แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"สุรนันทน์" ยืนยัน "นายกรัฐมนตรี" ลงนามทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไข รธน.แล้ว วอนทุกฝ่าย "ต้องให้ประเทศเดินหน้า อย่าถึงทางตัน"

ที่มา go6tv

 


วันนี้ ( 1 ตุลาคม 2556 ) ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี นายสุรนันทน์  เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณี การทูลเกล้าฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งรัฐสภาได้ผ่านวาระ 3 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2556 ว่า ขณะนี้ นายกรัฐมนตรีได้ลงนามเพื่อทูลเกล้าฯตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว และเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำลังดำเนินการตามขั้นตอน โดยย้ำว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

โดยเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันถึงการลงนามของนายกรัฐมนตรีเพื่อทูลเกล้าฯนั้น มีความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบ ที่ให้ความเห็นว่า 

รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้บัญญัติเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้โดยเฉพาะว่า “เมื่อมีการลงมติแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา ๑๕๐ และมาตรา ๑๕๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม”  

จึง เห็นได้ว่า เมื่อมาตรา ๒๙๑ ดังกล่าวได้บัญญัติไว้ชัดเจนโดยให้นำเฉพาะมาตรา ๑๕๐ และมาตรา ๑๕๑ มาใช้บังคับเท่านั้น โดยมิได้ให้นำมาตราอื่นใดของรัฐธรรมนูญมาใช้  ดังนั้น เมื่อรัฐสภาได้เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๙๑ ประกอบกับมาตรา ๑๕๐ ที่จะต้องนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับ ร่างรัฐธรรมนูญจากรัฐสภาเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยมิอาจนำมาตรา ๑๕๔ ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการควบคุมการตราพระราชบัญญัติมิให้ขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญโดยให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์วินิจฉัยมาใช้บังคับได้  มิฉะนั้น นายกรัฐมนตรีอาจจะถูกกล่าวหาได้ว่าไม่ได้ปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้

สำหรับกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา ๖๘ ของรัฐธรรมนูญนั้น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๘ ดังกล่าว มิได้บัญญัติให้ระงับการดำเนินการตามมาตรา ๒๙๑ ของรัฐธรรมนูญ และมิใช่กรณีตามมมาตรา ๑๕๔ ของรัฐธรรมนูญ เพราะมาตรา ๑๕๔ เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการตราพระราชบัญญัติที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งมาตรา ๒๙๑ ของรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติให้นำมาใช้บังคับด้วยแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ ๔/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๔ กรณีการร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา ๑๕๔ วรรคหนึ่ง (๑) ว่ากระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “มาตรา ๒๙๑ (๗) ได้บัญญัติให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการตราพระราชบัญญัติเฉพาะมาตรา ๑๕๐ และมาตรา ๑๕๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา ๑๕๔ ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการควบคุมการตราพระราชบัญญัติมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรวินิจฉัยมาใช้บังคับ ดังนั้น เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวประกอบกันแล้ว กรณีตามคำร้องนี้จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๔ วรรคหนึ่ง (๑) ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับวินิจฉัยได้”

ทั้งนี้ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีชี้ให้เห็นว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต่างกันกับร่างพระราชบัญญัติ ที่กระบวนการและขั้นตอนได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐสภาดำเนินการตามหน้าที่เรียบร้อยแล้ว นายกรัฐมนตรีก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่มีการระบุไว้ คือนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างฯจากรัฐสภา สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นแตกต่าง หรือมีคำวินิจฉัยที่แตกต่าง ก็ต้องมาพิจารณากันว่าคำวินิจฉัยนั้นมีสาระอย่างไร เพราะการตีความกฏหมายมีหลากหลายแนวคิด แต่สิ่งสำคัญคือ ทุกคนทำบทบาทให้ครบถ้วนตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ และไม่ว่าใครจะมีบทบาทใด การตีความกฏหมายจะเป็นอย่างไร ก็ต้องให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่าให้ประเทศต้องถึงทางตันที่ไม่สามารถหาทางออกได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น