แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บัณฑิต อานียา กับ มาตรา 112

ที่มา ประชาไท


 
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ได้มีการจัดงานชื่อ “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหา 112 ” ซึ่งเป็นงานมุทิตาจิตที่จัดให้แก่คุณสมอลล์ บัณฑิต อานียา ในโอกาสครบรอบอายุ 72 ปี ซึ่งครั้งนี้น่าจะเป็นการจัดงานวันคล้ายวันเกิดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ทีเดียว และเป็นการเตรียมตัวล่วงหน้า ก่อนที่ศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ในคดีที่คุณบัณฑิตถูกฟ้อง-คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 
 
บัณฑิต อานียา เดิมชื่อ จือเช็ง แซ่โค้ว เกิดที่หมู่บ้านหอชั้ง ตำบลแต้เอี้ย จังหวัดแต้จิ๋ว ประเทศจีน เมื่อ พ.ศ.2484 เดินทางมาอยู่ที่นครราชสีมาตั้งแต่อายุได้ 6 ขวบ และอยู่ในประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน มารดาของบัณฑิตชื่อ ไอ้เน้ย ถูกเตี่ยของเขาตบตีทำทารุณจนมีอาการทางจิต และถูกส่งเข้าโรงพยาบาลประสาทจนเสียชีวิตในโรงพยาบาล คุณบัณฑิตเติบโตขึ้นมาในสภาพที่บิดาไม่รัก จึงได้เรียนหนังสือแค่ประถม 4 และต้องหนีออกจากบ้านไปบวชเป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ.2499  ทำให้เขาได้มีเวลาที่จะศึกษาความรู้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ที่เขาศึกษาเองจนถึงขั้นแปลหนังสือได้ เขาได้รับรู้ถึงความหน้าไหว้หลังหลอกในวงการสงฆ์จึงตัดสินใจสึกเมื่อ พ.ศ.2508 แล้วมาชีวิตเป็นนักเขียน ดำรงชีวิตอย่างยากจน ไร้ทรัพย์สิน แต่เขามีงานเขียนมากกว่า 40 เล่มส่วนมากขายไม่ดีนักในตลาดหนังสือ
 
จากพื้นฐานทางครอบครัวและสังคม ทำให้คุณบัณฑิตกลายเป็นคนนอกคอก คิดนอกกรอบสังคม ปฏิเสธรัฐและกระแสหลัก เขาจึงถูกถือว่าเป็นนักเขียนกึ่งบ้า นักเขียนต่างประเทศคนสำคัญที่เขาแปลงานเขียนออกเป็นภาษาไทย คือ บี.ทราเวน ก็เป็นเพียงนามปากกาของนักเขียนลึกลับ ที่ต่อต้านสังคม และมีแนวคิดแบบอนาธิปไตย แต่ในกรณีของสังคมไทยที่ถูกครอบงำด้วยความคิดอนุรักษ์นิยมเจ้า ปิดกั้นความคิดต่างเพื่อให้คนทั้งสังคมต้องรักใคร่บูชาในสิ่งเดียวกัน ลักษณะความคิดและพฤติกรรมของบัณฑิต อานียา จึงไม่มีที่ยืนในสังคม เมื่อ พ.ศ.2508 เขาเคยไปกางมุ้งนอนหน้าสถานทูตโซเวียตเพราะเห็นว่าสังคมคอมมิวนิสต์โซเวียต ดีกว่าสังคมไทย เขาจึงถูกจับส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา ต่อมา แม้ว่าเขาจะเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือสม่ำเสมอ แต่ก็ถูกปฏิเสธจากกลุ่มนักประพันธ์กระแสหลัก และในที่สุด เขาก็ถูกฟ้องเล่นงานในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112
 
กรณีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2546 ในการพูดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของคุณบัณฑิตต่อการประชุมสัมมนาของคณะกรรมการ เลือกตั้ง(กกต.)ร่วมกับศาลรัฐธรรมนูญที่จัดขึ้นในหัวข้อ “กฎหมายพรรคการเมือง: โอกาสและข้อจำกัดในการส่งเสริมและพัฒนาพรรคการเมือง” ซึ่งในงานนี้ เขานำเอกสารชุดละ 20 บาทไปขาย 2 ชุด ในชื่อว่า “สรรนิพนธ์เพื่อชาติ (ฉบับตัวอย่าง)” และ “วรสุนทรพจน์ (ฉบับร่าง) เนื่องในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร” ในที่สุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ  ประธาน กกต. ได้ยื่นฟ้องต่อเขาในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เขาถูกจับกุมในวันที่ 24 พฤศจิกายน ถูกคุมขังในเรือนจำ 98 วันก่อนที่จะได้รับการประกันตัว ด้วยความช่วยเหลือของ ดร.ปีเตอร์ โคเร็ท นักวิชาการอิสระชาวอเมริกันที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเคยมีงานเขียนเรื่องเกี่ยวกับนายนรินทร์ กลึงออกเป็นภาษาอังกฤษ
 
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาเป็นการลับ แต่ต่อมาเป็นที่เปิดเผยในคำพิพากษาของศาลว่า คุณบัณฑิตได้กล่าวข้อความว่า “ในศาลยุติธรรมของทุกประเทศในโลกควรอย่างยิ่งที่จะมีเพียงตราชูเท่านั้นที่ ติดไว้เหนือบัลลังก์ศาล เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม นอกจากนี้แล้วไม่สมควรที่จะเอารูปอื่นใดหรือรูปบุคคลใดไปติดไว้ในศาลนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะเอารูปของผู้ปกครองที่มีอำนาจ อยู่เหนือกฎหมายไปติดไว้ในศาลยุติธรรมโดยเด็ดขาด” ซึ่งข้อความนี้ ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า เป็นข้อความที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นอกจากนี้ คือ การที่คุณบัณฑิตเขียนเรื่อง”หมาสูงกว่าคน” ศาลก็ตีความว่า คุณบัณฑิตต้องการเปรียบเทียบเรื่องหมาทองแดง ซึ่งเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 
 
ดังนั้น ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2549 ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้จำคุกคุณบัณฑิต 4 ปี แต่เนื่องจากจำเลยสูงอายุและป่วยเป็นโรคจิต ศาลจึง “เห็นควรให้โอกาสจำเลยบำบัดรักษาเพื่อจะได้หายเป็นปกติและเป็นพลเมืองดีต่อ ไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยไว้”
 
ต่อมา วันที่ 17  ธันวาคม พ.ศ.2550 ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมีความผิด และยังคงมีสติสมบูรณ์จึงกลับคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ แต่คุณบัณฑิตยังได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีในขั้นฎีกา ที่น่าสนใจคือ ฝ่ายจำเลยไม่ได้ฎีกาคัดค้านคำตัดสินความผิด แต่ฎีกาเพียงขอให้ศาลมีความเมตตารอการลงโทษไว้ “เพื่อให้โอกาสจำเลยได้รับการรักษาและปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีต่อไปในช่วง บั้นปลายชีวิต”
 
ก่อนอื่นคงต้องแสดงความเห็นต่างกับคำพิพากษาของศาลว่า คำกล่าวของคุณบัณฑิตเช่นนั้น ไม่ได้เป็นการหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายต่อใครเลย สถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมไม่อาจเสื่อมพระเกียรติเพียงเพราะคำพูดลักษณะนี้ และยิ่งไม่เป็นการสมควรที่จะนำเอาผู้สูงอายุในลักษณะนี้ไปจำคุกด้วยคดีอัน ไม่เป็นธรรมเช่นคดี 112
 
ในที่สุด คุณเวียง-วชิระ บัวสนธ์ แห่งสำนักพิมพ์สามัญชน ได้ทำหนังสือถึง คณะผู้พิพากษาแห่งศาลฎีกา เรื่อง ขอความเมตตาต่อคดี ‘บัณฑิต อานียา’โดยอธิบายว่า บัณฑิต อานียาเป็น "นักเขียนนักแปลที่เชื่อมั่นในอำนาจวรรณกรรม เขาจึงอาศัยมันทำหน้าที่สื่อความในใจไปยังสังคมวงกว้าง เพื่อกระตุ้นเตือนให้ผู้อ่านร่วมยุคสมัยตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลต่างๆ นานาที่ดำรงอยู่ในบ้านเมืองของเราตลอดมา พูดอีกนัยหนึ่งก็อาจสรุปได้ว่า ท่านผู้นี้เพียงทำหน้าที่จุดโคมเล็กๆ ดวงหนึ่งท่ามกลางความมืดที่ตนเองแลเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น” และขณะนี้ คุณบัณฑิตก็เป็น "ชายชราวัยไม้ใกล้ฝั่ง หากสุขภาพของเขาก็ถือว่าอยู่ในขั้นย่ำแย่ กระเพาะปัสสาวะถูกตัดออกไปนานแล้ว เช่นเดียวกับที่เหลือไตแค่ข้างเดียว" คุณเวียงจึงหวังในความมีมนุษยธรรมของผู้พิพากษาแห่งศาลฎีกาให้มีความเมตตา กรุณาต่อจำเลยผู้นี้ด้วย
 
คงต้องขอเอาใจช่วยคนนอกแบบคุณบัณฑิต อานียาให้รอดพ้นจากภัยร้ายของมาตรา 112 และยังหวังว่าในระยะยาวสังคมไทยจะได้สติ และนำมาสู่การยกเลิกมาตรา 112  อย่างจริงจังต่อไป เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครมาติดคุกในข้อหาเช่นนี้อีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น