โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วรพล พรหมิกบุตร
นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี
(๑) นิรโทษกรรมประชาชน : ประวัติศาตร์แห่งการเปลี่ยนแปลง
เมื่อถึงวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร
สมัยสามัญนิติบัญญัติ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖
ข้อมูลและความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ปรากฏทั้งในทางผลักดันสนับสนุนและคัด
ค้านต่อต้านการพิจารณาออกกฎหมายพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชนที่กระทำผิด
เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง
(ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับ สส.วรชัย เหมะ)
ก็ทะยอยปรากฏให้ประเมินได้ว่าร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวจะสามารถผ่านการรับรอง
ในวาระที่
๑ (การรับหลักการ) ของสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่ยากนัก
ขณะเขียนต้นฉบับนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวจะ
สามารถผ่านมติสภาผู้แทนราษฎร
วาระที่ ๒ และวาระที่ ๓ ภายในวันเดียวกันได้หรือไม่ และยังจะผ่านวาระที่ ๓
ได้หรือไม่ภายในกี่วันหลังจากนั้น
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายกลุ่มพลังต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมให้[i]ประชาชน
จะดำเนินการอย่างไรทั้งในและนอกรัฐสภาหรือไม่ว่าจะใช้บริการตุลาการภิวัตน์
ในศาลต่าง
ๆ
อย่างไรก็ไม่น่าจะสามารถยับยั้งการพิจารณาเพื่อรับหลักการร่างกฎหมายดัง
กล่าววาระที่
๑ ในวันที่ ๗-๘ สิงหาคมได้
ซึ่งนั่นหมายความว่าความพยายามในการแก้ไชปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่
มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็จะคืบหน้าไปได้อีก
ถึง
๑ ใน ๓ ส่วน
กลไกบริหารที่เป็นแกนนำและ สส.
ลูกพรรคจำนวนหนึ่งของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน (พรรคประชาธิปัตย์)
ประกาศในเวทีปราศรัยมวลชนนอกรัฐสภาแสดงการคัดค้านต่อต้านร่างกฎหมายดังกล่าว
อย่างแข็งกร้าวทั้ง
ๆ
ที่ร่างกฎหมายนั้นมีเนื้อหาที่เป็นคุณต่อมวลชนพันธมิตรประชาธิปไตยฯที่สนับ
สนุนพรรคประชาธิปัตย์ในการต่อต้านล้มล้างอำนาจรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
(พ.ศ. ๒๕๕๑) แต่ใช้วิธีการผิดกฎหมายโดยบุกยึดสนามบินของรัฐ
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยังแถลง “ข้อแนะนำ
(ที่ไม่เป็นมิตร)” ให้นายกรัฐมนตรีกระทำการในทางที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
(กล่าวคือ แนะนำให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการให้ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากการประชุมพิจารณาของรัฐสภา)
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้บ่งชี้ถึงความตกต่ำทางการเมืองมากยิ่งขึ้นกว่าที่ตกต่ำมากอยู่แล้ว
ใน
ทางตรงข้าม
การแถลงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลความมั่น
คงตามพระราชบัญญัติความมั่นคงฯ
พ.ศ. ๒๕๕๑
ซึ่งจะใช้อำนาจรักษาควมสงบเรียบร้อยของการชุมนุมมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาล
ปัจจุบัน
เป็นคำแถลงที่บ่งชี้ถึงความแตกต่างและวุฒิภาวะทางการเมืองที่เหนือกว่าการ
ดำเนินนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยสั่งการสลายการชุมนุมของคน
เสื้อแดงด้วยกองทัพและอาวุธกระสุนจริงสังหารประชาชน
สาระสำคัญตอนหนึ่งของคำแถลงจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
คือ ประชาชนสามารถใช้สิทธิชุมนุมได้ แต่ต้องดำเนินการภายในขอบเขตกฎหมาย
ไม่มีอาวุธ และใม่ใช้ความรุนแรงในการชุมนุม
จุดยืนเชิงยุทธศาสตร์ขององค์กรประชาชนเสื้อแดงที่สนับสนุนร่างกฎหมายดัง
กล่าวและมีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางมากที่สุด
คือ นปช.
ที่แถลงให้แกนนำและสมาชิกรวมพลังกันอยู่ในที่ตั้งทำให้โอกาสการปะทะระหว่าง
มวลชนที่เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลกับมวลชนเสื้อแดงที่สนับสนุนร่างกฎหมาย
ดังกล่าวหมดไป
เหลือเพียงการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นเองระหว่างผู้จัดการชุมนุมกับผู้ชุมนุมที่ตกเป็นเหยื่อทางการเมือง
ข้อแนะนำให้ถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับดังกล่าวออกจากการประชุมพิจารณาวัน
ที่
๗ สิงหาคม
รวมทั้งข้อแนะนำคล้ายกันว่าถึงแม้รัฐสภาไม่สามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็น
พระราชบัญญัติได้
แต่รัฐบาลก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นพระราชกำหนดแทนได้นั้นไม่น่าจะมีผลเป็น
จริงได้อีกต่อไป
พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชนฉบับนี้จะเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับแรกใน
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เกิดจากผลของความร่วมมือผลักดันทั้งทางความคิด
ข้อมูล
ความรู้
และพลังการขับเคลื่อนต่อเนื่องทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยระหว่าง
ประชาชนกับพรรคการเมืองในรัฐสภาที่ให้ความสำคัญกับประชาชนผู้ร่วมชุมนุมทาง
การเมืองมากกว่าแกนนำผู้ชุมนุมและอำนาจรัฐที่สั่งการปราบปรามการชุมนุมทาง
การเมือง
(๒) การสร้างสถานการณ์รุนแรงและยุทธศาสตร์การล้มรัฐบาล
การระดมมวลชนเพื่อชุมนุมประท้วงการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่แกนนำพรรค
ประชาธิปัตย์และแนวร่วมพันธมิตรประกาศต่อต้านข้างต้นเป็นเพียงกระบวนวิธี
ขั้นต้นในเส้นทางยุทธศาสตร์การยึดอำนาจการเมืองเบ็ดเสร็จรอบใหม่ซึ่งกลุ่ม
อำนาจคณาธิปไตยดั้งเดิม
(คณะรัฐประหาร ๒๕๔๙ และกลุ่มผู้บงการ) จะต้องพยายามดำเนินการตามขั้นตอนต่าง
ๆ
ให้สำเร็จก่อนที่สมาชิกรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่จะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
และก่อนที่พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันจะสามารถดำเนินการผลักดันร่างพระราช
บัญญัติเงินกู้
๒.๒ ล้าน ๆ บาทและโครงการพัฒนามูลค่ามหาศาลของประเทศได้ต่อไป
โดยกลุ่มอำนาจคณาธิปไตยและพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเข้าควบคุมผลประโยชน์
ของชาติไว้ในกำมือได้ต่อไป
ในฐานะที่เป็นกระบวนวิธีในขั้นตอนแรกของยุทธศาสตร์การยึดอำนาจกลับคืน, การสร้างสถานการณ์รุนแรงให้กระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเป็นวัตถุประสงค์สำคัญของกลุ่มผู้บงการเบื้องหลังการชุมนุม
โดยจะต้องเป็นการกระทบทางกายภาพที่แนบเนียนควบคู่กับการดำเนินยุทธวิธีเปิด
ช่องทางให้ระบบสื่อสารมวลชนสามารถรายงานเป็นข่าวในทิศทางที่มุ่งชี้ว่าเป็น
ความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อก่อผลกระทบทางการเมืองลูกโซ่ต่อไปในการขยายข่าวสารข้อมูลว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรต้องแสดงความรับผิดชอบ
ผู้บงการเบื้องหลังและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการชุมนุมดังกล่าวสามารถ
ประเมินทราบได้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่ารัฐบาลจะไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องหรือ
การกล่าวอ้างของแกนนำผู้ชุมนุม
ยุทธศาสตร์ความรุนแรงและกระบวนการข่าวสารปรักปรำเจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาลดังกล่าวยังเป็นขั้นตอนก่อนการนำกรณีเหตุการณ์สถานการณ์รุนแรงนั้นไปสร้างเป็นคดีทางการเมืองและ
คดีทางอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ในศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ
(ซึ่งจะมีทั้งนักกฏหมายที่ทำงานให้พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรเดิม
พร้อมจะให้บริการทางคดีอยู่แล้ว)
และยังเป็นไปได้ว่าจะมีการนำกรณีดังกล่าวไปยื่นเรื่องเป็นวาระเร่งด่วนใน
วุฒิสภาเพื่อพิจารณาถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
รวมทั้งอาจรวมถึงการขู่ถอดถอนผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ
หากเข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
(ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งพร้อมที่จะใช้อำนาจดำเนินการอยู่
แล้ว)
ขั้นตอนยุทธวิธีข้างต้นมีวัตถุประสงค์นำร่องในการสร้างบรรยากาศระส่ำระสายและความปั่นป่วนทางการเมืองมากขึ้นตามลำดับเพื่อสอดรับกับหลักการเรื่อง
“ความ(ไม่)มั่นคงแห่งชาติ”
ที่สามารถมีผู้นำไปใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างสนับสนุนความจำเป็นที่กองทัพจำเป็น
จะต้องเข้ามีส่วนร่วมดูแลแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
ในขั้นตอนนี้เราจะสังเกตเห็นการใช้ประโยชน์จากสำนักสำรวจความคิดเห็น
ประชาชน (โพล)
เพิ่มเติมมากขึ้นรวมทั้งการดำเนินยุทธการข่าวสารเพื่อโน้มน้าวความคิดเห็น
สาธารณะของประชาชนว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรรวมทั้งกลไกบริหารต่าง ๆ
ภายในบังคับบัญชาไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำพัง
และไม่สามารถบริหารจัดการความขัดแย้งภายในได้
แรงกดดันเหล่านี้จะสร้างความระส่ำระสายและความคิดเห็นอันไม่เป็นเอกภาพภายใน
กลไกบริหารของพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล
และสมาชิกวุฒิสภาที่สนับสนุนการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมและร่าง
แก้ไขรัฐธรรมนูญได้พอสมควรในทางปฏิบัติ
ความคิดเห็นไม่เป็นเอกภาพนี้จะไม่ปรากฏทางสื่อมวลชนจนกว่ากลุ่มผู้เคลื่อน
ไหวแสดงความคิดเห็นที่คิดแย้งแตกต่างกันภายในระบบพรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถตก
ผลึกความคิดทางใดทางหนึ่งได้เรียบร้อยแล้ว
การแสดงความเห็นแย้งแตกต่างที่ไม่เป็นทางหนึ่งทางเดียวกันนั้นจะสามารถก่อผล
ในทางยับยั้งการผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับนี้ได้หรือไม่จะมีความ
ชัดเจนขึ้นภายในค่ำวันที่
๖ สิงหาคมนี้
หากการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านทั้งในและนอกรัฐสภาผนวกกับความเห็นแย้งถ่วงรั้ง
ภายในกลไกพรรครัฐบาลประสบผลสำเร็จทำให้รัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างพระราช
บัญญัตินิรโทษกรรมถึงวาระที่
๓ ได้
ก็จะมีผลกระทบเป็นความล้มเหลวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ที่รอการพิจารณาอยู่ในรัฐสภาแล้ว
๔ ฉบับ
(โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างแก้ไขว่าด้วยที่มาของสมาชิกวุฒิสภาให้มาจากการเลือก
ตั้งทั้งหมด)
หากพลังของฝ่ายต่อต้านคัดค้านไม่สามารถคุกคามข่มขู่ให้เสียงส่วนใหญ่ใน
รัฐสภาหวาดกลัวได้
โอกาสความสำเร็จในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีมากขึ้นควบคู่กับความเข้มแข็งของ
มวลชนฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล
สาธารณชนยังคงจำเป็นต้องรอความชัดเจนจากการแถลงที่เป็นทางการของรัฐสภา
เกี่ยวกับการบรรจุวาระและความคืบหน้าหรืออุปสรรคการชะงักงันในการแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญที่ค้างวาระการประชุมในรัฐสภา
ความมั่นคงและเข้มแข็งของประชาธิปไตยตามระบอบรัฐสภาที่เคารพเสียงส่วน
ใหญ่จะเพิ่มชึ้นหรือลดลงจึงขึ้นอยู่กับผลรูปธรรมของการพิจารณาร่างพระราช
บัญญัตินิรโทษกรรมฉบับนี้หลายส่วน
แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.)
แถลงชัดเจนแล้วว่าให้สมาชิกรวมตัวเตรียมความพร้อมอยู่ในที่ตั้งและไม่ให้ตก
เป็นเหยื่อทางการเมืองที่นำกลุ่มมวลชนเสื้อแดงออกมาชุมนุมเผชิญหน้ากับกลุ่ม
ผู้ต่อต้านรัฐบาล
ขณะที่ฝ่ายที่มุ่งสร้างภาวะความปั่นป่วนและสถานการณ์รุนแรงเพื่อการยึดอำนาจ
กลับคืนมีวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ตามลำดับขั้นตอนเหล่านั้นในการ
กระตุ้นให้มวลชนเสื้อแดงเคลื่อนกำลังออกมาเผชิญหน้ากับมวลชนที่ต่อต้าน
รัฐบาล
เพื่อสร้างบรรยากาศความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองต่อเนื่องและเพิ่มเติมให้
ถึงระดับที่จะสามารถจัดการล้มล้างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต่อไปได้
กลุ่มผู้กำหนดยุทธศาสตร์การล้มรัฐบาลที่บงการอยู่เบื้องหลังการชุมนุมมวลชน
ต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้ไม่มีวิธีอื่นใดเหลืออยู่นอกจากการประเมินว่าจะใช้
วิธีตุลาการภิวัตน์หรือวิธีรัฐประหารในสถานการณ์
“สุกงอม”
ที่เกิดจากการสร้างภาวะปั่นป่วนวุ่นวายแบบจลาจลโดยกลุ่มมวลชนคุ้มคลั่งปะทะ
ขยายวงกว้าง
(มวลชนเสื้อแดงอิสระกลุ่มย่อยหลายกลุ่มและนักเคลื่อนไหวข่าวสารข้อมูลที่มี
สถานีวิทยุชุมชนของตนเองบางกลุ่มมีภูมิหลังทางอารมณ์ที่อ่อนไหวต่อการ
ถูกกระตุ้นให้ดำเนินกิจกรรมข่าวสารกระตุ้นยั่วยุมวลชนเสื้อแดงต่อไปอีกทอด
หนึ่งให้เคลื่อนตัวแสดงตนเผชิญหน้าตอบโต้กับมวลชนที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนาง
สาวยิ่งลักษณ์
การตอบโต้กันระหว่างมวลชนจะยิ่งช่วยหนุนเสริมให้แผนยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้
มุ่งล้มล้างรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ในการชุมนุมครั้งนี้บรรลุเป้าหมายใกล้ผล
สำเร็จมากขึ้น
การเพิ่มสถานการณ์ความรุนแรงและความวุ่นวายบานปลายนอกจากจะเพิ่มความยาก
ลำบากต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมดูแลการชุมนุมให้อยู่ภายในกรอบของ
กฎหมายแล้วยังสร้างภาระทางการเมืองเพิ่มเติมให้แก่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยตรง คำแถลงเป็นทางการเมื่อวันที่ ๓
สิงหาคมที่ผ่านมาของแกนนำนปช.ทั่วประเทศช่วยป้องกันปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียวที่อาจจเกิดจากภาวะอารมณ์วู่วามของกลุ่มสมาชิก
นปช. ได้เป็นอย่างดี (คงเหลือแต่ภาวะ “จงใจวู่วาม” ที่อาจปรากฏขึ้นได้ไม่มากนัก)
แม้ว่าแกนนำ
นปช.จะแถลงจุดยืนและเผยแพร่ข่าวสารแจ้งเตือนกลุ่มสมาชิกเพื่อป้องกันผลกระทบ
เสียหายเช่นนั้นแล้ว
แต่ก็ยังจำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่องด้วยการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลติดตาม
สถานการณ์และย้ำให้มวลชนเสื้อแดงรวมตัวดำเนินกิจกรรมด้วยความตื่นตัวเตรียม
ความพร้อมอยู่ในที่ตั้งห่างไกลจุดชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล
ไม่ใช่เพื่อรอวันปะทะกับมวลชนต่อต้านรัฐบาลแต่เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้นำกองทัพ
(ว่าจะสั่งการเคลื่อนกำลังพลออกกระทำรัฐประหารหรือไม่) เป้าหมาย
หลักของมวลชนเสื้อแดงในการต่อสู้กับพายุการเมืองครึ่งหลังของปี
๒๕๕๖ ไม่ใช่การกำราบ “มวลชนแช่แข็งประเทศไทย” ในสนามชุมนุมมวลชน
แต่เป็นการเตรียมความพร้อมและสะสมความเข้มแข็งของพลังประชาธิปไตยไว้ในที่
ตั้งสำหรับการกำราบผู้นำกองทัพที่ยังคงหรืออาจยังคงมีความคิดฉวยโอกาสยก
ระดับอำนาจสูงสุดของตนด้วยการก่อกบฎตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๑๓ โดยการวางแผนกระทำรัฐประหาร
การยับยั้งการรัฐประหารได้สำเร็จจะกดดันให้กลุ่มคณาธิปไตยจำเป็นต้องใช้
บริการจากอำนาจตุลาการภิวัตน์และการใช้อำนาจถอดถอนของสมาชิกวุฒิสภาในอาณัติ
การแต่งตั้งของตน อย่างไรก็ตาม,
อำนาจตุลาการภิวัตน์ที่ฉับพลันรุนแรงเท่าที่มีอยู่ในกลไกตุลาการศาลรัฐ
ธรรมนูญในปัจจุบันอ่อนเปลี้ยพลังการเมืองและสูญเสียความชอบธรรมตามหลัก
นิติธรรมถึงระดับตกต่ำจนถูกประชาชนแจ้งความจดำเนินคดีอาญาร้ายแรงแล้วหลาย
คดี
หากศาลรัฐธรรมนูญกำหนดวันประชุมพิจารณาคดีทางการเมืองที่มีตำแหน่งนายก
รัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐสภา
๓๐๐ กว่าคนเป็นเดิมพัน (ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นภายใน ๑-๒ เดือน)
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะเปิด “เกม”
ต่อสู้กับนักการเมืองในระบบรัฐสภาที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของอำนาจนิติบัญญัติ
ในปัจจุบันซึ่งผู้เขียนเห็นว่านักการเมืองในระบบรัฐสภาทั้งที่เป็น
สส.
ในพรรคร่วมรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งในฐานะที่เป็นตัวแทน
โดยชอบธรรมของประชาชนสามารถบริหารจัดการและต่อสู้ด้วยวิถีทางรัฐสภาตาม
กฎหมายกับปัญหาการใช้อำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันได้
กล่าวโดยสรุป ยุทธศาสตร์การยึดอำนาจเบ็ดเสร็จรอบใหม่
(อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ
และอำนาจองค์กรตามรัฐธรรมนูญทุกส่วน)
ปรากฏให้เห็นความเคลื่อนไหวชัดเจนเป็นลำดับแล้ว
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อล้มล้างอำนาจบริหารของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล
ปัจจุบัน
ควบคู่ไปกับการดำเนินกระบวนวิธีที่มีผลในทางคุกคามข่มขู่
หรือพยายามทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐสภาที่มีอำนาจนิติบัญญัติ
ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงส่วนใหญ่และสมาชิกวุฒิสภารวมกันจำนวนกว่า
๓๐๐ คนพ้นจากตำแหน่ง
(ด้วยการใช้กฎหมายผนวกอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและอำนาจถอดถอนของวุฒิสภา
และ/หรือด้วยวิธีผิดกฎหมายโดยการรัฐประหารซึ่งอาจลงมือก่อนหรือหลังสลับกัน
ตามการประเมินสถานการณ์ของเจ้าของแผนยุทธศาสตร์)
ขั้นตอนระยะแรกในแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นแล้วหลังจากที่พรรคประชา
ธิปัตย์ใช้สิทธิตามกฎหมายเคลื่อนไหวนำร่องเดินสายเปิดเวทีปราศัยตามโครงการ
“ผ่าความจริง”
ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ
โดยมีการถ่ายทอดเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกายของพรรคประชาธิปัตย์
และต่อมาแกนนำพรรคประชาธิปัตย์แสดงตนให้เห็นชัดเจนขึ้นว่ามีบทบาทสำคัญในการ
ผลักดันสนับสนุนการเคลื่อนไหวมวลชนที่มุ่งล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและอ้าง
“ระบอบทักษิณ” เป็นจำเลย
รวมทั้งการประกาศในเวทีปราศรัยทั้งก่อนและหลังวันนัดชุมนุมเป็นการเรียกร้อง
เชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรด้วยวาทกรรม “ล้มล้างระบอบทักษิณ” อีกรอบหนึ่ง (อย่าง
ไรก็ตาม
พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าร่วมเป็นแกนนำการชุมนุมอย่างเป็นทางการโดยมติพรรค
แต่จะปล่อยให้อดีตนายทหารและแกนนำมวลชนนอกพรรคต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการ
ถูกดำเนินคดีต่อไปตามลำพัง)
เส้นทางยุทธศาสตร์การยึดอำนาจเบ็ดเสร็จระยะแรกยังคงเป็นวิธีการที่ดำเนินได้
ตามกฎหมาย
กล่าวคือ การใช้สิทธิเผยแพร่แสดงความเห็นในการปราศรัยทางการเมือง
(แต่บางกรณีอาจมีการกระทำผิดกฎหมายเล็กน้อยบางส่วนเช่นการหมิ่นประมาทด้วย
การโฆษณา
หรือบางกรณีอาจถึงขั้นการใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองอื่นที่อาจเข้าข่ายความ
ผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง
เป็นต้น)
แต่การใช้สิทธิแสดงความเห็นหรือการวิจารณ์รัฐบาลภายในกรอบของกฎหมายไม่
สามารถจะมีผลในการล้มล้างอำนาจบริหารของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล
ปัจจุบันได้
การชุมนุมมวลชนต่อต้านรัฐบาลโดยใช้วิธีการภายในขอบเขตของกฎหมายก็ไม่สามารถ
มีผลในการล้มล้างรัฐบาลได้
(ไม่ว่าจะมีประชาชน ๑
คนหรือแสนคนเข้าร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลตามวาทกรรมประวัติศาสตร์ของหัวหน้า
พรรคประชาธิปัตย์เอง)
ดังนั้นการดำเนินยุทธวิธีตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่มุ่งหวังผลทางปฏิบัติเป็น “บันไดการเมือง”
นำไปสู่การใช้อำนาจตุลาการภิวัตน์
การใช้อำนาจถอดถอนของวุฒิสภา
และการใช้อำนาจรุนแรงเบ็ดเสร็จโดยการรัฐประหารจึงถูกออกแบบขึ้นและเริ่ม
ปฏิบัติการในทางปฏิบัตืบางส่วนแล้วตามลำดับขั้นตอน
ลำดับขั้นตอนของยุทธศาสตร์การล้มรัฐบาลและการหวังผลตามขั้นตอนต่าง
ๆ
ที่เป็นส่วนประกอบของยุทธศาสตร์ภาพรวมข้างต้นเป็นการประมวลจากข้อมูลและ
สถานการณ์ความเป็นไปได้มากที่สุดเท่าที่มีข้อมูลรองรับถึงปัจจุบัน
การป้องกันการล้มล้างอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติที่ผู้พยายามล้มล้าง
มุ่งใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายและขัดรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ประชาชนตามระบอบ
ประชาธิปไตยควรกระทำด้วยความรู้เท่าทัน ความไม่ประมาท
และความไม่ตกเป็นเหยื่อของการสร้างสถานการณ์ที่กลับส่งเสริมความพยายามที่
ผิดทำนองคลองธรรม
(๓) บทอภิปราย
ฐานข้อมูลที่ปรากฏชัดเจนแน่นอนแล้วในสถานการณ์การเมืองกลางปี
๒๕๕๖ คือ กลุ่มบุคคลและองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งแกนนำพรรคประชาธิปัตย์
(รวมหัวหน้าพรรคและอดีตเลขาธิการพรรคที่อยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดีเป็นผู้
รับผิดชอบในการใช้อำนาจสลายการชุมนุมที่มีเจตนาเล็งเห็นผลให้ประชาชนเสื้อ
แดงเสียชีวิต)
ต่างก็เข้ามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวกดดันเพื่อล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร หรือเพื่อให้รัฐบาลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง
แต่วิธีการที่จะทำให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่งด้วยวิถีทางตามรัฐ
ธรรมนูญและตามบทบัญญัติของกฎหมายกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งในสถานการณ์
ปัจจุบัน
อีกทั้งยังเป็นการสร้างปัญหาคดีความทางกฎหมายย้อนกลับไปยังบุคคลในตำแหน่ง
ที่มีอำนาจในลูกโซ่กระบวนการตุลาการภิวัตน์ซึ่งแม้ว่าจะเคยสามารถกระทำการ
ดังกล่าวต่อรัฐบาลนายสมัคร
สุนทรเวชและรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ต่อเนื่องกันในปี ๒๕๕๑
แต่ผลของการดำเนินกระบวนการตุลาการภิวัตน์เหล่านั้นกำลังย้อนกลับมาเป็นโทษ
ต่อผู้ใช้อำนาจตุลาการภิวัตน์ในทำนองเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์
เวชชชีวะและนายสุเทพ
เทือกสุบรรณกำลังเผชิญกับข้อกล่าวหาเป็นคดีการกระทำผิดร้ายแรงของแต่ละคน
วิธีการเคลื่อนไหวของบุคคลหรือองค์กรภายนอกคณะรัฐมนตรีที่ต้องการล้มรัฐบาลและสามารถกระทำได้โดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายเท่าที่มีอยู่เป็น แนวทางหลัก ได้แก่ (๑) การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่สามารโน้มน้าวมติเสียงส่วนใหญ๋ในสภาผู้แทนราษฎรให้ลงมติไม่ไว้วางใจ (๒)
การใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญของวุฒิสภาและด้วยข้อเท็จจริงประกอบหลักกฎหมายที่เป็นธรรมในการลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง (๓) การใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญตาม
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญและด้วยข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายที่เป็นธรรมในการ
วินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติทางการเมืองตามบทบัญญัติของกฎหมาย
(๔)
การใช้สิทธิเรียกร้องของประชาชนจำนวนมากเพียงพอที่จะทำให้
รัฐบาลเห็นว่าไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปซึ่งจะดำเนินการประกาศลาออกหรือยุบ
สภาผู้แทนราษฎรตามที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเห็นสมควรหรือไม่สมควรได้ตามกฎหมาย
วิธีที่ ๑
ไม่สามารกระทำได้ในช่วงเวลานี้เนื่องจากการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญครั้งนี้
เป็นการประชุมสมัยนิติบัญญัติหรือเพื่อการพิจารณาบัญญัติกฎหมายต่าง
ๆ เป็นสำคัญ
ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ไม่ให้มีการยื่นเรื่องขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล (และแม้ว่าจะมีการเปิดอภิปรายรัฐบาลโดยไม่ลงมติก็ไม่น่าจะมีข้อมูลเพียงพอที่จะล้มรัฐบาลได้)
พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องรอจนกว่าสภาจะปิดประชุมสมัยสามัญครั้งนี้และเปิดประชุมสมัยสามัญครั้งต่อไป
(ซึ่งย่อมเป็นความอึดอัดกระวนกระวายใจของกลุ่มผู้สั่งการระดมมวลชนมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้ว่าหากจะต้องรอจนถึงวันนั้น
อำนาจครอบงำระบบการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ของเครือข่ายคณาธิปไตยจากการรัฐประหาร
๒๕๔๙ อาจสูญเสียไปโดยผลของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ในวาระการพิจารณาของรัฐสภาในสมัยการประชุมครั้งนี้แล้ว)
วิธีที่ ๒ อยู่ในข่ายที่กลุ่มที่ต้องการล้มรัฐบาลจะดำเนินการต่อไปได้เนื่องจากมีการวางรากฐานการยื่นเรื่องให้องค์กรต่างๆ
ตรวจสอบคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนแล้วและสมาชิกวุฒิสภา “กลุ่ม ๔๐
สว.”
เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อวางรากฐานข้อมูลเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้
เตรียมพร้อมสามารถดำเนินการให้วุฒิสภาพิจารณาเพื่อลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรี
ต่อไปได้ (ในทางปฏิบัติ
วิธีการนี้ก็ยังไม่สามารถทำได้โดยง่ายหรือทำสำเร็จได้ยากหากไม่มีสถานการณ์
สับสนวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มเติม
ทั้งนี้เนื่องจากความอ่อนแอน้ำหนักฐานข้อมูลของกลุ่ม
สว.
ดังกล่าวและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่เข้าข่ายที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวนมาก
จะเห็นด้วยได้)
วิธีที่ ๓
ในสถานการณ์ปัจจุบันตกอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับวิธีที่ ๒
และมีความเสี่ยงเพิ่มเติมที่เป็นโทษต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน
มากขึ้น
แต่ในทางปฏิบัติก็มีการเตรียมความพร้อมโดยการวางรากฐานการยื่นคำร้องเอาผิด
ต่อสมาชิกรัฐสภา
๓๐๐ กว่าคนไว้แล้ว
และมีการวางรากฐานการยื่นเรื่องร้องเรียนศาลปกครองและองค์กรอื่นที่อาจใช้
อำนาจเป็นขั้นบันไดต่อยอดให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นคุณ
หรือโทษต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
วิธีที่ ๔
คือวิธีที่ถูกเลือกใช้เป็นบันไดเริ่มต้นในยุทธศาสตร์การกดดันเพื่อล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
โดยจะเป็นขั้นบันไดต่อยอดนำไปสู่เหตุการณ์อื่น ๆ
ที่มุ่งหวังผลให้มีการใช้อำนาจล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต่อไป
การใช้อำนาจเพื่อล้มรัฐบาลดังกล่าวเป็นบันไดต่อยอดตามวิธีการที่
๔ ข้างต้นยังมีวิธีการต่อเนื่องอีก ๒ แนวทางหลัก คือ (๑)
แนวทางตามวิถีรัฐธรรมนูญตามที่กล่าวข้างต้นซึ่งไม่สามารถหวังผลสมบูรณ์ได้
ว่าจะทันท่วงทีต่อการยับยั้งกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และ (๒)
แนวทางนอกรัฐธรรมนูญซึ่งผิดกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นหลายฉบับ
แนว
ทางที่ผิดกฎหมายดังกล่าวยังจะต้องหรือมักจะต้องเริ่มต้นด้วยการสร้าง
สถานการณ์รุนแรงเพื่อนำไปสู่การจลาจลบ่อนทำลายความมั่นคงภายใน
ซึ่งจะเป็นสถานการณ์พื้นฐานสำหรับการประท้วงรัฐบาลอย่างยกระดับเข้มข้น
และการอ้างความชอบธรรมในการชุมนุมต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องฝ่ายต่าง
ๆ ในการไม่ร่วมมือกับรัฐบาลหรือกดดันให้รัฐบาลลาออกหรือยุบสภา
ซึ่งหากยังดำเนินการไม่บรรลุผลดังกล่าวก็ยังสามารถประเมินสถานการณ์และนำข้อ
อ้างเหตุการณ์จลาจลไปใช้ประกอบเหตุผลข้ออ้างในการทำรัฐประหารต่อไป
(แต่ก็เป็นที่แน่ชัดในวุฒิภาวะการเมืองโดยส่วนรวมของประชาชนชาวไทยใน
ปัจจุบันแล้วว่าการรัฐประหารซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายชั่วโมงในการ
ดำเนินการนั้นเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญาที่ประชาชนมีทั้งสิทธิและอำนาจตาม
รัฐธรรมนูญในการต่อต้านยับยั้ง
ซึ่งประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศจะต่อต้านอย่างแน่นอน นอกจากนั้น
กำลังพลทางทหารตั้งแต่ชั้นประทวนถึงสัญญาบัตรจำนวนมากในปัจจุบันก็ทราบเท่า
กับที่ประชาชนทราบข้อกฎหมายว่าการเคลื่อนกำลังติดอาวุธออกกระทำรัฐประหาร
เป็นความผิดฐานก่อกบฎตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๑๓
ซึ่งกำลังพลระดับปฏิบัติการสามารถวางอาวุธและพร้อมกันถอนตัวออกจากการรัฐ
ประหารได้ทุกขณะโดยไม่เป็นการผิดวินัยทหารหรือขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา
ซึ่งคาดว่าจะถูกคำสั่งปลดหรืออย่างน้อยโยกย้ายแต่งตั้งออกจากตำแหน่งที่มี
อำนาจคุมกำลังในขณะนั้นทันทีที่ปรากฎตัวเป็นผู้บังคับบัญชาทหารปฏิบัติการ
สายต่าง
ๆ ที่พยายามล้มรัฐบาลด้วยการรัฐประหาร)
ฐานข้อมูลที่ชัดเจนเพิ่มเติม
(นอกเหนือไปจากฐานข้อมูลประการแรกที่กล่าวแล้วว่ามีกลุ่มบุคคลและองค์กรรวม
ทั้งแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ประกาศเคลื่อนไหวเพื่อให้รัฐบาลปัจจุบันพ้นจาก
ตำแหน่ง)
ได้แก่ บุคคลและองค์กรต่าง ๆ
ที่เคลื่อนไหวเพื่อให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่งต่างก็มีแผนยุทธศาสตร์หรือขั้นตอน
วิธีการบริหารจัดการแบบมุ่งหวังผลเป็นลำดับคืบหน้าแบบขั้นบันไดไปสู่เป้า
หมายหลักที่ตรงกัน
คือ การทำให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง แกนนำแต่ละกลุ่มย่อยที่แสดงตนว่าต้องการให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่งไม่จำเป็นด้องประชุมวางแผนร่วมกันทั้งหมด
และบางส่วนอาจไม่เคยทราบว่าตนเองเป็นเสมือน “เบี้ย หมาก โคน”
อยู่ในกระดานการเมืองที่ถูกประสานแผนยุทธศาสตร์ร่วมกันโดย “กลุ่มมือที่มองไม่เห็น”
ในทางปฏิบัติและภายใต้สถานการณ์รวมทั้งวุฒิภาวะทางการเมืองที่เป็นจริงของ
ประชาชนส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดทั่วประเทศ
ความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งทำให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยพ้นจากตำแหน่งที่มีอำนาจของฝ่าย
บริหารและนิติบัญญัติในปัจจุบันเป็นไปได้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุใด ?
การชุมนุมประชาชนภายในกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นเป็นสิ่งที่สามารถ
กระทำได้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ขัดขวาง
การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างต่อเนื่องเข้มข้นโดยจัดชุมนุมมวลชนยืดเยื้อแรม
เดือนต่อไปก็สามารถทำได้โดยหลักการ
แต่ผลทางปฏิบัติจะไม่สามารถล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ได้เนื่องจากปัญหา
คุณภาพข้อมูลของผู้ปราศรัยและผู้วิพากษ์โจมตีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เท่าที่
ปรากฎจากเวทีปราศรัย
“ผ่าความจริง”
และรายการในสถานีโทรทัศน์บลูสกายทีวี รวมทั้งจากนักปราศรัยรายอื่น ๆ
ในกลุ่มแกนนำมวลชนที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมครั้งนี้จำนวนมากเป็นข้อมูลตัด
ตอนความจริง ข้อมูลกล่าวอ้างเอง และข้อมูลแต่งเติมคลาดเคลื่อนจากความจริง ซึ่งสามารถถูกตรวจสอบ
ถ่วงดุล และโต้แย้งได้ด้วยข้อมูลจากแหล่งข้อมูลอื่น
แม้แต่ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจเป็นรัฐบาลที่บริหารโดยการกำกับดูแล
การทำงานของระบบสื่อมวลชนของรัฐอย่างเข้มข้นโดยอาศัยฝีมือของนายสาทิตย์
วงศ์หนองเตยเป็นรัฐมนตรี
ข่าวสารข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายต่อต้านพรรคเพื่อไทย (ซึ่งใช้ข้ออ้างเรื่อง
“ระบอบทักษิณ”
มาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น)
ก็ไม่สามารถเอาชนะความจริงทางการเมืองได้
ดังนั้นความพยายามในทางโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองรวมทั้งการใช้วาทกรรมที่มี
ประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ของพรรคประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบัน
และพันธมิตรล้มรัฐบาลเพื่อไทยในขณะนี้ไม่น่าจะมีศักยภาพใหม่เพิ่มเติมและไม่
น่าจะสามารถต่อสู้กับความจริงทางการเมืองได้เช่นเดิม
การชุมนุมอาจถูกประกาศยุติอย่างไม่ยืดเยื้อตั้งแต่ขั้นตอนนี้
หากผู้วางแผนเบื้องหลังการชุมนุมประเมินแล้ว
เห็นว่าไม่สามารถใช้เป็นขั้นบันไดไปสู่การสร้างสถานการณ์น้ำผึ้งหยดเดียว
เพื่อขยายผลเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายเพียงพอต่อการจัดชุมนุมยืดเยื้อรื้อรัง
ดังนั้น วิธีป้องกันแก้ไขปัญหาการล้มรัฐบาลด้วยวิธีการนอกกฎหมายที่
สามารถดำเนินการได้ในขั้นตอนนี้คือการป้องกันไม่ให้มีผู้สามารถสร้าง
สถานการณ์ปะทะระหว่างมวลชนกับเจ้าหน้าที่ควบคุมความสงบของการชุมนุม
และป้องกันมิให้ประชาชนที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมตกเป็นเหยื่อที่ถูกสถานการณ์
ชุลมุนจากการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมกระทบกระทั่งทำให้เกิดอันตรายทั้งต่อ
ร่างกายและทรัพย์สิน
รวมทั้งความสามารถในการรวบรวมหลักฐานเพื่อยืนยันต่อสื่อมวลชนและเพื่อการ
ดำเนินคดีกับผู้ก่อสถานการณ์ผิดกฎหมายในการชุมนุม
(มาตรการของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมความพร้อมในการป้องกันอยู่แล้ว
แต่การกำหนดเวลาและสถานที่ก่อเหตุเป็นเรื่องของผู้สร้างสถานการณ์ที่อาจเล็ดรอดกระทำการได้ระดับหนึ่ง)
หากการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยและทุกฝ่ายดำเนินการภายในกรอบของกฎหมาย
ผลในการล้มรัฐบาลจะไม่เกิดขึ้นไม่ว่าจะชุมนุมยืดเยื้อถึง ๑ หรือ ๒
เดือนและไม่ว่าจะมีผู้ชุมนุมเข้าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ๑ หมื่นหรือ ๑ แสนคน (ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้วางแผนล้มรัฐบาล)
ดังนั้น
ยุทธการการสร้างสถานการณ์เผชิญหน้าเพื่อก่อให้เกิดการปะทะทางกายภาพ
และการทำลายทรัพย์สินสาธารณะหรือทรัพย์สินเอกชนเสมือนเป็นอุบัติเหตุที่หลีก
เลี่ยงได้ยากจะมีโอกาสเกิดขึ้นและหากเกิดขึ้นแล้วก็จะถูกใช้ประโยชน์เป็น
ขั้นบันไดนำไปสู่เป้าหมายการล้มรัฐบาลอีกคืบหนึ่ง (ในขั้นตอนนี้ประชาชน
และการ์ดการชุมนุมจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ในพื้นที่สถานการณ์ผิดกฎหมาย
จะกลายเป็นเหยื่อที่ผู้จัดการชุมนุมปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปดำเนิน
คดี
และเป็นไปได้มากว่าผู้จัดการชุมนุมจะนำเหตุการณ์และการจับกุมตัวนั้นไปใช้
เป็นประเด็นปราศรัยโจมตีรัฐบาลอย่างดึงดันยืนกรานกระต่ายขาเดียวในความ
บริสุทธิ์ของตนและมวลชนของตนต่อไป)
ตราบเท่าที่มวลชนเสื้อแดงปักหลักสะสมพลังการเมืองอยู่ในที่ตั้งของตนอย่างเคร่งครัด มวลชน “ล้ม” รัฐบาลจะไม่สามารถมีมวลชน “รัก” รัฐบาลออกมาช่วยสร้างเหตุการณ์ปะทะให้เกิดสถานการณ์ที่มีความฉุกเฉินร้ายแรงมากขึ้นกว่าเดิม
แกนนำมวลชนล้มรัฐบาลจะต้องออกแบบสร้างสถานการณ์รุนแรงขึ้นเองหากต้องการให้
เกิดภาวะจลาจลที่รุนแรงเพียงพอต่อการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลและความมั่น
คงของประเทศ กลไกการป้องกันปัญหานี้มีอยู่ภายในตัวเองคือความเสี่ยง
มากขึ้นของแกนนำและผู้ปฏิบัติการชุมนุมที่จะต้องถูกควบคุมตัวไว้ดำเนินคดี
อาญาและถูกคำสั่งของรัฐที่มีผลในการยับยั้งการชุมนุม
(เช่น คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยศาลแพ่ง
ตามคำร้องของประชาชนที่ได้รับความเสียหายหรือผลกระทบจากสถานการณ์รุนแรงที่
เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม
เป็นต้น) นอกเหนือไปจากนี้
ฐานความผิดในคดีอาญาที่เป็นข้อกล่าวหาร้ายแรงมากขึ้น
ซึ่งมีร่องรอยข้อเท็จจริงเชื่อมโยงให้สังเกตเป็นหลักฐานมัดตัวกลุ่มแกนนำผู้
จัดการชุมนุมมวลชนครั้งนี้ได้แล้วระดับหนึ่งก็เริ่มปรากฏและอาจมีผู้เตรียม
ใช้เป็นคดีความฟ้องร้องแกนนำผู้ชุมนุมอยู่บ้างแล้วก็มีอยู่เช่นกัน
หาก
การชุมนุมมวลชนที่ต่อต้านและมุ่งล้มรัฐบาลครั้งนี้ยุติลงภายในขอบเขตปฏิบัติ
การเพียงเท่าที่กล่าวถึงนี้
พายุการเมืองจากการชุมนุมมวลชนครั้งนี้จะระงับไป
หลังจากนั้นบทบาทขององค์กรที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งศาลรัฐธรรมนูญและวุฒิสภาจึงจะเปิดเผยตนเองชัดเจนขึ้นว่ายังคงมีความ
ประสงค์จะเดินหน้าต่อสู้ในเวทีล้มรัฐบาลชุดนี้ต่อไปหรือไม่ และเพียงใด
สถานการณ์หลังจากนั้นรวมทั้งการป้องกันแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหลังจาก
นั้นจะคลี่คลายเปิดเผยตัวตนให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นอีกระดับหนึ่งหลังวันที่
๘ สิงหาคม ๒๕๕๖
โดยสามารถเริ่มต้นจากผลของการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
เฉพาะประชาชน
ฉบับ สส.วรชัย เหมะ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกกว่า
๔๐ คนที่ร่วมกันยื่นเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการทางรัฐสภา
...................................................................................................................
[i] การ นำเสนอข้อเขียนนี้โดยผู้เขียนตรวจสอบข้อมูล เนื้อหา และการวิเคราะห์ประกอบข้อกฎหมายแล้วว่าไม่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคงฯ ที่อยู่ระหว่างการประกาศใช้ เนื้อหาที่แสดงขั้นตอนยุทธการและการคาดการณ์ต่าง ๆ เป็นสิ่งที่หน่วยงานของรัฐและนักวิเคราะห์ทางสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งทราบหรือ ประเมินอยู่แล้ว เหตุผลที่ผู้เขียนนำเสนอในที่นี้คือการช่วยให้ประชาชนทั้งฝ่ายที่สนับสนุน และไม่สนับสนุนการชุมนุมมวลชนครั้งนี้มีโอกาสทบทวนข่าวสารข้อมูลและพิจารณา สถานการณ์อย่างรอบคอบก่อนดำเนินการต่าง ๆตามที่ตนเองเลือกหรือจะเลิอกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น