ศูนย์รักษาความสงบ
มีมติเนรเทศนายสาธิต เซกัล นักธุรกิจสัญชาติอินเดีย
และแนวร่วมผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล พร้อมระบุว่า
ศรส.เป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ ขอให้ผู้ชุมนุมกลุ่มต่าง ๆ
ใช้ความอดทน อดกลั้น และอย่าใช้ความรุนแรง จนนำไปสู่สงครามกลางเมือง
(วันนี้ 24ก.พ.57)ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้ 1. ตาม
ที่ผู้อำนวยการ ศรส.
ได้มีหนังสือถึงพนักงานอัยการเพื่อให้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์
คำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีที่นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ ฟ้อง
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยที่ 1 กับพวก
โดยให้ข้อบังคับตามประกาศและข้อกำหนดไม่มีผลบังคับต่อโจทก์และประชาชน
และห้ามจำเลยกระทำการรวม ๙ ข้อ ดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วนั้น
พนักงานอัยการที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้แจ้งว่า
จะได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา
พร้อมคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลแพ่งตาม
ขั้นตอนของกฎหมาย
เพื่อยืนยันถึงอำนาจหน้าที่และดุลยพินิจของฝ่ายบริหารในการประกาศสถานการณ์
ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
โดยจะได้นำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวงที่แกนนำ กปปส.
ได้ร่วมกันกระทำความผิดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันตลอดมาจนถึงเหตุการณ์และความ
เสียหายที่เป็นปัจจุบัน พร้อมพยานเอกสารหลักฐานที่เป็นภาพถ่าย
ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้ กปปส.
มิได้ชุมนุมโดยสงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ
รวมถึงที่ศาลอาญาได้ออกหมายจับข้อหากบฏต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกด้วย
และเพื่อความรอบคอบและสมบูรณ์ดังกล่าว
พนักงานอัยการจะได้ยื่นเรื่องต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายในสัปดาห์นี้
อนึ่ง
จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องมาหลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำ
พิพากษานั้น ศรส.มีความกังวลใจเป็นอย่างมาก
และใคร่ขอร้องกลุ่มผู้ชุมนุมต่าง ๆ ทั้งที่สนับสนุน กปปส. กลุ่มที่คัดค้าน
กปปส. กลุ่ม นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ได้โปรดอดทน อดกลั้น
อย่าได้ออกมาใช้ความรุนแรง เพราะมีแนวโน้มว่า
สถานการณ์จะวิกฤติมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง
ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองเป็นอย่างมาก
และยากแก่การแก้ไขเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ นั้น
ศรส.ขอได้โปรดปฏิบัติหน้าที่และภารกิจของตนโดยเคร่งครัด
เฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม
ศรส.เองได้ปรับกำลังตำรวจให้ทำหน้าที่ดูแลและเฝ้าระวังเหตุร้ายต่าง ๆ
ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยเพิ่มอัตรากำลังอีกถึง 2,000 นาย
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ กปปส.
ห้ามไม่ให้ตำรวจเข้าตรวจตราดูแลในบริเวณการชุมนุม
ซึ่งตำรวจจะได้พยายามทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด
2. ตาม
ที่ ศรส.เห็นชอบให้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับนายสาธิต เซกัล สัญชาติอินเดีย
มีพฤติการณ์รับฟังได้ว่า
เป็นบุคคลต่างด้าวที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำให้เกิด
สถานการณ์ฉุกเฉิน ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการต่อไปนั้น
ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง
ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว
แล้วมีมติว่า นายสาธิตฯ
มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม
หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน
หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
เห็นควรเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 53
ประกอบมาตรา 12(7) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522
และจะได้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้
มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของนายสาธิตฯ ต่อไป ซึ่ง ศรส.
ได้รับทราบแล้วมีความเห็นว่า ตามมาตรา ๗
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
ประกอบกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ 1/2557 เรื่อง
การจัดตั้งศูนย์รักษาความสงบ ฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2557
อำนาจหน้าที่การสั่งเพิกถอนฯ ดังกล่าว ได้โอนมาเป็นของผู้อำนวยการ ศรส.แล้ว
ศรส.จึงจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยจะให้ผู้อำนวยการ ศรส.
ลงนามสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้ นายสาธิตฯ
มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายโดยเร็วต่อไป
3. ศร
ส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าใน
การดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม
กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่าง ๆ
ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้
ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรงขณะนี้มีจำนวน
คดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 185 คดี
คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง
จำนวน 170 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 355 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน
124 คน ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน 43 คน
4. ตามนโยบาย
ของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ
ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหา
นครของ กปปส. โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ดังนั้น
เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม ศรส.
ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ
ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้ ขณะนี้สามารถเปิดได้ถึง53 แห่งแล้ว
แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้
ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้
และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก
ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก
โดยเฉพาะในเช้าวันนี้ กปปส. ได้ไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการ จำนวน 5 แห่ง
ได้แก่ กรมศุลกากร กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง
กรมสรรพากร และบริษัทเอกชน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี
บริษัทเอ็มลิ้ง เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
by
Wasinee
24 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 13:24 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น