![]() |
| อาจารย์เกษียร เตชะพีระ |
อ่าน "เรื่องราวของสามสหาย" นักเรียนกฎหมายไทยในเยอรมนีที่อ.ปริญญาบ่นอยากทำกับข้าวเลี้ยงอ.วรเจตน์กับอ.บรรเจิดอีกครั้ง http://satienchannel.wordpress.com/
ก็ทำให้ผมนึกถึงฉาก "ฉันเพื่อน" ระหว่างผมกับเพื่อนเก่าบางท่านขึ้นมา ดังเนื้อความในภาพด้านล่างนี้...http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q1/2009february27p7.htm)
ฉันเพื่อน (ตอนต้น)
โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11311
สิบกว่าปีก่อน หลังเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม 2535 ไม่นาน
เพื่อนรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองและคอลัมนิสต์ของ
หนังสือพิมพ์ธุรกิจชื่อดัง
ปรากฏว่าการทำข่าวขุดคุ้ยเปิดโปงกรณีไม่ชอบมาพากลในการสั่งซื้อรถถังรถเกราะ
ด้อยคุณภาพจากจีนในยุคของอดีตผู้บัญชาการทหารบก
ทำให้พี่คนนั้นตกเป็นเป้ากระหน่ำโจมตีอย่างหนักจากบริษัทบริวารของท่านนายพล
ด้วยความห่วงใยฉันเพื่อนที่มีใจผูกพันกันมากกว่าแค่ร่วมงาน
พวกเราที่เป็นคอลัมนิสต์หรือเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์
ฉบับดังกล่าวในช่วงนั้นได้ปรึกษาหารือแล้วออกเงินลงขันให้ผมไปซื้อรถถังเด็ก
เล่นคันเล็กน่ารักมาเป็นของขวัญให้กำลังใจแก่เพื่อนรุ่นพี่
พร้อมทั้งชวนให้มาร่วมดื่มสังสันทน์กันที่ห้องพักของเพื่อนอาจารย์ในคณะ
เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตอนบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง
ผมจำไม่ได้แน่ว่าดื่มอะไร แค่ชากาแฟหรือไวน์ด้วย
แต่ที่จำได้แม่นคือผู้นั่งล้อมวงสังสันทน์ฉันเพื่อนวันนั้น นอกจากผมและ
พี่คำนูณ สิทธิสมาน บรรณาธิการแห่งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
ที่มาชั้นหลังนี้กลายเป็นผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุด คมช. และวุฒิสมาชิกสรรหาชุดปัจจุบันแล้ว
ก็มี...
-อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย
เจ้าของคอลัมน์มองอย่างตะวันออก/บูรพาไม่แพ้ที่โด่งดังในหน้าหนังสือพิมพ์
ผู้จัดการรายวันตอนนั้น ผู้กลายมาเป็นนักวิชาการเสื้อเหลืองแถวหน้า
-และ อาจารย์พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
เจ้าของห้องพักและผู้เขียนบทความการเมือง,
โหราศาสตร์แบบยูเรเนี่ยนและดนตรีคลาสสิคลงแจมในผู้จัดการรายวันเป็นครั้ง
คราว ที่ผันตัวเองมาเป็นที่ปรึกษาแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.)
ปัญญาชนนักทฤษฎีและนักยุทธศาสตร์เสื้อแดงคนสำคัญ
แค่คิดว่าสมาชิกร่วมวงวันนั้นทั้งสี่ ต่างแยกย้ายกันไปยืนอยู่ฟากไหนข้างใดบ้างในการเมืองแบ่งสีเสื้อปัจจุบัน ก็ชวนให้สะทกสะท้อนใจ
![]() |
| อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย |
สิบกว่าปีถัดมา เพื่อนร่วมวงวันนั้น
ต่างมีอันแตกกระจัดพลัดกระจายไปตามทางเดินของแต่ละคน เห็นต่างกันบ้าง
โต้แย้งถกเถียงกันบ้าง เลิกคบกันบ้าง วนเวียนมาพบปะโอภาปราศรัยกันบ้าง
ออกความคิดความเห็นช่วยเหลือกันบ้าง ตามวาระโอกาสที่ผ่านเข้ามา
สามสี่ปีหลังนี้
แม้เส้นแบ่งและความขัดแย้งทางการเมืองจะแหลมคมเข้มข้นขึ้นทุกที
แต่ผมยังได้ต้อนรับอาจารย์สุวินัยที่เอาหนังสือของท่านมาฝากให้ที่ห้องพัก
และสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันฉันมิตรเป็นครั้งคราว
และพอหนังสือของผมพิมพ์ออกมาบ้าง
ผมก็จะคอยส่งไปกำนัลอาจารย์สุวินัยเป็นการตอบแทน
รวมทั้งถือติดมือไปฝากให้พี่คำนูณไว้ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ด้วย
แล้วจู่ ๆ ราวเดือนเมษายนศกก่อน
ผมก็ได้อี-เมลจากพี่คำนูณอย่างไม่คาดหมาย
เป็นคำเชิญชวนให้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อนของพี่คำนูณในเว็บ Hi 5
ผมลองเปิดเข้าไปดูหน้าเว็บนั้น ก็ได้เห็นรูปพี่คำนูณและครอบครัว
โดยเฉพาะลูกเล็กของพี่ซึ่งน่ารักน่าเอ็นดูมาก ผมลองตอบรับคำเชิญนั้น
แต่ความที่ใหม่ต่อโปรแกรม Hi 5 ซึ่งสำหรับผมออกจะยุ่งยากซับซ้อน
จึงพิมพ์ข้อมูลไม่ทันครบถ้วน ค้างคาไว้ครึ่งๆ กลางๆ...
โชติศักดิ์ จักรภพ
ช่วงนั้นเผอิญมีข่าวครึกโครมเรื่องคุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง
และเพื่อนไม่ลุกขึ้นยืนในโรงหนังระหว่างเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีพอดี
รายการวิทยุของผู้จัดการรายการหนึ่งได้นำไปประณามโจมตีและเลยเถิดถึงแก่ชัก
ชวนให้ใช้กำลังกับคุณโชติศักดิ์
ผมได้เขียนบทความแสดงความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณโชติ
ศักดิ์ทำ
ขณะเดียวกันก็ทักท้วงวิจารณ์ปฏิกิริยาเลยเถิดดังกล่าวรวมทั้งในกรณีคำ
ปราศรัยที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของ รมว. จักรภพ เพ็ญแข
ว่าอาจลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองเหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา
2519 พร้อมทั้งเรียกร้องให้ดำเนินการกรณีเหล่านี้ไปตามกรอบกฎหมาย
เท่านั้นเอง
ผมก็ได้รับความสนใจถูกนำไปกล่าวขวัญขุดคุ้ยวิพากษ์วิจารณ์จากนานาคอลัมน์
หนังสือพิมพ์
เว็บไซต์และรายการทีวีวิทยุของผู้จัดการ-เอเอสทีวีอย่างเที่ยงตรงบ้างผิด
เพี้ยนบ้าง (คอลัมนิสต์บางคนสะกดชื่อผมยังไม่ถูก,
แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเข้าป่าหลัง 6 ตุลา เป็นต้น)
อึงคะนึงต่อเนื่องกันหนึ่งสัปดาห์เต็ม เล่นเอาผมอิ่มและอ่วมอรทัยไปทีเดียว
หลังจากนั้น ผมก็เลยลังเลใจมากที่จะกลับไปพิมพ์ข้อมูลเข้ากลุ่มเพื่อนพี่คำนูณใน Hi 5 ต่ออีกจนตราบเท่าทุกวันนี้
ในช่วงหลายปีหลังที่ผมห่างหายจากวงเพื่อนสังสันทน์ทั้งสี่
ออกไป (ความจริงผมเขียนคอลัมน์ประจำที่ผู้จัดการรายวันเป็นแห่งแรกตั้งแต่ปี
2535 ก่อนจะย้ายวิกมามติชนในปี 2540 เนื่องจากพี่คำนูณกระซิบบอกว่า "นาย"
ไม่ชอบคอลัมน์ที่ผู้จัดการของผม,
ไม่ใช่เขียนที่มติชนก่อนแล้วจึงย้ายไปขอเขียนที่ผู้จัดการอย่างที่ "นาย"
อ้างบนเวทีพันธมิตร)
ผมได้คบค้าไปมาหาสู่ร่วมกิจกรรมหลายอย่างอยู่กับกลุ่มเพื่อนอาจารย์ทางเชียงใหม่ที่เรียกตัวเองว่า "มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน"
![]() |
| อาจารย์พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ |
ฉันเพื่อน (ตอนจบ)
โดย เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11318
พวกเราที่ "มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน"
ก็จะประชุมอภิปรายสัมมนาวิชาการกันบ้าง,
เคลื่อนไหวช่วยเหลือให้กำลังใจและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชาวบ้านสมัชชาคนจนที่
ประท้วงโครงการพัฒนาของรัฐซึ่งรุกรานฐานทรัพยากรของพวกเขาที่ปากมูล,
บ่อนอก-หินกรูดและทำเนียบรัฐบาลบ้าง,
แสดงทรรศนะท่าทีต่อสาธารณะในประเด็นการเมืองเรื่องสิทธิเสรีภาพ
ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมบ้าง,
ร่วมกันทำบุญถวายพระพุทธรูปให้วัดป่าทางอีสานบ้าง
แต่ที่บ่อยหน่อยและเราโปรดปรานกันมากคือซอกแซกไปเที่ยวหา
ของอร่อยๆ กินกันตามจังหวัดหัวเมืองต่างๆ
และเดินทางขับรถไปเที่ยวตากอากาศกันไกลๆ ตามชายทะเลและชายแดนพม่า ลาว
มาเลเซีย ฯลฯ
ขึ้นชื่อว่าปัญญาชนนักวิชาการนั้นคบกันรวมหมู่ไม่ง่าย
เพราะต่างคนต่างมีลักษณะปัจเจกและวีรชนเอกชนสูง ร่ำเรียนกันมาก็ไม่น้อย
ภูมิรู้แน่นในสาขาวิชาของตน ค่อนข้างถือว่ากูก็แน่ ไม่ยอมลงให้กันง่ายๆ
พูดมาก ช่างคิด แก่ตำรา บ้าทฤษฎี จึงลงมือทำอะไรร่วมกันลำบาก ฯลฯ
ลักษณะที่กล่าวมานี้
ปัญญาชนกลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็มีอยู่บ้างเป็นธรรมดา
แต่ที่พวกเขาทนกันได้
รวมกันติดและร่วมไม้ร่วมมือทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสาธารณะมา
มากมายหลายอย่างนับสิบปี ก็เพราะพวกเขาตั้งใจดีต่อบ้านเมืองและสังคม
เริ่มต้นจากผลประโยชน์ของส่วนรวม
โดยเฉพาะคนชายขอบที่เสียเปรียบไร้อำนาจทรัพย์สินอย่างบริสุทธิ์ใจ
เจตนาที่ดีและบริสุทธิ์
กิจกรรมที่หลากหลายทั้งเชิงปัญญาวิชาการและปฏิบัติทางการเมือง
การได้ใช้ชีวิตคลุกคลีตีโมงรู้จักใกล้ชิดกันทั้งยามทำงาน
ยามกินยามเที่ยวยามลำบากยามสบาย
ทำให้พวกเขาเรียนรู้อุปนิสัยใจคอข้ออ่อนจุดแข็งของกันและกันและค่อยๆ
ปรับตัวถ้อยทีถ้อยอาศัย ลดทิฐิมานะ น้อมใจรับฟัง แสวงหาฉันทามติ
หาช่องทางและรูปแบบวิธีการที่แต่ละคนจะได้แสดงบทบาทความสามารถที่ตัวถนัดที่
สุดเพื่อประสานภารกิจร่วมกันอย่างลงตัว
ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสมบูรณ์แบบ อย่างเช่น
อาจารย์ อ. ช่างคิดแหลมคมแต่ร้อยเรียงไม่ค่อยเป็นระบบ ทำให้คนฟังงงๆ ต้องถามต่อว่าแล้วไง?
อาจารย์ ส.1 ชอบคุยเขื่องแล้ววนหาที่ลงไม่ได้
สุดท้ายก็ปักหัวดิ่งลงเอาดื้อๆ หยั่งงั้นเอง อาจารย์ ส.2 รู้กฎหมายดี
แต่ปากคอเราะรายเชือดเฉือนผิดธรรมเนียมนักกฎหมายทั่วไป อาจารย์ พ.
ก็รู้กฎหมายดี
แต่คนกลับมักขอให้แกช่วยแก้ปัญหาเทคนิคร้อยแปดที่ไม่เกี่ยวกับกฎหมายเลยแล้ว
แกก็ดันแก้ได้เสียด้วยจนได้สมญาว่า "แม็คไกเวอร์"
อาจารย์ ช.1 เมตตาสูงธรรมะธัมโมจนนึกว่าแกเป็นมหาที่เพิ่งสึกออกมาเป็นฆราวาส
อาจารย์ ช.2 น่ากลัวมาก เพราะถ้าแกชวนคุยติดลมแล้วแกจะเกาะติดกัดไม่ปล่อยจนคุณมึนงงสมองหมุนตาลายอยากร้องไห้เลยเทียว ฯลฯ
แต่พวกเขาน่ารักก็ตรงที่ไม่สมบูรณ์แบบนี่เอง
เพราะเราได้เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา
และความเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญที่ถูกบ้างผิดบ้าง ดีบ้างเพี้ยนบ้าง
ฉลาดบ้างโง่บ้าง งามบ้างขี้เหร่บ้าง น่าเบื่อบ้างน่าสนใจบ้าง
น่าทึ่งบ้างน่าขำบ้าง ฯลฯ
ความเป็นมนุษย์ที่มีตำหนิด่างพร้อยเหมือนรอยลักยิ้มริมแก้มอันทำให้พวกเขา
ไม่ใช่อภิมนุษย์นี่แหละที่ทำให้พวกเขาน่ารัก
ไม่มีใครในหมู่พวกเขาชั่วร้าย
แม้ในยามที่มืดมิดผิดหวังที่สุด
พวกเขาก็พยายามยึดหลักศีลธรรมบางอย่างไว้แน่น
ถึงมันจะเป็นการลงโทษตัวเองและคนที่เขาเคารพรักนับถืออย่างเจ็บปวดก็ตาม
ผมรู้จักพวกเขาดี
พวกเขาไม่ใช่เครือข่ายขบวนการล้มเจ้าบ้าบอคอแตกอะไรนั่นหรอกครับ
คนที่ละเมอเพ้อพกว่าอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์
ทำแนวร่วมกับมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนนั้น แสดงว่าไม่รู้จักทั้งอาจารย์ใจและชาว
ม.เที่ยงคืน
เพราะเอาเข้าจริงอาจารย์ใจแค่ทำแนวร่วมกับอาจารย์ร่วมคณะเดียวกันยังลำบาก
เลย.....
ในสมัยที่รัฐบาลคุณทักษิณเรืองอำนาจที่สุด ชาว
ม.เที่ยงคืนร่วมกับนิตยสารฟ้าเดียวกันนี่แหละที่ริเริ่มการสัมมนาวิชาการ
เปิดฉากวิพากษ์โจมตีระบอบทักษิณขึ้นมาอย่างเป็นงานเป็นการ
ขณะที่หนังสือพิมพ์บางฉบับยังยกย่องทักษิณเป็นนายกฯที่ดีที่สุดของประเทศ
ไทยอยู่ด้วยซ้ำไป
และเพราะความที่พวกเขาเป็นตัวของตัวเอง
เคารพตัวเองนั่นแหละ
พวกเขาจึงร่วมวิพากษ์วิจารณ์รัฐประหารและเปิดฉากคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับ
ประชามติของ คมช.ด้วยจุดยืนประชาธิปไตย
ผมเข้าใจได้ว่าทำไมบางคนในหมู่พวกเขาร่วมลงชื่อเรียกร้อง
ให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อเร็วๆ นี้
เพราะในรอบสี่ปี่ที่ผ่านมา
คู่ขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่ายต่างใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมฯมาฟ้องร้องเล่นงาน
ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างไม่เลือกหน้าและไม่ยับยั้งชั่งใจ
ทำให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายใหญ่โตออกไป
และยังความเดือดร้อนให้กับองค์พระประมุขและสถาบันพระมหากษัตริย์
จนถึงแก่พระองค์ตรัสเรื่องนี้ออกมาเอง
การปล่อยให้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกลายเป็นเครื่องมือ
เล่นงานคู่ขัดแย้งทางการเมืองจะไม่ช่วยปกป้องและไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหา
กษัตริย์แต่อย่างใด
การปกป้ององค์พระประมุขจากการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายควร
ทำด้วยการนำเครื่องมือในการปกป้องคือกฎหมายหมิ่นพระบรมฯ
ออกไปอยู่ห่างต่างหากจากการเมือง
อย่าปล่อยให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ว่าของฝ่ายใด
ด้วยการจัดตั้งองค์กรที่เป็นกลางไม่อยู่ใต้สังกัดการเมืองขึ้นมารับผิดชอบ
ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการฟ้องร้องคดีหมิ่นพระบรมฯทั้งหลายทั้งปวง
แทนที่จะให้ตำรวจซึ่งอยู่ใต้การบังคับบัญชาและกดดันของนักการเมืองและกระแส
สังคมโดยตรงทำดังที่ผ่านมา
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมั่นคงยังยืนอยู่ได้ท่ามกลางความ
ผันผวนเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองหลัง พ.ศ.2475
ก่อนอื่นและเหนืออื่นใดด้วยพระราชอำนาจนำและพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร
ไม่ใช่ด้วยอำนาจบังคับข่มขู่คุกคามทางกฎหมายอันเป็นเพียงเครื่องประกอบ
ประชาชนไทยควรได้ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความไว้วางใจ
ไม่ใช่ด้วยความกลัวและหวาดระแวง
ผมหวังว่าพี่คำนูณและอาจารย์สุวินัยจะรับฟังคำทักท้วงฉันเพื่อนเก่าจากผมสักครั้ง
ooo
เรื่องเกี่ยวเนื่อง



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น