OUR PETITION TO PREMIER ABHISIT AND THE RED SHIRTS BEFORE THE BLOODY MAY OF 2010
ก่อนหน้าการนองเลือด “พฤษภาอำมหิต” (2553) เพียง 5 วัน
เรานักวิชาการ/กัลยาณมิตร “สันติประชาธรรม” ได้เสนอ “คนเสื้อแดง”
ให้ยุติการชุมนุม และให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ” ใช้สันติ-ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
(ก่อนหน้านั้น เราได้เสนอให้ “ยุบสภา” เป็นทางออก)
ก. เราได้เสนอ 3 ช้อ ดังนี้ (โปรดดูแถลงการณ์เต็ม ด้านล่างสุด)
1. แกนนำ นปช. ที่เป็นฝ่ายช่วงชิง และยึดกุมการนำอยู่ในขณะนี้ ต้องพยายามอย่างถึงที่สุด ที่รักษาชีวิตของผู้ชุมนุมให้
ได้ โดยจะต้องยุติการชุมนุมโดยเร็
วที่สุด แม้ว่าแกนนำบางส่วนของ นปช. จะไม่ได้รับการประกันตัวตามวิถี
ทางประชาธิปไตยก็ตาม
2. รัฐบาล จะต้องมีความอดกลั้นและความมุ่
งมั่น ที่จะแก้ปัญหาด้
วยแนวทางสันติวิธีให้มากขึ้น นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ใช้เรื่
องการปรองดอง เพียงเพื่อสร้
างภาพพจน์และซื้อเวลาให้กั
บตนเอง รัฐบาลจะต้องยุติ
ความพยายามใช้กำลังเข้
าสลายและปราบปรามผู้ชุมนุม
3. รัฐบาลจะต้องยกเลิ
กประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่
อเป็นหลักประกันว่า แกนนำและมวลชนของ นปช. จะต้องได้รับการปฏิบัติ
ทางกฎหมายตามวิถีทางประชาธิปไตย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแบบ "สองมาตรฐาน" โดยเด็ดขาด
ข. ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้น ผมได้ส่งบทกวีกรีก ให้ นรม.
อภิสิทธิ์ เพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจ บทกวีมหากวีกรีก Cavafy ว่าด้วย YES
หรือ NODear PM Abhisit Vejjajiva: The great Yes or No ?
"For some people the day comes
when they have to declare the great Yes
or the great No.
It's clear at once who has the Yes
ready within him; and saying it,
he goes from honor to honor,
strong in his conviction.
He who refuses does not repent.
Asked again, he'd still say no.
Yet that no--the right no--
drags him down all his life."
(C.P. Cavafy: 1863-1933)
Sincerely yours,
Charnvit Kasetsiri
Thammasat University
ค. บทกวีดังกล่าว เกษียร เตชะพีระ ได้แปลเป็นไทยงดงาม
“แล้ววันหนึ่ง ก็มาถึง เผชิญหน้า
ถามเขาว่า จะประกาศ เป็นอย่างไหน
คำตอนนี้ ชี้ชะตา ตลอดไป
ใช่หรือไม่ ตามตรง จงตอบมา
เห็นได้ชัด ใครมีใช้ ในจิตมั่น
คำตอบนั้น เสริมศักดิ์ สูงสง่า
ใครดื้อรั้น ตาใส ไม่ลดรา
คำว่าไม่ ลากพา ลงโลกันต์”
ง. แถลงการณ์ วันนี้ 14 พฤษภา 2553 (ฉบับเต็ม)
แถลงการณ์โดย กลุ่มสันติประชาธรรม (๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓)
สังคมต้องการเจตน์จำนงอันแน่วแน่ และแผนปรองดองแห่งชาติ
เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่ความพยายามที่จะประนีประนอม ระหว่างรัฐบาลและแนวร่วมประชาธิ
ปไตยแห่งชาติ (นปช.) เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเมือง ที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ ต้องพังทลายลงอย่างรวดเร็วจนน่
าใจหาย เงามืดของความรุนแรง การนองเลือด กำลังก่อตัวเข้าปกคลุมพื้นที่
ของผู้ชุมนุมอย่างน่ากลัว ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึ
งการขาดเอกภาพในหมู่แกนนำ นปช. แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการขาดเจตน์
จำนงอันแน่วแน่ของฝ่ายรัฐบาล ที่จะแก้ปัญหาด้วยแนวทางประชาธิ
ปไตย-เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ และสันติวิธี
เมื่อแกนนำ นปช. ปฏิเสธ ที่จะสลายการชุมนุมในทันทีที่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เสนอเงื่อนไขให้มี
การ
เลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน และยุบสภาระหว่างวันที่ 16-30
กันยายนได้ทำให้ภาพพจน์ของนปช. กลายเป็นฝ่ายที่บิดพริ้วข้อตกลง
ต้องการให้เกิดการแตกหัก พร้อมจะเอามวลชนเข้าแลก
บ้างก็ว่าเพื่อฟื้นฟูผลประโยชน์
ของอดีต นรม. ทักษิณ บ้างก็ว่า นปช. เป็นพวกได้คืบ จะเอาศอก รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ อุตส่าห์เข้ารายงานตัวต่
อกรมสอบสอนคดีพิเศษ หรือ DSI แล้ว นปช.ก็ยังไม่พอใจ กลับเปลี
่ยนเงื่อนไขให้นายสุเทพเข้
ามอบตัวต่อตำรวจแทน สำหรับผู้ที
่ไม่ชอบมวลชนคนเสื้อแดง ปฏิกิริยาดังกล่าวของ นปช. ย่อมตีความเป็นอื่นไม่ได้
แต่หากวิเคราะห์
ข้อเรียกร้อง ที่ให้นายสุเทพเข้ามอบตัวต่อตำรวจแทน DSI ก็จะพบว่าข้อเรียกร้องดังกล่าว แยกไม่ออกจากความแค้นเคืองต่อเหตุการณ์ 10 เมษา ที่ยังฝังแน่นอยู่ในสำนึกของมวลชนคนเสื้อแดง ที่จนกระทั
่งบัดนี้ ก็ไม่มีแม้แต่คำกล่
าวขอโทษจากนายอภิสิทธิ์ เสมือนว่าการตายและบาดเจ็
บจำนวนมากในวันนั้น เกิดขึ้นกับชีวิตของพลเมืองที่
ไร้ค่าของประเทศนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังคมไทย โดยเฉพาะสื่อมวลชนกระแสหลัก ปฏิบัติต่อความตายของคนเสื้
อแดงนั้น แตกต่างราวฟ้ากับดินกับสิ่งที่
เกิดขึ้นกับมวลชนเสื้อเหลือง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นี่คือภาวะ "สองมาตรฐาน" อีกประการหนึ่ง ที่สังคมใช้กับคนเสื้อแดง
ฉะนั้น ก่อนที่จะประกาศให้มวลชนแยกย้
ายกันกลับบ้าน แกนนำ นปช. จำเป็นต้องแสดงให้มวลชนของตนเห็
นว่า เมื่อได้สิ่งที่ต้องประสงค์คื
อการยุบสภาและเลือกตั้งแล้ว พวกเขาจะไม่เดินข้
ามศพมวลชนของตนไปอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาต้องการความยุติ
ธรรมเพื่อยืนยันสิทธิในชีวิ
ตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ของผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็
บเฉกเช่นประชาชนชาวไทยทุกผู้ทุ
กนามจะพึงมีโดยเสมอเหมือนกัน
นอกจากนี้ เมื่อแกนนำ นปช. ประกาศรับแผนปรองดองของรัฐบาล ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่
มวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย ที่เจ็บแค้นอย่างมากต่อเหตุ
การณ์ 10 เมษายน นี่คือสิ่งที่สื่อกระแสหลั
งมองไม่เห็นและไม่เข้าใจ
จริงอยู่ ไม่ว่านายสุเทพ จะมอบตัวกับ DSI หรือตำรวจ ทุกฝ่ายรู้ดีว่านายสุ
เทพ จะไม่มีวันถูกจับกุมคุมขัง
ตราบเท่าที่พรรคประชาธิปัตย์ยั
งเป็นรัฐบาลอยู่ แต่อย่างน้
อยประชาชนเสื้อแดง ก็มีความรู้
สึกที่ดีต่อเจ้าหน้าที่
ตำรวจมากกว่า DSI ในยุคของนายธาริต เพ็งดิษฐ์
ข้อเรียกร้องให้นายสุเทพ เข้ามอบตัวต่อตำรวจจึงเป็นเสมือนพิธีกรรม ว่าการดำเนินคดีต่อผู้มีส่วนในอาชญากรรมเมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้เริ่มขึ้นแล้ว เป็นพิธี
กรรมเพื่อลดกระแสความไม่
พอใจของมวลชนเสื้อแดงที่แกนนำ "สายพิราบ" ตัดสินใจจะยุติการชุมนุม
ปัญหาคือ รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ยอมรับพิธีกรรมง่าย ๆ เช่นว่านี้ไม่ได้เชียวหรือ ทำไมจึงปล่อยให้ประเด็นปลีกย่อยเช่นนี้ มาทำลายเป้าหมายทางการเมือง ที่สำคัญกว่าหลายเท่า ได้อย่างง่ายดาย ทำไมเจตน์จำนงที่จะให้เกิดการปรองดองแห่งชาติ ของนายอภิสิทธิ์จึงอ่อนแอได้อย่างไม่น่าเชื่อ หรือจริง ๆ แล้วนายอภิสิทธิ์ไม่เคยเชื่อในแผนปรองดองแห่งชาติของตนจริง ๆ เลย แต่เป็นเพียงกลอุบาย เพื่อซื้อเวลาให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลต่อไปเท่านั้น
สิ่งนี้สอดคล้องกับความเข้าใจทั
่วไปว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิ
ทธิ์ ปรารถนาที่จะให้มีการใช้กำลั
งเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างเด็
ดขาด แต่ไม่ได้รับความร่วมมื
อจากกองทัพและเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงต้องหันมาใช้แผนปรองดองแห่
งชาติ แต่เมื่อแกนนำ นปช. พลาดท่าเสียทีทางการเมือง สูญเสี
ยความชอบธรรมในสายตาสาธารณชน (โดยมีสื่อกระแสหลักเป็นตัวหนุ
นช่วย) นายอภิสิทธิ์ก็พร้อมที่
จะบอกยกเลิกสัญญาในทันที
ฉะนั้น กลุ่มสันติประชาธรรม จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อทั้งฝ่
าย นปช. และรัฐบาลดังนี้
1. แกนนำ นปช. ที่เป็นฝ่ายช่วงชิงและยึดกุ
มการนำอยู่ในขณะนี้ ต้องพยายามอย่างถึงที่สุดที่รั
กษาชีวิตของผู้ชุมนุมให้ได้ โดยจะต้องยุติการชุมนุมโดยเร็
วที่สุด แม้ว่าแกนนำบางส่วนของ นปช. จะไม่ได้รับการประกันตัวตามวิถี
ทางประชาธิปไตยก็ตาม
2. รัฐบาลจะต้องมีความอดกลั้
นและความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปั
ญหาด้วยแนวทางสันติวิธีให้มากขึ
้น นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ใช้เรื่
องการปรองดอง เพียงเพื่อสร้
างภาพพจน์และซื้อเวลาให้กั
บตนเอง รัฐบาลจะต้องยุติ
ความพยายามใช้กำลังเข้
าสลายและปราบปรามผู้ชุมนุม
3. รัฐบาลจะต้องยกเลิ
กประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่
อเป็นหลักประกันว่
าแกนนำและมวลชนของ นปช. จะต้องได้รับการปฏิบัติ
ทางกฎหมายตามวิถีทางประชาธิ
ปไตยโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแบบ "สองมาตรฐาน" โดยเด็ดขาด
ผู้คนทั่วโลก กำลังเฝ้าดูว่าความล้
มเหลวของแนวทางการเมืองในขณะนี้
จะนำไปสู่ความตายอีกกี่ศพ บาดเจ็บอีกกี่พันคน คนจำนวนไม่น้อยอาจสะใจหรือไม่รู
้สึกรู้สมกับความตายของคนเสื้
อแดง แต่บรรดาผู้ที่เรียกร้องให้มี
การปราบปรามประชาชน โปรดตระหนักด้วยว่
าคนจำนวนมหาศาล จะยิ่งรู้สึกเคียดแค้นกับความสู
ญเสียที่เกิดขึ้น ความเคียดแค้นนี้จะสั่งสมและซ้
ำเติมสังคมไทยจนยากที่จะเยี
ยวยาได้ ความคับแค้นนี้จะไม่มีวันสลายตั
วไปได้ ตราบเท่าที่สังคมนี้ยังปฏิบัติ
ต่อประชาชนเสื้อแดงด้วย "สองมาตรฐาน" ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ต้องตระหนักว่าลำพั
งแค่เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ตนก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็
นผู้นำต่อไป แต่
สมควรลาออกและประกาศยุบสภาในทั
นทีภายหลังเหตุการณ์นั้นแล้ว
หากนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจใช้กำลั
งเข้าสลายการชุมนุมอีกครั้งหนึ่
ง และมีผู้บาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ
้นอีก นายอภิสิทธิ์จะเป็นผู้
นำพลเรือนคนแรกที่มาจากการเลื
อกตั้ง ที่จะถูกประณามและถูกบั
นทึกไว้ในประวัติศาสตร์ร่วมกั
บเผด็จการทั้งหลายทั้งปวงในบ้
านนี้เมืองนี้
"ถ้ายึดมั่นในหลักประชาธรรมแล้ว
ไม่มีวิธีอื่นใดเพื่อได้มาซึ่งประชาธรรมนอกจากสันติวิธี...
การใช้อาวุธขู่เข็ญประหัตประหารกันเพื่อประชาธรรมนั้น
แม้จะสำเร็จ อาจจะได้ผลลัพธ์เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
จะไม่ได้ประชาธรรมถาวร
เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธแล้ว
อีกฝ่ายหนึ่งแพ้ ก็ย่อมคิดใช้อาวุธโต้ตอบ
เมื่ออาวุธปะทะกันแล้ว จะรักษาประชาธรรมไว้ได้อย่างไร"
(ป๋วย อึ๊งภากรณ์ “บันทึกประชาธรรมไทยโดยสันติวิธี” 2515)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น