“ ข้อเสนอให้มีองค์กรเซ็นเซอร์คำเทศนาของพระ ว.วชิรเมธีจึงเป็นข้อเสนอเชิงอำนาจที่เป็นการลดทอนความหลากหลายของการตีความพุทธศาสนาให้สนองตอบต่อความหลากหลายของทุกข์ในชีวิตปัจเจกและทุกข์ทางสังคม “
คำให้สัมภาษณ์นิตยสาร Way
(ฉบับสิงหาคม 2556) ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เมื่อท่านเสนอให้
“ปฏิรูปการเผยแผ่พุทธศาสนาในเมืองไทย ใครก็ตามที่จะเทศน์จะสอน อย่างน้อยก็ควรมีองค์กรใดองค์กรหนึ่งรับประกันคุณภาพคำเทศน์คำสอน เวลาเราเข้าไปในร้านอาหารต่างๆเขายังมี อย.รับประกันเลย เขาคุ้มครองผู้บริโภคใช่ไหม เราชาวพุทธก็ควรจะมีการคุ้มครองพุทธบริษัทญาติโยมผู้เป็นผู้บริโภคพุทธธรรม คำสอน ทุกวันนี้เราไม่มีระบบคุ้มครองผู้บริโภคทางจิตวิญญาณ..."
เมื่อพิจารณาจากที่ท่านให้เหตุผลต่อมาว่า
“...เราจึงมีพระที่ผลิตคำเทศน์คำสอนที่สวนทางกับพระ พุทธเจ้าเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย เป็นคำสอนที่ปลอมปนเข้ามาในพระพุทธศาสนา เราเลอะเทอะเปรอะเปื้อนขนาดนี้แต่ไม่มีใครสำเหนียก อาตมาถึงบอกว่ากรณีที่เป็นข่าวอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ การเผยแผ่พระธรรมที่ไม่ตรงตามพระพุทธเจ้าต่างหากที่น่ากลัวที่สุด เพราะนั่นคือการทำลายพระพุทธศาสนาหยั่งลึกถึงรากแก้ว”
จากเหคุผลนี้จะเห็นว่าข้อเสนอดังกล่าวก็คือข้อเสนอให้มี “องค์กรเซ็นเซอร์คำเทศนา” นั่นเอง ผมคิดว่าข้อเสนอนี้สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง
ที่ว่ากันว่าพระทุกวันนี้สื่อสารกับคนรุ่นใหม่ไม่รู้เรื่อง แต่พระ
ว.วชิรเมธีเป็นพระทันสมัย
สื่อสารกับคนรุ่นใหม่รู้เรื่องจนเป็นพระเซเลบของคนชั้นกลางนั้น
เอาเข้าจริงแล้วหากตัดลีลา สำนวนโวหาร การเอาคำพูดของผู้รู้อื่นๆ
มาตัดต่อประดิษฐ์ใหม่ หรือทักษะการเล่นกับกระแสได้เก่งแล้ว
น่าคิดว่าอะไรคือ “เนื้อหา” ความคิดของพระ
ว.วชิรเมธีที่เข้ากันได้กับคุณค่าสมัยใหม่
หรือสนับสนุนความเป็นมนุษย์ที่มีความเสมอภาค
มีเสรีภาพที่จะเลือกการกระทำหรือวิถีชีวิตด้วยการใช้เหตุผลหรือวิจารณญาณของ
ตนเอง
คุณค่าสมัยใหม่วางอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า
“มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันในทางศีลธรรม” แน่นอนว่าในรายละเอียดปลีกย่อย
คนเราย่อมมีความแตกต่างทางฐานะเศรษฐกิจ การงาน เพศ ผิว เชื้อชาติ ศาสนา
ความโง่ ฉลาด ฯลฯ แต่ในทางศีลธรรมทุกคนมีคุณค่าเท่ากัน คิดแบบอิมมานูเอล
ค้านท์ นักปรัชญาชาวเยอรมันก็คือ
มนุษย์ทุกคนมีคุณค่าหรือศักดิ์ศรีในตัวเองที่ต้องได้รับการเคารพอย่างเสมอ
ภาค เราไม่สามารถใช้เพื่อมนุษย์เป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายของตัวเราเองได้
เพราะเราต้องเคารพความเป็นอิสระในตัวเอง (autonomy)
ของแต่ละคนที่จะใช้เหตุผลอย่างเป็นตัวของตัวเองในการตัดสินถูกผิด
หรือการเลือกชีวิตที่ดีของตนเอง
สำหรับค้านท์
เงื่อนไขของความเป็นไปได้ในการมีศีลธรรมบนพื้นฐานของความเสมอภาคในความเป็น
มนุษย์คือ “เสรีภาพ” หมายความว่า เราต้องมีเสรีภาพจากอิทธิพลครอบงำ
การบังคับของอำนาจ องค์กรทางศาสนา จารีตประเพณี และอื่นๆ เสียก่อน
การมีชีวิตที่มีค่าอย่างเป็นตัวของตัวเองจึงจะเป็นไปได้
หากเราจะยอมรับหรือทำตามคุณค่าหรือค่านิยมใดๆ
ก็ต่อเมื่อได้ใช้เหตุผลของตนเองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าการยอมรับหรือทำ
ตามคุณค่าหรือค่านิยมนั้นๆจะไม่เป็นการลดทอนความเป็นมนุษย์ของตัวเองและคน
อื่นๆ
ฉะนั้น
เราจึงต้องตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกเรื่องก่อนที่จะยอมรับหรือปฏิเสธ
สังคมไทยที่มักอ้างอิงความเชื่อทางศาสนา ศีลธรรมอันดี (?)
อ้างอิงสถาบันกษัตริย์มาเซ็นเซอร์ความคิดและการแสดงออกของประชาชน
จึงเป็นสังคมที่ลดทอนความเป็นคนของประชาชน
เป็นสังคมที่ทำลายศักยภาพที่แตกต่างหลากหลายที่แฝงอยู่ในปัจเจกภาวะของ
ประชาชน
จึงเป็นสังคมที่ไม่เปิดกว้างสำหรับการสร้างสรรค์ที่อาจเป็นไปได้อย่างไม่
จำกัด
ข้อเสนอให้มีองค์กรเซ็นเซอร์คำเทศนาของพระ ว.วชิรเมธี
จึงเป็นข้อเสนอเชิงอำนาจที่เป็นการลดทอนความหลากหลายของการตีความพุทธศาสนา
ให้สนองตอบต่อความหลากหลายของทุกข์ในชีวิตปัจเจกและทุกข์ทางสังคม
และอันที่จริงแล้วก็เป็นข้อเสนอที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
เพราะจะตัดสินอย่างแน่นอนตายตัวลงไปได้อย่างไรว่าใคร
“สอนตรงตามพระพุทธเจ้า”
จริงๆแม้จะอ่านหรืออ้างพระไตรปิฎกจากข้อความเดียวกัน
หรือพระสูตรเดียวกันก็เป็นไปได้เสมอที่จะมีการตีความต่างกัน
เป็นแบบนี้มาแต่สมัยพุทธกาลแล้ว
แต่สังฆะหรือสังคมชาวพุทธก็ใช้วิธีตักเตือนกันอย่างกัลยาณมิตร
ใช้วิธีแก้ไขด้วยวัฒนธรรมปรึกษาหารือของสังฆะกลุ่มต่างๆเอง
ไม่เคยมีองค์กรระดับชาติจะมีอำนาจเซ็นเซอร์คำเทศนาพระสงฆ์ทั้งหมด
หากมีองค์กรอย่างที่ว่าจริง ถามว่าจะจัดการอย่างไรกับคำสอน
“ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน”
เพราะไม่มีหลักอ้างอิงในพระไตรปิฎกรองรับว่าตรงตามพุทธะสอนอย่างไร
และหากจะว่าไปคำพูดนี้ไม่ว่าจะพูดในบริบทความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่
ไม่ว่าผู้พูดจะมีเจตนาสนับสนุนความรุนแรงหรือไม่
จะมีประวัติการศึกษาพุทธศาสนามาอย่างไร เป็นพระที่มีคนนับถือมากหรือไม่
แต่คำพูดที่ว่า “ฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน”
ก็เป็นคำพูดที่มีความหมายรุนแรงในตัวมันเองอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
นึกถึงที่ผมสัมภาษณ์อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เมื่อเร็วๆนี้
ตอนหนึ่งเราพูดถึงวัฒนธรรมการเรียนรู้พุทธศาสนาในสังคมไทย
อาจารย์ประมวลตั้งข้อสังเกตว่า
“การเรียนรู้พุทธศาสนาเถรวาทไทยเป็นการปลูกฝังการคิดเรื่องผิดเรื่อง
ถูก และการคิดเรื่องผิดเรื่องถูกนี้เป็นการคิดเชิงอำนาจ
ก็คือพยายามใช้อำนาจของความคิดว่าดีเพื่อไปลงโทษหรือกำกับกระทำของคนที่คิด
ว่าไม่ดี
แม้กระทั่งในคนคนเดียวกันนี่แหละถ้าเราพูดในเชิงความหมายที่ละเอียดลึกซึ้ง
ผมสารภาพตรงๆเลยนะครับว่าในสมัยที่ผมปฏิบัติธรรมแบบเถรวาทและมีความคิดว่า
กิเลสเป็นมลทินต้องขจัดให้หมดสิ้นเป็นความคิดที่ผิด ในความรู้สึกของผมนะ
แต่ผมไม่พูดสิ่งนี้กับคนอื่นนะครับ”
ซึ่งผมมองว่า “การคิดในกรอบศาสนาเรื่องผิดเรื่องถูกเชิงอำนาจ”
ดังกล่าวมันเป็นฐานของความรุนแรงในสังคม และอาจารย์ประมวลเสริมว่า
“เป็นความรุนแรงในตัวเองด้วย เป็นความรุนแรงในตัวเองเลย”
ในความเห็นของอาจารย์ประมวลการเรียนรู้พุทธศาสนาควรเป็นเรื่องของวิถี
ชีวิตที่ฝึกฝนบ่มเพาะสิ่งที่เรียกว่า “โพธิจิต” ให้เกิดขึ้นในตัวเราแต่ละคน
หมายความว่า
เราควนเปิดพื้นที่ทางจิตใจให้ปัญญาและกรุณาได้งอกงามขึ้นผ่านการใช้ชีวิต
จริงๆ
ปัญญาคือการเลิกคิดเรื่องผิดถูกเชิงอำนาจ
แต่พยายามมองความเป็นจริงอย่างเปิดกว้างไม่พิพากษาตัดสินผิดถูก
นี่ไม่ใช่การไม่เคารพหลักการกติกาผิดถูกที่ชอบธรรมทางสังคม
แต่หมายความว่าไม่ติดอยู่กับการคิดในกรอบผิดถูกตามความเคยชิน
แต่เปิดให้กับความเป็นไปได้ที่เราจะเข้าใจความเป็นมนุษย์ในมิติต่างๆ
ทั้งด้านดี ด้านร้าย
ด้านที่เข้มแข็งและอ่อนแอเป็นต้นด้วยจิตใจที่มีกรุณาคือความรัก
ความปรารถนาดี และแสดงออกต่อบุคคล ต่อบริบทต่างๆ
รวมทั้งการต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วยจิตใจที่ประกอบด้วยเมตตา
ธรรม
นี่คือความหมายที่ผมสรุปจากการสนทนากับอาจารย์ประมวล
เราเห็นสอดคล้องกันว่าแม้การเรียนรู้พุทธศาสนาในบ้านเราจะมีประโยชน์อยู่
ส่วนหนึ่งก็จริง (เช่นให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กชนบทอย่างผมเป็นต้น)
แต่การเรียนรู้ในระบบพุทธศาสนาแห่งรัฐได้สร้างฐานวัฒนธรรมตัดสินผิดถูกเชิง
อำนาจขึ้นมาในสังคม จนถูกนำไปอ้างอิงสนับสนุนความรุนแรงบ่อยๆ
ในนามปกป้องอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นต้น
ที่สำคัญระบบการเรียนรู้พุทธศาสนาดังกล่าวยังเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุ
จุดหมายทางพุทธศาสนาเอง
ดังอาจารย์ประมวลเล่าว่ามีพระราชาคณะท่านหนึ่งอายุประมาณ 90 ปีแล้ว
รำพึงกับอาจารย์ว่า “โลกียสุขก็ไม่ได้เสพ โลกุตตรสุขก็ไปไม่ถึง”
อาจารย์ประมวลบอกว่า “ผมสะเทือนใจมากเลยว่า
นี่หรือภาพรวมของนักบวชไทยที่เป็นผลผลิตของระบบการเรียนรู้พุทธศาสนาไทย”
ผมอ่านข้อเสนอเรื่ององค์กรเซ็นเซอร์คำเทศนาของพระ
ว.วชิรเมธีแล้ว ก็อดสะเทือนใจ
(ต่อระบบและผลผลิตของการเรียนรู้พุทธศาสนาไทย) ไม่ได้เช่นกันครับ
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในโลกวันนี้วันสุข, 24-30 ส.ค.2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น