ที่มา http://satienchannel.wordpress.com/
(ไม่รู้ว่าเป็นข้อเท็จจริงประการใดแต่น่ารักดี)
“ผมอยากทำกับข้าวให้วรเจตน์ กับบรรเจิดกินอีกครั้ง”
“แต่ก่อนผมจะเป็นคนเข้าครัวทำอาหารให้บรรเจิด กับวรเจตน์
กินเพราะทั้งสองคนฝีมือทำกับข้าวแย่มาก”แววตาเป็นประกายของ เอก ปริญญา
เทวานฤมิตรกุล
บ่งบอกถึงความสุขเวลาได้หวนคิดถึงเรื่องราวความผูกพันที่มีกับเพื่อนรักทั้ง
สองคน ในวัยหนุ่มสาว
วันที่สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่พัดพาให้พวกเขาต้องยืนอยู่คนละมุมแบบทุก
วันนี้
ย้อนกลับไปกว่า 10 ปีที่แล้ว
พวกเขาคือนักศึกษากฎหมายมหาชนจากเมืองไทย
ที่ไปร่ำเรียนอยู่ที่ประเทศเยอรมัน วรเจตน์ หรืออาร์ม กับ ปริญญา
เรียนอยู่เมืองเดียวกันคือ Goettingen ส่วนเปี๊ยก บรรเจิดเรียนเมือง Bochum
เมืองที่มีทีมฟุตบอลโด่งดังในบุนเดสลีกา
ในวันที่อยู่ที่เมืองเบียร์
นอกจากพระเจ้าแล้วใครจะรู้ว่าบรรเจิด และวรเจตน์
วันหนึ่งจะมายืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามกัน กลายเป็นผู้นำกลุ่มนิติราษฎร์
และสยามประชาภิวัฒน์ สองปีกความคิดที่ปะทะกันอยู่ตอนนี้
เพราะในอดีตทั้งสองคือเพื่อนร่วมก๊วน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน กิน
เที่ยวอยู่ด้วยกัน ตามประสาคนที่อยู่ไกลบ้านเกิดเมืองนอน
ใช้เวลาเป็นวันๆขลุกกันอยู่ในบ้านของปริญญา เพื่อถกเถียงปัญหาข้อกฎหมาย
และที่ขาดไม่ได้คือการถกประเด็นปัญหาการบ้านการเมืองในประเทศไทย
ทั้งสามคนมีความฝันร่วมกันว่าเมื่อคว้าดอกเตอร์ได้แล้วจะเอาความรู้ความ
สามารถกลับไปเปลี่ยนบ้านแปลงเมือง
ปริญญา เล่าว่า สมัยที่อยู่เยอรมัน
เขามักจะเป็นคนกลางนัดทั้งวรเจตน์ และบรรเจิดมานั่งคุยกันที่บ้านอยู่บ่อยๆ
โดยตัวเองเป็นคนทำอาหารให้กินเพราะฝีมือทำอาหารของทั้งสองคนแย่มาก
เราคุยกันจริงจังว่าจะใช้ความรู้ที่มี ไปเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
เราเห็นตรงกันว่าประเทศไทยไปไม่รอดถ้ามีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญกันอยู่
บ่อยๆเป็นวงจรอุบาทว์ ต้องปฎิรูปการเมือง
ทำอย่างไรให้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง
กลับไปเมืองไทยเราต้องทำเรื่องเหล่านี้กัน
และทันทีที่ทั้งสามสหาย
กลับมาเป็นอาจารย์ที่เมืองไทยก็ไม่รีรอที่จะเดินตามความฝัน
พวกเขางัดวิชาความรู้ที่ได้เรียนมา
แถมด้วยความทรงจำอันเจ็บปวดของคนเยอรมันที่ได้รับจากระบอบฮิตเลอร์
ตั้งป้อมฟาดฟันกับระบอบทักษิณ
ที่วันนั้นเริ่มที่จะใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย
และเอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง
โดยใช้ฐานอ้างอิงเดียวกันกับฮิตเลอร์ คือการเลือกตั้ง
ตำนานการต่อสู้ของสามทหารเสือแห่งนิติมธ. ถูกเปิดขึ้น
ทั้งสามคนแสดงความห้าวหาญลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับนักกฎหมายอาวุโส
ที่ผู้คนให้ความเคารพทั้งบ้านทั้งเมือง โดยไม่มียำเกรง และ วรเจตน์
ผู้นำนิติราษฎร์
วันนี้คือมือร่างแถลงการณ์ของกลุ่มอาจารย์หนุ่มที่ได้ชื่อว่าร้อนแรงที่สุด
ในยุคนั้น
แต่โชคชะตาของบ้านเมืองที่ผันผวนปรวนแปร
ความแตกแยกในบ้านเมืองได้แบ่งแยกเส้นทางของสหายร่วมอุดมการณ์ทั้งสามคนให้
ต้องกระเด็นกระดอนไปอยู่คนละปีกความคิด ตามแต่ทัศนะการมองโลกที่แตกต่างกัน
ในสายตาของ ปริญญา มองว่าตัวการที่ทิ่มแทงให้บรรเจิด และวรเจตน์ ต้องกลายเป็นคู่ขัดแย้งกันเอง คือการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
เหตุการณ์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตำนานการต่อสู้ของ
สามทหารเสือแห่งนิติมธ. ปิดฉากลง
โดยแต่ละคนก็ไปเปิดฉากใหม่พร้อมกับพลพรรคของตัวเองบนเส้นทางที่เลือกเดิน
ปริญญา วิเคราะห์ว่า การรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
ทำให้ทั้งสองคนไปด้วยกันไม่ได้
เป็นเรื่องของการให้น้ำหนักและให้คุณค่าแตกต่างกันเล็กน้อย วรเจตน์
คงจะเห็นว่าการใช้อำนาจของทักษิณ ถึงจะไม่ถูกต้อง
แต่การรัฐประหารเลวร้ายกว่า ทักษิณ จะเลวร้ายอย่างไร
ก็ยังมาจากการเลือกตั้ง
ส่วนบรรเจิด นั้นเขาก็มั่นใจว่าเพื่อนรุ่นพี่คนนี้
ไม่ได้เชียร์รัฐประหาร แต่ในเมื่อทำแล้วก็ห้ามไม่ได้ และปัญหาของคุณทักษิณ
ก็ร้ายแรงมากบางทีถ้าจะรัฐประหารก็จำเป็น
สองคนให้น้ำหนักสองเรื่องนี้ต่างกัน มันเป็นความต่างกันเล็กน้อย
ถ้าเทียบกับจุดร่วมที่มีมากกว่าประมาณ 80 ต่อ 20
จุดที่เหมือนกันของทั้งสองคนในมุมมองของปริญญา คือ
วรเจตน์ ก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจโดยมิชอบของทักษิณ
เพราะเขาก็เคยค้านทักษิณเอง ส่วน
บรรเจิดก็ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารแน่นอน
แต่จุดที่เหมือนกันไม่ได้นำมาต่อยอด
พอไม่ได้คุยกันนานเข้าช่องว่างมันก็ถ่างขึ้นเรื่อยๆ
แล้วแต่ละคนก็ไปคุยแต่กับฝ่ายตัวเอง ก็เลยเหมือนยิ่งมีกำแพงสูงขึ้นเรื่อยๆ
จุดต่างของอีกฝ่ายก็ถูกขยายไปเรื่อยๆ
จุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองในหลายประเทศก็เริ่มจากตรงนี้
คือไม่มีกระบวนการที่จะพูดคุยกัน ก็ต้องจบด้วยความรุนแรง
นอกจากแนวคิดที่ตรงกันเป็นส่วนใหญ่แล้วจากที่คบค้าสมาคม
กันนับสิบปี ทำให้ปริญญา
พบว่าที่สามคนคบหากันได้นานเพราะต่างมีความตั้งใจศึกษาธรรมะอย่างเอาจริงเอา
จังทุกคน
ปริญญา เล่าว่า สองคนนี้สนใจธรรมะอย่างจริงจัง
หลายคนไม่รู้ว่า วรเจตน์ ศึกษาเข้มข้นจนมีความรู้ด้านธรรมะชั้นสูงมาก
อ่านหนังสือพุทธรรม ของพระอาจารย์ปยุต ปยุตโต เล่มหนาๆจนจบสบายๆ
ส่วนบรรเจิด ก็ฝักใฝ่ในทางธรรม ไปปลีกวิเวกในวัดป่าอยู่บ่อยครั้ง
และเคยพูดเสมอว่าในบั้นปลายชีวิตจะบวชแบบไม่สึก
มาวันนี้เพื่อนทั้งสอง ได้เคลื่อนไหวตามความเชื่อ
ท่ามกลางหมู่มิตรร่วมอุดมการณ์ ทั้ง “นิติราษฎร์” และ “สยามประชาภิวัฒน์”
ขณะที่ปริญญา ก็ทำหน้าที่ดูแลนักศึกษา ในบทบาทรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา
แต่ก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึงวันคืนเก่าๆ
เห็นภาพของเด็กหนุ่มสามคนที่ถกเถียงปัญหาข้อกฎหมายการเมืองกันอย่างเอาเป็น
เอาตาย โดยที่ไม่มีสังกัดกลุ่มไม่มีสีเป็นตัวกั้นกลาง
เขายังมีความเชื่อลึกว่าวันคืนเหล่านั้นจะกลับมา
เพราะมั่นใจว่าทั้งวรเจตน์และบรรเจิด
มีสิ่งที่เหมือนกันที่ชัดเจนคือความหวังดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง
“ผมรอคอยที่วันนั้นมาถึง ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ผมจะเข้าครัวทำกับข้าวให้เพื่อนกินกันอีกครั้ง และมันจะเป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุด”
Credit


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น