ของคนอังกฤษมาทุกยุคสมัย ผลัดกันแพ้ชนะในสนามเลือกตั้งกับพรรคเสรีนิยมและพรรคแรงงานจนถึงปัจจุบัน

 พรรค ประชาธิปัตย์นั่นแหละที่จะต้อง “ข้ามพ้นทักษิณ” ให้ได้ เลิกงมงายไล่กวดอยู่กับเงาของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” เงยหน้าขึ้นสูง แล้วมองไปในอนาคตข้างหน้า ถึงวันที่เผด็จการสิ้นสุดลงและพรรคไม่ได้รับการคุ้มกะลาหัวจากพวกจารีตนิยม อีกต่อไป แล้ววันนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะล่มสลายไปกับเผด็จการหรือจะผันตัวเองมาเป็นทางเลือกที่ จริงจังในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประเทศไทย?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น