ที่มา มติชน
หมายเหตุ - เสียง
วิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการ ภายหลังจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.)
วิสามัญพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ...ปรับแก้ข้อความในมาตรา 3
มาเป็นการนิรโทษกรรมแบบเหมารวมทุกกรณี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม
โคทม อารียา
ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี
หาก
คณะกรรมาธิการแก้ให้การนิรโทษกรรมนั้น รวมถึงแกนนำด้วยเป็นจุดสำคัญ
อาจจะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ส่วนหนึ่ง และแกนนำพันธมิตรกับแกนนำเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่ง
ตอนแรกในหลักการให้นิรโทษกรรมเฉพาะในส่วนของประชาชนที่ออกไปเคลื่อนไหว
แต่ไม่รวมถึงคนที่เป็นผู้นำ น่าแปลกใจว่าการแปรญัตติในคณะกรรมาธิการ
เป็นการแก้ไขในเชิงหลักการสำคัญ น่าจะมีการทำความเข้าใจกับประชาชนก่อนว่า
ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ไม่ใช่ขึ้นต้นว่าอย่างหนึ่ง
ไปกลางทางแล้วว่าอีกอย่างหนึ่ง
ส่วนเรื่องของความเหมาะสมนั้น
เป็นเรื่องของความเข้าใจ การยอมรับ
ไปจนถึงอารมณ์และความรู้สึกของสังคมโดยรวม
พรรคการเมืองที่กำลังดำเนินการแก้ไขต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ว่า
สิ่งที่ทำไปไม่เป็นไปตามที่บอกไว้ตอนต้น การแก้ไขในตอนนี้ยิ่ง
จะทำให้สังคมสับสน ต้องมีการอธิบายให้ชัดเจนให้สังคมเข้าใจและมีเวลาได้ถกแถลง ทำความเข้าใจว่าดีหรือไม่ ควรจะชะลอไว้ก่อน
สิริพรรณ นกสวน สวัสดี
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จาก
กรณีนี้สามารถวิเคราะห์ได้ 2 ประเด็น ประเด็นแรก
ในแง่ของหลักกฎหมายไม่แน่ใจว่าจะทำได้ เนื่องจากร่างกฎหมายผ่านวาระที่ 1
ด้วยการเห็นชอบของที่ประชุมสภาไปแล้ว การรับหลักการในวาระที่ 1 คือ
ให้นิรโทษกรรมเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบ ไม่ได้นิรโทษกรรมสุดซอย
การมาตีความใหม่ของคณะกรรมาธิการ เมื่อเข้าวาระที่ 2
โดยหลักการแล้วไม่แน่ใจว่าจะมีผลทำให้พระราชบัญญัตินี้ตกไปหรือเปล่า
คือเมื่อกฎหมายเสนอไปในวาระที่ 1 มีเนื้อหาแค่หนึ่ง สอง สาม
สี่แล้วจะมาเพิ่ม ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ
ปกติโดยหลักการแล้วไม่สามารถทำได้
ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขเลย เมื่อ
พ.ร.บ.เข้าวาระ 1 มีเนื้อหาแค่นั้น ถ้าจะผ่านก็ต้องผ่านแค่นั้น
จะมาตีความให้กว้างกว่าเดิมไม่ได้ นี่คือหลักการ
ผ่านวาระหนึ่งหน้าตาเป็นแมว และจะออกกฎหมายมาหน้าตาเป็นหมาไม่ได้
ประเด็น
ที่สอง ถ้าพรรคเพื่อไทยยังจะดันทุรังทำไป จะเป็นการทดสอบพลังของสังคม
ในด้านหนึ่งถ้าชนชั้นนำฮั้วกันได้หมด
ทหารเองก็ได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัตินี้ คนทำรัฐประหารอย่างพลเอกสนธิ
บุญยรัตกลิน หรือทั้งเสื้อเหลือง ตัวคุณทักษิณ
และเสื้อแดงเองจะได้รับประโยชน์ ถ้าชนชั้นนำฮั้วกันได้
ก็ชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยต่อไปข้างหน้า
จะเผชิญอยู่กับวัฏจักรของการรัฐประหาร
การใช้อำนาจในทางมิชอบของนักการเมืองโดยปราศจากการตรวจสอบและการประท้วง
การใช้กำลังรุนแรงโดยอำนาจรัฐ การกระทำต่างๆเหล่านั้นจะไม่ได้รับโทษ
หรือการพิจารณาใดๆ เลย จะกลายป็นวัฏจักรที่เลวร้ายสำหรับการเมืองไทยต่อไป
หาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านตามที่กรรมาธิการแปรมาตรา 3 ออกมา
โดยความชอบ
ธรรมของกระบวนการปรองดอง หรือกระบวนการนิรโทษกรรมแล้ว
เราไม่ควรจะนิรโทษกรรมใครก็ตามที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการพิสูจน์ความถูกผิด
ทั้งในกระบวนตามรัฐธรรมนูญ ในการผ่าน พ.ร.บ.ก็ไม่ควรกระทำ
การจะ
นิรโทษกรรมใคร ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตัวคุณทักษิณเอง
หรือแกนนำเสื้อเหลือง-เสื้อแดง
ต้องมีกระบวนการพิจารณาความถูกผิดว่าใครทำอะไรไปแล้วบ้าง
หลังจากนั้นการจะนิรโทษกรรม คือเราให้อภัยว่าใครทำถูกทำผิด
และสังคมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก่อน
ถ้าจะผ่านออกมาแบบ
ที่ทำกันอยู่นี้ จะสะท้อนให้เห็นถึงการรอมชอมประนีประนอมและฮั้วกัน
เราทุกคนได้ทำผิดไปแล้ว และเราก็จะไม่ยอมรับความผิดนั้น
เจษฎ์ โทณะวณิก
คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
การ
แก้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ส่งผลกระทบหลายอย่าง อันดับแรก
ทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์
และทำให้ไม่มีกระบวนการที่จะสามารถพิสูจน์ได้ตามกฎหมายว่า
จะมีการพิจารณาการกระทำใดที่เป็นภัยหรือส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองอย่างไร
และในการชุมนุมนั้น มีผู้เข้าร่วมชุมนุมหลายประเภท
ทั้งการมาชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ
ทั้งที่มีอาวุธและทั้งที่นำให้คนมาชุมนุม
และทำให้เกิดผลกระทบเกิดความเสียหาย จะไม่ได้รับการพิสูจน์แยกกัน
อันดับ
ที่สอง ในการต่อไปในอนาคต ใครอยากจะชุมนุมในลักษณะปลุกปั่นยุยง
หรือในลักษณะใดก็จะสามารถทำได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร
ทำไปแล้วนิรโทษกรรมภายหลังก็จบ
อันที่สาม จะเกิดปัญหาเฉพาะหน้า
เพราะการชุมนุมของแต่ละกลุ่มอาจจะบานปลาย
ลุกลามและเกิดความเปลี่ยนแปลงส่งผลเป็นความเสียหายและเป็นปัญหาทางการเมือง
ในระยะสั้น
ในทางกฎหมายนั้น จริงๆ
แล้วในขั้นรับหลักการมาจนถึงขั้นแก้รายมาตราคือ ตั้งแต่วาระ 1 มา วาระ 2
นั้น ไม่ได้มีข้อกำหนดหรือข้อห้ามแก้ในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระ 1
ตราบเท่าที่ยังอยู่ในหลักการเดิม แต่หากกลายเป็นหลักการใหม่
โดยทั่วไปควรจะกลับไปพิจารณาที่วาระ 1 ใหม่
แต่ถ้าหากยังยืนว่าใน
หลักการโดยกว้างคือ
การนิรโทษกรรมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในช่วงเวลานั้นๆ
และยังถือว่านี่คือหลักการเดิม เพียงแต่แก้ในรายละเอียด
จากเดิมไม่รวมผู้ที่เป็นแกนนำ แต่ในขณะนี้รวมผู้ที่เป็นแกนนำ
ไม่ได้ถือว่าเป็นการแก้หลักการ
แต่ถือว่าแก้ในรายละเอียดก็อาจจะกล้อมแกล้มดันไปได้
แต่การแก้ร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในขณะนี้ไม่เหมาะสมด้วยเหตุผลสอง-สามประการ หนึ่ง
ในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าควรจะมานิรโทษกรรมกันตอนนี้ไหม
ในเมื่อยังมีปัญหาหลายอย่าง
สองไม่เหมาะสมเพราะ
ในวาระที่หนึ่งผ่านหลักการมา ยังไม่รู้เลยว่าหลักการที่ชัดเจนคืออะไร
พอมาถึงวาระที่สองกลับมาเพิ่มเติมให้รวมแกนนำไปเลย ชัดเจนขึ้น
แต่โดยพื้นฐานการพิจารณากฎหมายในลักษณะนี้ ต้องตีความโดยเคร่งครัด
และกำหนดโดยแคบ
การทำแบบนี้เป็นการตีความโดยกว้างและทำให้มีปัญหาในเชิงโครงสร้างกฎหมาย
สุด
ท้ายคือ เป็นการท้าทาย ในขณะที่มีคนออกมาชุมนุมกัน
และมีภาวะคุกรุ่นทางการเมือง ก็จะสามารถนำไปสู่ความรุนแรงได้
แน่นอนว่าไม่เหมาะสม
วิโรจน์ อาลี
รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไม่
ค่อยจะเห็นด้วย เพราะหลักการในรอบแรกที่ผ่านสภาไปก็คุยว่าจะไม่รวมแกนนำ
และที่สำคัญที่สุดคือ พยายามสอดไส้การลดผลพวงของรัฐประหารไป
ด้วย
เข้าใจว่าทุกฝ่ายอยากให้จบ คิดว่านี่ไม่ใช่การสอดไส้แบบตั้งใจเพราะพูดตรงๆ
ในเชิงรัฐบาล การแก้ไขอย่างที่เป็นอยู่ก็ดี คือร่างแรกที่ไม่รวมแกนนำ
และจับ
คนที่ทำผิดมาลงโทษ
ทำให้เรื่องการงดเว้นโทษทางการเมืองไทยถูกชำระ
จะได้ไม่มีการใช้ความรุนแรงกับประชาชนอีกในอนาคต
แต่เข้าใจว่าในรอบนี้รัฐบาลเอง
ถูกกลุ่มสถาบันทางการเมืองหลายๆ
สถาบันบีบ ทางกองทัพก็คงมีแรงกดดัน รวมถึงสถาบันอื่นๆ ด้วย
เพราะการนิรโทษกรรมรวมแบบนี้เป็นการเรียกแขก
ทางพรรคประชาธิปัตย์และผู้ที่เกี่ยวข้อง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ
ก็จะได้รับประโยชน์ไป
และยังสามารถหยิบเรื่องนี้มาเป็นปัญหาทางการเมืองให้กับรัฐบาลได้อีก
การ
เสนอออกมาแบบนี้ เพราะได้รับแรงกดดันจากหลายฝ่ายที่อยากจะให้ทุกอย่างจบ
ผมไม่เห็นด้วยเลยที่จะเพิ่มเติมตรงไหนเข้าไป เพราะว่าในวาระที่ 1
ก็พูดชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต้องการนิรโทษคนที่ได้รับผลกระทบก่อน
ส่วนเรื่องอื่นๆ ค่อยไปว่ากันทีหลังก็ได้
รัฐบาลทำไปแล้วก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะจากมวลชน
ในทางกลับกันทำให้ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงกับ
ประชาชน ก็จะได้รับผลประโยชน์ไป
เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
แต่ส่วนอื่น
ในกรณีของการลดผลพวง หรือกรณีของ
คตส.นี้สามารถจะทำแยกออกมาเป็นอีกเรื่องได้
แต่ไม่ควรจะนำมารวมกับกรณีของการนิรโทษกรรม คิดยังไงก็ไม่ได้ประโยชน์
คือแกนนำได้ประโยชน์ พ.ต.ท.ทักษิณได้ประโยชน์
แต่ถามว่าในแง่ของผลกระทบทางการเมืองระยะยาวนั้นไม่คุ้มเลย
อยากจะ
ให้คณะกรรมาธิการทบทวนเรื่องนี้ดีๆ เพราะม็อบถูกเรียกให้รออยู่แล้ว
เข้าสูตรปี 49 เลย คือมีม็อบรอจังหวะอยู่
พอมีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถปลุกม็อบขึ้นมาได้ทันที
ดูแล้วไม่น่าจะเป็นผลดีต่อเสถียรภาพทางการเมืองเท่าไร ในทางกลับกัน
คนเสื้อแดงที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงที่เกิดขึ้น ก็ถือว่า
เป็นการเกี้ยเซี้ยที่ประชาชนไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย
เป็นการเกี้ยเซี้ยที่ผู้นำทางการเมืองต่างๆ ได้รับประโยชน์กันไปเต็มๆ
(ที่มา:มติชนรายวัน 21 ต.ค.2556)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น