วันที่ 31 กรกฎาคม 2556 พรรคร่วมรัฐบาล
ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาและพรรคพลังชล
ได้แถลงการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลเรื่อง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยระบุว่า สังคมไทยเกิดความขัดแย้ง แตกแยก
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่ฝังลึกในสังคมไทย
ทำให้เกิดการกระทำและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ขัดต่อกฎหมาย
เป็นผลให้เกิดการดำเนินคดี ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเพียงเพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน
ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ต่างมีความต้องการที่จะให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากวิกฤตดังกล่าว
ต้องการเห็นคนในสังคมไทยมีความปรองดอง สมานฉันท์
ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา มีทั้งถูกจำคุก
ไม่ได้ประกันตัว และหลบหนี ส่งผลให้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ขาดความเป็นอิสระ
พลัดพรากจากครอบครัว และสูญเสียอาชีพการงาน
และบางส่วนยังมีผลกระทบไปถึงบุคคลในครอบครัว เกิดสภาพบ้านแตกหรือเป็นภาระที่ทำให้การดำเนินชีวิตของครอบครัวต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต
เกิดปัญหาครอบครัว ส่งผลให้เกิดปัญหาในสังคม
พรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาฝังลึกดังกล่าวคือการให้โอกาสประชาชน
เป็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
เป็นการลดความขัดแย้งทางการเมือง อันจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ
ประเทศไทยมีบทเรียนจากการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงมาแล้ว (การปฏิวัติ
การสลายการชุมนุม) ซึ่งล้วนแต่เป็นการเพิ่มความขัดแย้ง เพิ่มความไม่เข้าใจกัน
การให้โอกาสประชาชนดังกล่าวคือการแก้ปัญหาโดยการให้อภัยทุกฝ่ายไม่ใช้ความอาฆาตแค้น
พรรค
ร่วมรัฐบาลจึงเห็นพ้องต้องกันว่าสภาผู้แทนราษฎรควรจะพิจารณาร่างพระราช
บัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
การแสดงออกทางการเมืองของประเทศ พ.ศ. .... (ร่างของนายวรชัย เหมะและคณะ)
โดยสภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
โดยมีหลักการสำคัญที่จะนิรโทษกรรมประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง
ทุกสี
ทุกฝ่าย อย่างเท่าเทียมกัน
ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองการแสดงออกทางการเมืองของ
ประชาชน
ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ถือเป็นวาระปกติ
โดยพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่นำร่างพระราชบัญญัติอื่นๆ ในทำนองเดียวกันมาพิจารณาร่วมด้วย
และใช้วิธีพิจารณาตามข้อบังคับปกติทั่วไป โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือเร่งรัดใดๆ
เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด
โดยพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
ฉบับนายวรชัย เหมะและคณะมีหลักการคือ“ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ
ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ
หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว” ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมให้ประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำและผู้สั่งการ
คดีที่ติดค้างกับประชาชนทั้งสองฝ่ายร้ายแรงไม่แพ้กัน เช่น
การก่อการร้าย การยึดสนามบิน ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นชนักติดหลัง
ความสงบจะเกิดขึ้นยาก พระราชบัญญัติฉบับนี้จึงนิรโทษกรรมให้“ประชาชนทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกข้างใดๆ ทั้งสิ้น”
เมื่อ
สังคมมีความสงบสุข ความขัดแย้งทางการเมืองลดน้อยลง
จึงเป็นโอกาสของประเทศในการเข้าสู่ความสงบเรียบร้อยมีความมั่นคงหลังจากเรา
สูญเสียโอกาสแห่งความเจริญก้าวหน้ามาเป็นเวลานานซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการเติบ
โตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีเสถียรภาพ
นำประเทศกลับไปสู่ครั้งอดีต เกิดความรัก ความสามัคคีกัน ของคนในชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น