ที่มา iLaw
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์
ซึ่งเป็นกำหนดวันเลือกตั้งที่มีความสำคัญอีกครั้งหนึ่ง
และหลังจากการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อ 26 มกราคม ที่ผ่านมา
ที่มีการขัดขวางการเลือกตั้งของผู้ชุมนุมกลุ่มกปปส.
ที่ต้องการให้มีปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็พอจะเห็นได้ลางๆ ว่า วันที่ 2
กุมภาพันธ์ นี้
ผู้ที่ต้องการไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็คงไม่สามารถใช้สิทธิได้อย่างสะดวกดาย
เช่นที่ผ่านมา
iLaw จึงรวบรวมคำถามเกี่ยวกับข้อกฎหมายในการเลือกตั้ง ที่ทุกคนน่าจะอยากรู้มาไว้ที่นี่
ถ้าไม่ไปเลือกตั้ง จะเสียสิทธิอะไรบ้าง
เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 72
กำหนดไว้ว่าบุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
หากไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุผลอันสมควร
ก็ย่อมเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ ดังนั้น
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.
พ.ศ.2550 มาตรา 26 จึงกำหนดว่า เมื่อบุคคลใดๆ ไม่ไปเลือกตั้ง จะเสียสิทธิ 3
ประการ ดังนี้
1.เสียสิทธิการยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. และ
ส.ว.
คนที่ไม่ไปเลือกตั้งจะไม่มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านว่าเป็นการเลือกตั้งส.ส.
ส.ว. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2.เสียสิทธิการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส., ส.ว.,
สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
และสิทธิได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว.
หากประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมัยหน้า
ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือท้องถิ่น ก็ไม่มีสิทธิลงสมัคร
3.เสียสิทธิการสมัครรับเลือกเป็นกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน
สิทธิทั้ง 3 ประการ จะได้กลับคืนมาเมื่อไปใช้สิทธิการเลือกตั้งในครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือท้องถิ่น
ถ้าไม่สามารถไปเลือกตั้งจริงๆ ทำอย่างไรได้บ้าง
แต่ถ้าหากไม่สามารถไปใช้สิทธิได้จริงๆ โดยเหตุผลต่างๆ ดังนี้
1.มีกิจธุระจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกล
2.เจ็บป่วย พิการ สูงอายุ ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้
3.เดินทางออกนอกราชอาณาจักร
5.มีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากที่เลือกตั้งเกินกว่า 100 กม.
6.มีเหตุสุดวิสัยอื่นที่ กกต.กำหนด
ตามมาตรา 24 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ
ก็ให้สิทธิประชาชนในการรักษาสิทธิข้างต้น
โดยการต้องไปแจ้งเหตุต่อนายทะเบียนเขตหรืออำเภอ
โดยสามารถไปแจ้งเหตุได้ในช่วงเวลาก่อนวันเลือกตั้ง 7 วัน
จนถึงหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน (26 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2557)
เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ 3 ประการ ดังกล่าว
โดยกรอกแบบฟอร์มหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ หรือ
ส.ส.28 (ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่นี่)
โดยระบุหมายเลขประจำตัวประชาชน และที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้าน
แนบหลักฐานเหตุจำเป็นที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
และยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
ได้ 3 วิธี คือ ยื่นด้วยตนเอง มอบหมายบุคคลอื่นไปยื่นแทน
หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
ไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง จะประท้วงโดยการฉีกบัตรเลือกตั้ง หรือไปขัดขวางคนอื่นไม่ให้เลือกตั้ง จะทำได้หรือไม่
ไม่ว่าจะฉีกบัตรเลือกตั้ง
หรือไปขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นใช้สิทธิเลือกตั้งล้วนผิดกฎหมาย
แต่จากการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ผ่านมา
ก็มีผู้ชุมนุมไปปิดหน่วยเลือกตั้งจนทำให้คนอื่นมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้
แต่หากคุณคือคนหนึ่งที่คิดจะไปร่วมขบวนขัดขวางการเลือกตั้งในวันที่ 2
กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ ขอเตือนคุณก่อนว่า อาจจะต้องเตรียมใจถูกดำเนินคดี
ตามมาตรา 76 ประกอบมาตรา 152
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.
พ.ศ.2550 ซึ่งมีโทษจำคุกหนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับ 20,000 ถึง 100,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีด้วย
นอกจากผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ยังผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอีกด้วย ข้อหาข่มขืนใจ หรือหากมีการใช้กำลังก็ผิดข้อหาทำร้ายร่างกายอีก
ไม่เพียงแต่กับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิเท่านั้น
คุณอาจโดนข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกกต.ได้ (มาตรา 43
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550)
มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนการฉีกบัตรเลือกตั้งเพื่อเป็นการประท้วงโดยแสดง
สัญลักษณ์ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง ก็ผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน
อาจจะต้องเตรียมใจรับข้อหา ทำลายบัตรเลือกตั้ง หรือจงใจกระทำการใดๆ
ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดเสียหาย
ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.
พ.ศ.2550 มาตรา 148 ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 20,000
บาท และยังถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีด้วย
ถ้าหากผู้กระทําความผิดดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานผู้ดําเนิน
การเลือกตั้งเองต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่
20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
ไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง แต่ไม่อยากทำผิดกฎหมาย จะทำอะไรได้บ้าง
ขณะนี้มีการณรงค์ต่อต้านการเลือกตั้งอย่างสันติวิธีด้วย
วิธีการ 2 อย่าง คือ ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (No Vote)
และกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน (Vote No)
การไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้มีผลอะไรกับการเลือกตั้ง
เพราะอย่างไรผู้สมัครที่ได้รับโหวตมากที่สุดก็จะได้รับเลือกตั้งอยู่ดี
แต่การกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนจะมีผลกับการเลือกตั้ง ในกรณีที่เขตนั้นๆ
มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว มาตรา 88
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว.
พ.ศ.2550 กำหนดไว้ว่า ถ้ามีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเพียงคนเดียว
ผู้สมัครคนนั้นต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 20
ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น
และต้องมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน
ซึ่งถ้าผู้สมัครได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 20
ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้น
หรือมีคะแนนน้อยกว่าบัตรที่ไม่ประสงค์จะลงคะนแน
กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
และถ้าเลือกตั้งใหม่อีกครั้งยังได้ผลเช่นเดิม
กกต.ก็ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อีก ในครั้งที่สามนี้ถ้าได้ผลเช่นเดิม
ผู้ได้รับคะแนนก็จะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งตามกฎหมาย
ถ้าถูกขัดขวางจนไม่สามารถเข้าไปใช้สิทธิในหน่วยเลือกตั้งได้ ทำอย่างไร
การถูกขัดขวาง
อาจจะถูกขัดขวางได้ทั้งจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง
และกกต.ของเขตนั้นๆ เอง ก็ให้รวบรวมหลักฐานเท่าที่ทำได้ เช่น ภาพถ่าย
คลิปวีดิโอ
แล้วนำไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในท้องที่ในข้อหาขัดขวางการใช้สิทธิเลือกตั้ง
ตาม มาตรา 76 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.
และการได้มาซึ่งส.ว. พ.ศ.2550 และตามประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้อง เช่น
ความผิดฐานข่มขืนใจ ตามมาตรา 309 ฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา 295 เป็นต้น
และถ้าหากถูกขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่รัฐเอง ได้แก่ กกต. เช่น
ปิดการลงคะแนนโดยที่ไม่มีเหตุผลสมควร
ก็สามารถแจ้งความฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา
ซึ่งจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
อ้างอิงจากบทความ “กางกฎหมายไปเลือกตั้ง ถ้าถูกขัดขวางการใช้สิทธิจะทำอย่างไร” เว็บไซต์ประชาไท
เลือกตั้งไปแล้วจะเป็นอย่างไร โมฆะหรือไม่
เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้มีปัญหามากมายตั้งแต่สมัคร
รับเลือกตั้ง หลายจังหวัดไม่สามารถจัดให้มีการรับสมัครเลือกตั้งได้
อีกทั้งพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็บอยคอตการเลือกตั้ง ทำให้มี
28 เขตจาก 375 เขต ที่ไม่มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และอีก 12
เขตที่มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงคนเดียว
ก็มีปัญหาให้ต้องคิดกันต่อไปว่า
แม้เลือกตั้งไปแล้วก็อาจไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้
เพราะจำนวนส.ส.ไม่ครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ในรัฐธรรมนูญมาตรา 93 วรรค 6 กำหนดไว้ว่า
ในกรณีที่มีเหตุการณ์ใดๆ
ทําให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใดมีจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ไม่ถึงห้าร้อยคน
แต่มีจํานวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของจํานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง
หมด ให้ถือว่าสมาชิกจํานวนน้ันประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎร
แต่ต้องดําเนินการให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ให้ครบตามจํานวนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันและให้
อยู่ในตําแหน่งได้เพียงเท่าอายุ ของสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่แน่ๆ
จะยังไม่มีผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 28 คนจาก 28 เขตที่ไม่มีคนลงสมัคร
ก็ถือว่าไม่ถึง 95% ของส.ส.ทั้งสภาจำนวน 500 คน
ทำให้ไม่อาจเปิดประชุมสภาได้ กลไกต่างๆ ก็ยังเดินหน้าต่อไปไม่ได้
แม้ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติไว้ว่าในกรณีเช่นนี้ต้องทำอย่างไร
แต่โดยหลักการทั่วไปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้ได้จำนวนส.ส.ครบขั้นต่ำที่
รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ได้ ขณะที่
กกต.เองก็พยายามจะนำข้ออ้างนี้มาเพื่อเสนอให้รัฐบาลเลื่อนกำหนดวันเลือกตั้ง
และนักวิชาการหลายคนก็ให้ความเห็นไปว่า
ด้วยเหตุนี้อาจทำให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น