แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เกษียร เตชะพีระ : ฉันเพื่อน

ที่มา Thai E-News


อาจารย์เกษียร เตชะพีระ
อ่าน "เรื่องราวของสามสหาย" นักเรียนกฎหมายไทยในเยอรมนีที่อ.ปริญญาบ่นอยากทำกับข้าวเลี้ยงอ.วรเจตน์กับอ.บรรเจิดอีกครั้ง http://satienchannel.wordpress.com/
ก็ทำให้ผมนึกถึงฉาก "ฉันเพื่อน" ระหว่างผมกับเพื่อนเก่าบางท่านขึ้นมา ดังเนื้อความในภาพด้านล่างนี้...http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q1/2009february27p7.htm)
ฉันเพื่อน (ตอนต้น)

โดย เกษียร เตชะพีระ  มติชนรายวัน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11311

สิบกว่าปีก่อน หลังเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม 2535 ไม่นาน เพื่อนรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองและคอลัมนิสต์ของ หนังสือพิมพ์ธุรกิจชื่อดัง ปรากฏว่าการทำข่าวขุดคุ้ยเปิดโปงกรณีไม่ชอบมาพากลในการสั่งซื้อรถถังรถเกราะ ด้อยคุณภาพจากจีนในยุคของอดีตผู้บัญชาการทหารบก ทำให้พี่คนนั้นตกเป็นเป้ากระหน่ำโจมตีอย่างหนักจากบริษัทบริวารของท่านนายพล

ด้วยความห่วงใยฉันเพื่อนที่มีใจผูกพันกันมากกว่าแค่ร่วมงาน

พวกเราที่เป็นคอลัมนิสต์หรือเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ ฉบับดังกล่าวในช่วงนั้นได้ปรึกษาหารือแล้วออกเงินลงขันให้ผมไปซื้อรถถังเด็ก เล่นคันเล็กน่ารักมาเป็นของขวัญให้กำลังใจแก่เพื่อนรุ่นพี่ พร้อมทั้งชวนให้มาร่วมดื่มสังสันทน์กันที่ห้องพักของเพื่อนอาจารย์ในคณะ เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตอนบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง

ผมจำไม่ได้แน่ว่าดื่มอะไร แค่ชากาแฟหรือไวน์ด้วย แต่ที่จำได้แม่นคือผู้นั่งล้อมวงสังสันทน์ฉันเพื่อนวันนั้น นอกจากผมและ พี่คำนูณ สิทธิสมาน บรรณาธิการแห่งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ที่มาชั้นหลังนี้กลายเป็นผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุด คมช. และวุฒิสมาชิกสรรหาชุดปัจจุบันแล้ว ก็มี...

-อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย เจ้าของคอลัมน์มองอย่างตะวันออก/บูรพาไม่แพ้ที่โด่งดังในหน้าหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวันตอนนั้น ผู้กลายมาเป็นนักวิชาการเสื้อเหลืองแถวหน้า

-และ อาจารย์พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เจ้าของห้องพักและผู้เขียนบทความการเมือง, โหราศาสตร์แบบยูเรเนี่ยนและดนตรีคลาสสิคลงแจมในผู้จัดการรายวันเป็นครั้ง คราว ที่ผันตัวเองมาเป็นที่ปรึกษาแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ปัญญาชนนักทฤษฎีและนักยุทธศาสตร์เสื้อแดงคนสำคัญ
แค่คิดว่าสมาชิกร่วมวงวันนั้นทั้งสี่ ต่างแยกย้ายกันไปยืนอยู่ฟากไหนข้างใดบ้างในการเมืองแบ่งสีเสื้อปัจจุบัน ก็ชวนให้สะทกสะท้อนใจ

อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย
สิบกว่าปีถัดมา เพื่อนร่วมวงวันนั้น ต่างมีอันแตกกระจัดพลัดกระจายไปตามทางเดินของแต่ละคน เห็นต่างกันบ้าง โต้แย้งถกเถียงกันบ้าง เลิกคบกันบ้าง วนเวียนมาพบปะโอภาปราศรัยกันบ้าง ออกความคิดความเห็นช่วยเหลือกันบ้าง ตามวาระโอกาสที่ผ่านเข้ามา

สามสี่ปีหลังนี้ แม้เส้นแบ่งและความขัดแย้งทางการเมืองจะแหลมคมเข้มข้นขึ้นทุกที แต่ผมยังได้ต้อนรับอาจารย์สุวินัยที่เอาหนังสือของท่านมาฝากให้ที่ห้องพัก และสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันฉันมิตรเป็นครั้งคราว และพอหนังสือของผมพิมพ์ออกมาบ้าง ผมก็จะคอยส่งไปกำนัลอาจารย์สุวินัยเป็นการตอบแทน รวมทั้งถือติดมือไปฝากให้พี่คำนูณไว้ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ด้วย

แล้วจู่ ๆ ราวเดือนเมษายนศกก่อน ผมก็ได้อี-เมลจากพี่คำนูณอย่างไม่คาดหมาย เป็นคำเชิญชวนให้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อนของพี่คำนูณในเว็บ Hi 5 ผมลองเปิดเข้าไปดูหน้าเว็บนั้น ก็ได้เห็นรูปพี่คำนูณและครอบครัว โดยเฉพาะลูกเล็กของพี่ซึ่งน่ารักน่าเอ็นดูมาก ผมลองตอบรับคำเชิญนั้น แต่ความที่ใหม่ต่อโปรแกรม Hi 5 ซึ่งสำหรับผมออกจะยุ่งยากซับซ้อน จึงพิมพ์ข้อมูลไม่ทันครบถ้วน ค้างคาไว้ครึ่งๆ กลางๆ...

โชติศักดิ์ จักรภพ

ช่วงนั้นเผอิญมีข่าวครึกโครมเรื่องคุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง และเพื่อนไม่ลุกขึ้นยืนในโรงหนังระหว่างเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีพอดี รายการวิทยุของผู้จัดการรายการหนึ่งได้นำไปประณามโจมตีและเลยเถิดถึงแก่ชัก ชวนให้ใช้กำลังกับคุณโชติศักดิ์

ผมได้เขียนบทความแสดงความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณโชติ ศักดิ์ทำ ขณะเดียวกันก็ทักท้วงวิจารณ์ปฏิกิริยาเลยเถิดดังกล่าวรวมทั้งในกรณีคำ ปราศรัยที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของ รมว. จักรภพ เพ็ญแข ว่าอาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 พร้อมทั้งเรียกร้องให้ดำเนินการกรณีเหล่านี้ไปตามกรอบกฎหมาย

เท่านั้นเอง ผมก็ได้รับความสนใจถูกนำไปกล่าวขวัญขุดคุ้ยวิพากษ์วิจารณ์จากนานาคอลัมน์ หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์และรายการทีวีวิทยุของผู้จัดการ-เอเอสทีวีอย่างเที่ยงตรงบ้างผิด เพี้ยนบ้าง (คอลัมนิสต์บางคนสะกดชื่อผมยังไม่ถูก, แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเข้าป่าหลัง 6 ตุลา เป็นต้น) อึงคะนึงต่อเนื่องกันหนึ่งสัปดาห์เต็ม เล่นเอาผมอิ่มและอ่วมอรทัยไปทีเดียว

หลังจากนั้น ผมก็เลยลังเลใจมากที่จะกลับไปพิมพ์ข้อมูลเข้ากลุ่มเพื่อนพี่คำนูณใน Hi 5 ต่ออีกจนตราบเท่าทุกวันนี้

ในช่วงหลายปีหลังที่ผมห่างหายจากวงเพื่อนสังสันทน์ทั้งสี่ ออกไป (ความจริงผมเขียนคอลัมน์ประจำที่ผู้จัดการรายวันเป็นแห่งแรกตั้งแต่ปี 2535 ก่อนจะย้ายวิกมามติชนในปี 2540 เนื่องจากพี่คำนูณกระซิบบอกว่า "นาย" ไม่ชอบคอลัมน์ที่ผู้จัดการของผม, ไม่ใช่เขียนที่มติชนก่อนแล้วจึงย้ายไปขอเขียนที่ผู้จัดการอย่างที่ "นาย" อ้างบนเวทีพันธมิตร)

ผมได้คบค้าไปมาหาสู่ร่วมกิจกรรมหลายอย่างอยู่กับกลุ่มเพื่อนอาจารย์ทางเชียงใหม่ที่เรียกตัวเองว่า "มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน"
อาจารย์พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ฉันเพื่อน (ตอนจบ)

โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11318

พวกเราที่ "มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน" ก็จะประชุมอภิปรายสัมมนาวิชาการกันบ้าง, เคลื่อนไหวช่วยเหลือให้กำลังใจและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชาวบ้านสมัชชาคนจนที่ ประท้วงโครงการพัฒนาของรัฐซึ่งรุกรานฐานทรัพยากรของพวกเขาที่ปากมูล, บ่อนอก-หินกรูดและทำเนียบรัฐบาลบ้าง, แสดงทรรศนะท่าทีต่อสาธารณะในประเด็นการเมืองเรื่องสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมบ้าง, ร่วมกันทำบุญถวายพระพุทธรูปให้วัดป่าทางอีสานบ้าง

แต่ที่บ่อยหน่อยและเราโปรดปรานกันมากคือซอกแซกไปเที่ยวหา ของอร่อยๆ กินกันตามจังหวัดหัวเมืองต่างๆ และเดินทางขับรถไปเที่ยวตากอากาศกันไกลๆ ตามชายทะเลและชายแดนพม่า ลาว มาเลเซีย ฯลฯ
ขึ้นชื่อว่าปัญญาชนนักวิชาการนั้นคบกันรวมหมู่ไม่ง่าย เพราะต่างคนต่างมีลักษณะปัจเจกและวีรชนเอกชนสูง ร่ำเรียนกันมาก็ไม่น้อย ภูมิรู้แน่นในสาขาวิชาของตน ค่อนข้างถือว่ากูก็แน่ ไม่ยอมลงให้กันง่ายๆ พูดมาก ช่างคิด แก่ตำรา บ้าทฤษฎี จึงลงมือทำอะไรร่วมกันลำบาก ฯลฯ

ลักษณะที่กล่าวมานี้ ปัญญาชนกลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็มีอยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่ที่พวกเขาทนกันได้ รวมกันติดและร่วมไม้ร่วมมือทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสาธารณะมา มากมายหลายอย่างนับสิบปี ก็เพราะพวกเขาตั้งใจดีต่อบ้านเมืองและสังคม เริ่มต้นจากผลประโยชน์ของส่วนรวม โดยเฉพาะคนชายขอบที่เสียเปรียบไร้อำนาจทรัพย์สินอย่างบริสุทธิ์ใจ เจตนาที่ดีและบริสุทธิ์ กิจกรรมที่หลากหลายทั้งเชิงปัญญาวิชาการและปฏิบัติทางการเมือง

การได้ใช้ชีวิตคลุกคลีตีโมงรู้จักใกล้ชิดกันทั้งยามทำงาน ยามกินยามเที่ยวยามลำบากยามสบาย ทำให้พวกเขาเรียนรู้อุปนิสัยใจคอข้ออ่อนจุดแข็งของกันและกันและค่อยๆ ปรับตัวถ้อยทีถ้อยอาศัย ลดทิฐิมานะ น้อมใจรับฟัง แสวงหาฉันทามติ หาช่องทางและรูปแบบวิธีการที่แต่ละคนจะได้แสดงบทบาทความสามารถที่ตัวถนัดที่ สุดเพื่อประสานภารกิจร่วมกันอย่างลงตัว

ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสมบูรณ์แบบ อย่างเช่น

อาจารย์ อ. ช่างคิดแหลมคมแต่ร้อยเรียงไม่ค่อยเป็นระบบ ทำให้คนฟังงงๆ ต้องถามต่อว่าแล้วไง?

อาจารย์ ส.1 ชอบคุยเขื่องแล้ววนหาที่ลงไม่ได้ สุดท้ายก็ปักหัวดิ่งลงเอาดื้อๆ หยั่งงั้นเอง อาจารย์ ส.2 รู้กฎหมายดี แต่ปากคอเราะรายเชือดเฉือนผิดธรรมเนียมนักกฎหมายทั่วไป อาจารย์ พ. ก็รู้กฎหมายดี แต่คนกลับมักขอให้แกช่วยแก้ปัญหาเทคนิคร้อยแปดที่ไม่เกี่ยวกับกฎหมายเลยแล้ว แกก็ดันแก้ได้เสียด้วยจนได้สมญาว่า "แม็คไกเวอร์"

อาจารย์ ช.1 เมตตาสูงธรรมะธัมโมจนนึกว่าแกเป็นมหาที่เพิ่งสึกออกมาเป็นฆราวาส

อาจารย์ ช.2 น่ากลัวมาก เพราะถ้าแกชวนคุยติดลมแล้วแกจะเกาะติดกัดไม่ปล่อยจนคุณมึนงงสมองหมุนตาลายอยากร้องไห้เลยเทียว ฯลฯ

แต่พวกเขาน่ารักก็ตรงที่ไม่สมบูรณ์แบบนี่เอง เพราะเราได้เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา และความเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญที่ถูกบ้างผิดบ้าง ดีบ้างเพี้ยนบ้าง ฉลาดบ้างโง่บ้าง งามบ้างขี้เหร่บ้าง น่าเบื่อบ้างน่าสนใจบ้าง น่าทึ่งบ้างน่าขำบ้าง ฯลฯ ความเป็นมนุษย์ที่มีตำหนิด่างพร้อยเหมือนรอยลักยิ้มริมแก้มอันทำให้พวกเขา ไม่ใช่อภิมนุษย์นี่แหละที่ทำให้พวกเขาน่ารัก

ไม่มีใครในหมู่พวกเขาชั่วร้าย แม้ในยามที่มืดมิดผิดหวังที่สุด พวกเขาก็พยายามยึดหลักศีลธรรมบางอย่างไว้แน่น ถึงมันจะเป็นการลงโทษตัวเองและคนที่เขาเคารพรักนับถืออย่างเจ็บปวดก็ตาม
ผมรู้จักพวกเขาดี พวกเขาไม่ใช่เครือข่ายขบวนการล้มเจ้าบ้าบอคอแตกอะไรนั่นหรอกครับ คนที่ละเมอเพ้อพกว่าอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ ทำแนวร่วมกับมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนนั้น แสดงว่าไม่รู้จักทั้งอาจารย์ใจและชาว ม.เที่ยงคืน เพราะเอาเข้าจริงอาจารย์ใจแค่ทำแนวร่วมกับอาจารย์ร่วมคณะเดียวกันยังลำบาก เลย.....

ในสมัยที่รัฐบาลคุณทักษิณเรืองอำนาจที่สุด ชาว ม.เที่ยงคืนร่วมกับนิตยสารฟ้าเดียวกันนี่แหละที่ริเริ่มการสัมมนาวิชาการ เปิดฉากวิพากษ์โจมตีระบอบทักษิณขึ้นมาอย่างเป็นงานเป็นการ ขณะที่หนังสือพิมพ์บางฉบับยังยกย่องทักษิณเป็นนายกฯที่ดีที่สุดของประเทศ ไทยอยู่ด้วยซ้ำไป

และเพราะความที่พวกเขาเป็นตัวของตัวเอง เคารพตัวเองนั่นแหละ พวกเขาจึงร่วมวิพากษ์วิจารณ์รัฐประหารและเปิดฉากคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ประชามติของ คมช.ด้วยจุดยืนประชาธิปไตย
ผมเข้าใจได้ว่าทำไมบางคนในหมู่พวกเขาร่วมลงชื่อเรียกร้อง ให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อเร็วๆ นี้ เพราะในรอบสี่ปี่ที่ผ่านมา คู่ขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่ายต่างใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมฯมาฟ้องร้องเล่นงาน ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างไม่เลือกหน้าและไม่ยับยั้งชั่งใจ ทำให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายใหญ่โตออกไป และยังความเดือดร้อนให้กับองค์พระประมุขและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนถึงแก่พระองค์ตรัสเรื่องนี้ออกมาเอง

การปล่อยให้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกลายเป็นเครื่องมือ เล่นงานคู่ขัดแย้งทางการเมืองจะไม่ช่วยปกป้องและไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหา กษัตริย์แต่อย่างใด

การปกป้ององค์พระประมุขจากการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายควร ทำด้วยการนำเครื่องมือในการปกป้องคือกฎหมายหมิ่นพระบรมฯ ออกไปอยู่ห่างต่างหากจากการเมือง อย่าปล่อยให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ว่าของฝ่ายใด ด้วยการจัดตั้งองค์กรที่เป็นกลางไม่อยู่ใต้สังกัดการเมืองขึ้นมารับผิดชอบ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการฟ้องร้องคดีหมิ่นพระบรมฯทั้งหลายทั้งปวง แทนที่จะให้ตำรวจซึ่งอยู่ใต้การบังคับบัญชาและกดดันของนักการเมืองและกระแส สังคมโดยตรงทำดังที่ผ่านมา

สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมั่นคงยังยืนอยู่ได้ท่ามกลางความ ผันผวนเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองหลัง พ.ศ.2475 ก่อนอื่นและเหนืออื่นใดด้วยพระราชอำนาจนำและพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร ไม่ใช่ด้วยอำนาจบังคับข่มขู่คุกคามทางกฎหมายอันเป็นเพียงเครื่องประกอบ
ประชาชนไทยควรได้ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความไว้วางใจ ไม่ใช่ด้วยความกลัวและหวาดระแวง

ผมหวังว่าพี่คำนูณและอาจารย์สุวินัยจะรับฟังคำทักท้วงฉันเพื่อนเก่าจากผมสักครั้ง

ooo
เรื่องเกี่ยวเนื่อง  

“ผมอยากทำกับข้าวให้วรเจตน์ กับบรรเจิดกินอีกครั้ง” - ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น