แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คดีปะทะเหลืองแดงเชียงใหม่ปี 51 สืบพยานเสร็จวันนี้ ญาติผู้ตายไม่ติดใจเอาความ

ที่มา ประชาไท



ภาพโดย:นพพล อาชามาส
วันนี้ (22 ตุลาคม 2556) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 8 ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2421/56 ซึ่งมีนายแดง ปวนมูล อายุ 42 ปีอดีตการ์ดเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ตกเป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันฆ่านายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา หรือ “ลุงหน่อ” บิดาของนายเทิดศักดิ์  เจียมกิจวัฒนา หรือ “โต้ง วิหค”  ผู้ก่อตั้งกลุ่มทหารเสือพระราชาซึ่งเป็นการ์ดพันธมิตรเชียงใหม่  จากกรณีเหตุปะทะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551  ที่บริเวณหน้าหมู่บ้านระมิงค์ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่  ใกล้ที่ตั้งของสถานีวิทยุวิหคเรดิโอ 89 MHz (สืบพยานคดีปะทะเหลืองแดงเชียงใหม่ ปี51 พยานระบุ"เชื่อ"แดง ปวนมูล มีส่วนรู้เห็น) โดยมีการสืบพยานโจทก์ 1 ปากและพยานจำเลย 1 ปาก
นายธรม (สงวนนามสกุล) พยานโจทก์ซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สามของผู้ตายขึ้นเบิกความโดยสรุปว่าขณะเกิด เหตุตนไม่ได้อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ศึกษาคริสตคัมภีร์อยู่ที่จังหวัดชลบุรี  เมื่อทราบเหตุจากพี่ชายก็รีบกลับมาดูศพบิดา  แต่ยังไม่สามารถนำศพบิดาออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้เนื่องจากมี กลุ่มเสื้อแดงปิดล้อมโรงพยาบาล  ทั้งยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านได้เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยเพราะยังมี กลุ่มคนเสื้อแดงขี่จักรยานยนต์มาวนเวียนแถวทางเข้าหมู่บ้าน  ตนไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับวันเกิดเหตุ  ทางครอบครัวได้มอบหมายให้พี่ชายคนรองของตนซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกบิดาดำเนิน การรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลกรณีเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงทาง การเมืองเป็นจำนวนเงิน 7.5 ล้านบาท  และได้ยื่นคำแถลงต่อศาลไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยแล้ว  ส่วนตนเองนั้นไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง และไม่ได้ติดใจเรียกร้องเอาความใดๆ  แต่เสียใจ  และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก
นายแดง ปวนมูล  ตัวจำเลยเองขึ้นเบิกความต่อศาลเป็นพยานจำเลยเพียงปากเดียวโดยสรุปว่า  มีอาชีพรับจ้างขับรถโดยสารสองแถวสี่ล้อแดง  ในวันเกิดเหตุรับฟังวิทยุสถานีรักเชียงใหม่ 92.5 MHz ทราบ ว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปิดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง  และกลุ่มทหารเสือพระราชาซึ่งเป็นกลุ่มเสื้อเหลืองเชียงใหม่ได้ระดมพลเพื่อจะ ไปปิดสนามบินเชียงใหม่ไม่ให้นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กลับเข้าสู่ประเทศ ตนจึงได้ไปรวมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่โรงแรมวโรรสแกรนด์พาเลซซึ่งเป็นที่ตั้ง ของสถานีวิทยุดังกล่าว  และขึ้นรถของคนเสื้อแดงที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนทยอยตามกันไปเพื่อไปปิดล้อม สถานีวิทยุวิหคเรดิโอ 89 MHz ซึ่งเป็นจุดรวมพลของกลุ่มเสื้อเหลืองเชียงใหม่  เมื่อไปถึงประมาณเวลา 15.40 น. พบว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ประมาณ 50-100 คน กำลังยิงหนังสะติ๊กตอบโต้ไปมากับกลุ่มคนเสื้อเหลือง  มีการขว้างปาดอกไม้ไฟ พลุ และระเบิดปิงปองจากทั้งสองฝ่ายตลอดเวลา  รวมทั้งมีการใช้อาวุธปืนยิงกันทั้งสองฝ่าย
นายแดงเบิกความต่อว่า  ภาพถ่ายที่เห็นว่าตนพกมีดสปาร์ต้านั้นเป็นของคนเสื้อแดงชื่อนายเจมส์ ที่นำมาฝากไว้กับตน  และตนได้คืนมีดให้แก่นายเจมส์ไปก่อนหน้าที่จะเห็นคนเสื้อแดงคนหนึ่งถือปืน ลูกซอง  แต่เหมือนไม่กล้ายิง  ตนจึงได้เข้าไปเอาปืนมายิงเข้าไปยังกลุ่มคนเสื้อเหลืองหนึ่งนัด  แล้วจึงนำปืนมาคืนเจ้าของ  หลังจากนั้นไม่นานมีแกนนำบอกให้ไปที่สนามบินเพราะใกล้เวลาที่นายสมชายจะเดิน ทางมาถึง  จึงได้กระโดดขึ้นรถสามล้อเครื่องของกลุ่มคนเสื้อแดงออกจากที่เกิดเหตุไป ตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ยังไม่ตก  เมื่อนายสมชายมาถึง  ก็ได้ตามขบวนไปดูแลความปลอดภัยบริเวณหมู่บ้านกรีนวัลเลย์ บ้านพักของนายสมชาย  เนื่องจากมีข่าวว่ากลุ่มเสื้อเหลืองจะตามมาทำอันตราย  แต่เมื่อไม่มีเหตุรุนแรงใดเกิดขึ้น  ตนจึงกลับมาที่โรงแรมวโรรสแกรนด์พาเลซที่จอดรถทิ้งไว้  และขับกลับบ้าน  มาทราบเรื่องว่ามีคนตายในที่เกิดเหตุจากคำบอกเล่าของเพื่อนเสื้อแดงในเช้า วันถัดมา
นายแดงเบิกความอีกว่า  ตนต้องคดีพยายามฆ่าการ์ดเสื้อเหลืองจากการยิงปืนลูกซองหนึ่งนัด  ซึ่งได้รับสารภาพไปแล้ว และรับโทษจำคุกอยู่ในปัจจุบัน  (พิพากษา เสื้อแดงเชียงใหม่ จำคุก 5 ปี 6 เดือน จากเหตุปะทะกลุ่มพันธมิตรปี 51) เพิ่งจะมารู้จักจำเลย 5 คน  (ศาลฎีกาสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยคดีเสื้อแดงเชียงใหม่ 5 ราย) ใน คดีข้อหาร่วมกันฆ่านายเศรษฐาจากเหตุการณ์เดียวกันนี้ภายหลังจากต้องโทษจำคุก ในเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ด้วยกัน  ก่อนหน้านี้ตนรับแจ้งข้อหาจากพนักงานสอบสวนเพียงข้อหาเดียวคือพยายามฆ่า  มาทราบว่าตนตกเป็นจำเลยคดีนี้หลังจากได้ดำเนินการขอพักโทษตามระเบียบกรม ราชทัณฑ์  และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ทำการตรวจสอบประวัติ  พบว่ามีคดีค้างอยู่จึงได้สอบถามไปทางพนักงานอัยการ  จนกระทั่งถูกฟ้องเป็นคดีนี้  ซึ่งตนไม่รู้เห็นด้วย  ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุในเวลาที่นายเศรษฐาถูกทำร้ายเสียชีวิตตามที่เบิก ความไปก่อนหน้า
หลังสืบพยานทั้งหมดเสร็จสิ้น  ผู้พิพากษาได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 27 ธันวาคม 2556 พร้อมอธิบายต่อจำเลยและทนายความว่าที่คำพิพากษาต้องล่าช้าเนื่องจากมีคดี ต้องสะสางเป็นจำนวนมาก  อีกทั้งคดีนี้จำเป็นต้องส่งให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ตรวจคำพิพากษาเสียก่อน  ทนายจำเลยจึงแถลงเพิ่มเติมต่อศาลว่าโทษจำคุกในคดีเดิมของจำเลยจะสิ้นสุดใน วันที่ 10 มกราคม 2557
ในวันพิจารณาคดีนี้  มีเพียงมารดาและน้องสาวของนายแดงมาให้กำลังใจ  ไม่ปรากฏว่ามีแกนนำฝ่ายเสื้อแดงหรือเสื้อเหลืองเข้ามาร่วมรับฟังแต่อย่างใด  นายแดงกล่าวกับผู้รายงานข่าวว่า  หวังว่าศาลจะยกฟ้องคดีนี้และหลังจากพ้นโทษออกไปจะประกอบอาชีพสุจริตสร้าง หลักฐานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว  ทุกวันนี้มีโอกาสได้กอดแม่เพียงแค่วันขึ้นศาลเท่านั้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น