“หน้าที่คนทำงาน”
โดย น.ส. ชยิกา วงศ์นภาจันทร์
วันที่ 2 ตุลาคม 2556
ท่ามกลางกระแสการเ มืองอันร้อนแรงแลดูเสมือนจะเป็นปัจจัยลบต่อรัฐบาล
อันเป็นผลมาจากการประสานเสียง “ดาหน้า” กัน
ออกมาคัดค้านการ ทูลเกล้าฯ
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภาและร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2557
ขณะที่ประชาชนต่างเฝ้าดู ว่า “คำตัดสิน” ของ
“ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่รับคำร้องทั้ง 2
กรณีผลจะออกมาเป็นเช่นไร
แต่กระแสก็คือกระแส สำหรับคนทำงาน
ชีวิตและประเทศชาติก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป ในวันเดียวกันนั้นเอง (วันที่ 1
ตุลาคม 2556) นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ได้กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว
2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2558 ครั้งที่ 2/2556 ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
โดยได้สั่งให้วางยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวด้วยการแบ่งกลุ่มจังหวัดเพื่อรองรับความต้องการทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ประกอบด้วย
1. กลุ่มจังหวัดที่รองรับนักท่องเที่ยวภายในประเทศ
2. กลุ่มจังหวัดที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเชิงปริมาณ (Mass Market) และ
3. กลุ่มจังหวัดนักท่องเที่ยวต่างประเทศเชิงคุณภาพ (Exclusive Market) เพื่อสามารถต่อยอดในการสร้างรายได้ให้เต็มศักยภาพ
พร้อมกันนี้
นายกรัฐมนตรียังได้ให้มีการบูรณาการในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
เหยียบคันเร่ง สร้างยอดนักท่องเที่ยว
เค้นรายได้ประเทศกันจนไตรมาสสุดท้ายเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมา “การท่องเที่ยว”
ซึ่งเป็นหนึ่งในรายได้ประเทศที่สามารถผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมในการสร้างรายได้ให้ประเทศเร็วที่สุด
ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 14, 361,986 รายในปี 2555 เป็น
17,437,219 รายในปี 2556 นับว่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 21.41 เลยทีเดียว
งานนี้นายกฯยิ่งลักษณ์ถึงกับออกปากว่า “เราคงจะรอให้สร้างสนามบินเสร็จอย่างเดียวคงไม่ได้
ต้องนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้เต็มศักยภาพสูงสุด เช่น ทำอย่างไรให้เกิดแรงจูงใจในการใช้สนามบินในจังหวัดใกล้เคียง
เป็นต้น” เรียกว่าการเมืองภายนอกเป็นอย่างไรไม่เกี่ยง
แต่บรรยากาศในห้องประชุมรู้อย่างเดียวว่า “ลุย!!”
และดูเหมือนว่าทั้งประเด็นโจมตีทั้ง เรื่อง “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
และ “ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ” ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการ “ทำงาน” ของ “คนทำงาน” ใดๆทั้งสิ้น
โดยเฉพาะประเด็น “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นประกอบไว้แล้วว่า
1. นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่นำ
ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่อง ที่มาของ ส.ว. ขึ้นทูลเกล้า ภายใน 20 วัน
ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้น
นายกรัฐมนตรีอาจจะถูกกล่าวหาได้ว่าไม่ได้ปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
2. “รัฐธรรมนูญ มาตรา
291 ได้บัญญัติเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้โดยเฉพาะว่า “เมื่อมีการลงมติแล้ว
ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา
150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม” เท่านั้น
มิได้ให้นำบทบัญญัติมาตรา 154 หรือ
มาตราอื่นใดมาประกอบการพิจารณาตามที่ฝ่ายค้านกล่าว
3. สำหรับกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา
68 ของรัฐธรรมนูญนั้น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ดังกล่าว
มิได้บัญญัติให้ระงับการดำเนินการตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ
4. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่
4 /2554 ได้เคยวินิฉัยแล้วว่า บทบัญญัติมาตรา 291
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติให้นำ มาตรา 154 มาใช้บังคับด้วย
สำหรับ “ประชาชนคนทำงาน” ในวันนี้จึงมองว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีศักยภาพ และสามารถขับเคลื่อนให้ไปในทิศทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกคนในชาติได้อีกมาก ถ้าองค์กรอิสระ ทำตามหน้าที่ในกรอบของการ “ถ่วงดุลอำนาจด้วยมาตรฐานเดียวกันทุกฝ่าย” สำคัญที่สุดอย่างที่ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สุรนันทน์ เวชชาชีวะ กล่าวคือ วันนี้ “ทุกคนทำบทบาทให้ครบถ้วนตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ และไม่ว่าใครจะมีบทบาทใด การตีความกฏหมายจะเป็นอย่างไร ก็ต้องให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่าให้ประเทศต้องถึงทางตันที่ไม่สามารถหาทางออกได้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น