แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จารุพรรณส่งจดหมายส่งถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ฟ้องคอป.+กสม.ไม่เป็นกลาง

ที่มา go6tv


แปลไทย:จดหมายส่งถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ(UN OHCHR)
https://www.facebook.com/notes/jarupan-kuldiloke/letter-to-un-ohchr-concerning-the-fact-of-non-impartiality-and-non-plurality-of-/10151525878241370

ดิฉัน สสจารุพรรณกุลดิลก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทำจดหมายถึงข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติชี้แจงในสองเรื่อง ได้แก่ 

(1)รายงานฉบับสมบูรณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) 

และ (2) สถานภาพของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งดำรงอยู่โดยขัดกับหลักการปารีส (Paris Principles)

ในประเด็นแรก จากการศึกษาการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) พบว่าการจัดทำรายงานมีพื้นฐานมาจากข้อมูลที่เขียนโดยฝ่ายตรงข้ามกับคนเสื้อแดงซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นเหตุให้ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียว และตัวคณะกรรมการของคอป. ก็มาจากการเสนอชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในขณะนั้น ตัวกรรมการในอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้แสดงความลำเอียงตั้งแต่ต้น อนุกรรมการสองท่านเคยทำงานเป็นการ์ดให้กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ซึ่งเป็นกลุ่มชาตินิยมสุดโต่ง ที่เรียกร้องให้มีการทำรัฐประหาร เมื่อปี 2549 ได้แก่ นายเมธา มาสขาว และนายชัยวัฒน์ ตรีวิทยา โดยอนุกรรมการชุดนี้มีนายสมชาย หอมลออ เป็นประธาน เป็นเรื่องที่ทำให้คนทั้งประเทศตกใจ เมื่อทราบว่านายสมชายแต่งตั้งสมาชิกกลุ่มพธม.เข้ามาทำงานและเป็นผู้จัดทำรายงาน และบุคคลทั้งสองยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำหลักของพธม.

ถือได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของคอป. ขัดต่อหลักกระบวนการอันควรตามกฎหมายและหลักนิติธรรม เป็นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ ผู้เขียนรายงานของ คอป.จงใจละทิ้งประเด็นสำคัญที่เป็นเนื้อหาสาระและยังเขียนรายงานอย่างขาดความเป็นกลาง ดิฉันขอย้ำว่าคนไทยต้องการความปรองดอง แต่ที่ผ่านมากระบวนการดังกล่าวได้ถูกขัดขวางโดยหน่วยงานต่างๆ ที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร


เกี่ยวกับสถานภาพของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งขัดกับหลักการปารีส ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 ได้กำหนดให้เลือกผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ และไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศแรก ที่ให้การรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(Universal Declaration of Human Rights - UDHR) เมื่อวันที่10 ธันวาคม 2491 รวมทั้งยังให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (International Bills of Human Rights) ได้แก่ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights - ICESCR)

แต่ที่ผ่านมาสถาบันตุลาการในประเทศไทยไม่ให้ความใส่ใจ ที่จะพิจารณาเนื้อหาของกฎหมายระหว่างประเทศไม่มีการนำมาตรฐานระหว่างประเทศเหล่านี้มาใช้ในการตัดสินอรรถคดีต่างๆ ในขณะที่ระบบกฎหมายและระเบียบวิธีพิจารณาความของระบบกฎหมายไทยยังไม่ได้สะท้อนมาตรฐานการไต่สวนคดีอย่างเป็นธรรมซึ่งได้รับการรับรองจากกติกา ICCPR

หลักการปารีสมีการรับรองตามมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติตามมติที่ 48/134 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2536 โดยในหลักการดังกล่าวกำหนดไว้ว่า เนื่องจากสถาบันสิทธิมนุษยชนเป็นสถาบันระดับชาติ จึงต้องเป็นหน่วยงานที่มีความเป็นอิสระและมีความเป็นพหุนิยม แต่ในทางตรงกันข้าม บรรดาสมาชิกของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ล้วนแต่ได้รับการคัดเลือกจากบุคคลเพียงไม่กี่คน เป็นเหตุให้ขาดความเป็นพหุนิยม บรรดากรรมการกสม. ล้วนแต่มีอุดมการณ์ที่ล้าสมัย หลักเกณฑ์การคัดเลือกกรรมการกสม. ไม่สอดคล้องกับมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติตามมติที่ 48/134 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2536 และไม่สอดคล้องกับหลักการปารีส ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่อาจถือได้ว่ากสม.เป็นสถาบันระดับชาติที่ชอบด้วยกฎหมาย

ข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลโดยย่อ โดยดิฉันจะจัดส่งเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้กับทางข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติทางจดหมายด่วนอีกครั้งหนึ่ง

ดิฉันหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดของประชาคมนานาชาติที่มีต่อรายงานของ คอป. และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และหวังว่าจะช่วยให้สามารถเอาชนะอุปสรรคและเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนไทย ที่มีต่อบรรทัดฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ปัญหาหลายประการในปัจจุบันเกิดขึ้นจากการขาดธรรมาภิบาล ขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ หลายหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่โดยพลการ ไม่คำนึงถึงกระบวนการอันควรตามกฎหมายเป็นเหตุให้ประเทศไทยมีสภาพใกล้เคียงกับ“สงครามกลางเมือง” จึงมีความจำเป็นที่ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจะต้องแสดงออกถึงความไม่ลำเอียงและมีการปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มงวด และงดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริงซึ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์การเมืองเลวร้ายลง

ดิฉันยังเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของท่านไม่เปลี่ยนแปลง

ด้วยความนับถือ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.จารุพรรณ กุลดิลก
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น